บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เธอชื่อ" ฉีผิง "


คนเราไม่ได้พบกันโดยบังเอิญ การได้ไปอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ก็ล้วนเป็นเพราะโชคชะตา  แม้จะไม่เคยคิดว่าจะได้พบใคร หรือได้ไปณ. แห่งใด แต่เมื่อถูกกำหนดให้เป็น เราก็ต้องไปที่แห่งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

ฉีผิง  XiPing ( 熙平 )
ไม่ใชเมืองในฝัน ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของฉันเลย  แต่เมื่อฟ้าลิขิตเราก็ต้องเป็นไปตามที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้  เชื่อแล้วว่าเราทั้งสองต่างมีวาสนาต่อกัน


หลังจากศึกษาข้อมูลโดยละเอียด  ชื่อของเมืองโบราณ “ต้าเฉื่อ”(DAXU) ก็เป็นแรงบันดาลใจแรงกล้าที่ทำให้ฉันเก็บกระเป๋าบินไปกุ้ยหลิน เพียงเพื่อจะไปถ่ายรูปประตูเก่าที่กำลังเสื่อมสลายด้วยกาลเวลา  แต่แรงปรารถนาครั้งนี้กลับพ่ายแพ้ชะตาชีวิต ที่นำฉันไปยังเมืองโบราณอีกแห่งที่ชื่อว่า “ฉีผิง”  หรือว่าการเปลี่ยนเส้นทางจำต้องเกิดขึ้นเพราะใครสักคนต้องการให้เป็นเช่นนี้ 

 ฉีผิง  เมืองเก่าที่อายุยืนยาวมามากกว่า 500 ปี ได้ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาในยุคสามก๊ก สามารถอยู่ผ่านมาได้หลายแผ่นดิน ตั้งแต่ราชวงค์ตั๋ง ราชวงค์ซ่ง  ราชวงค์หมิงของชาวฮั่น  มาถึงราชวงค์ชิงของแมนจู  และยืนหยัดผ่านช่วงสงครามมามากมายหลายครั้ง ผ่านการถูกรุกรานโดยต่างชาติ ทั้งฝรั่งและญี่ปุ่น จนถึงปัจจุบัน ฉีผิง ที่แม้จะเสื่อมโทรมจากกาลเวลาแต่ก็ยังมีเสน่ห์น่าหลงไหล



 ในสายตาของคนยุคปัจจุบัน จะมองฉีผิงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ แต่ในยุคเริ่มสร้าง เมืองนี้นับเป็นเมืองท่าใหญ่ที่มีความสำคัญด้านการค้าทางน้ำเมืองหนึ่งของกุ้ยหลิน  ที่การค้าขายจะดำเนินไปด้วยการล่องเรือขนส่งสินค้าไปตามสายน้ำของแม่น้ำหลี่  



 (ภาพนี้จากwww.panoramio.com)

สภาพภูมิศาสตร์ ของเมืองถูกกำหนดขึ้นถูกต้องตามตำราฮวงจุ้ย ฉากหลังของเมืองมีภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม เบื้องหน้าของเมืองเป็นแม่น้ำหลี่ ซึ่งได้ชื่อกล่าวขวัญว่าเป็นช่วงที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามที่สุด จนได้ถูกนำไปพิมพ์ไว้บนธนบัตร 20 หยวนของจีน อีกทั้งยังเป็นฉากในภาพยนต์หลายเรื่อง




แม้จะเป็นเมืองไม่ใหญ่โต และมีถนนสายหลักเพียงสายเดียวที่ทอดยาวขนานไปกับแม่น้ำ แต่ถนนและอาคารทั้งสองฝั่งถนน ก็ยังคงไว้ด้วยร่องรอยของอดีตที่สวยงามในยุคราชวงค์หมิง และราชวงค์ชิง ความงามของอาคารที่ตั้งอยู่บนถนนและตามตรอกซอกซอยที่แยกแผ่ขยายออกไป ทำให้บรรยากาศของเมืองที่เงียบสงบนี้ดูลึกลับซับซ้อนน่าค้นหามากขึ้น 






การมาเที่ยวเมืองเก่า หากไม่ใช่ใจรักจริงๆ คงเสียเวลาเปล่า ฉันเคยได้ยินเด็กวัยรุ่นมาเดินถ่ายรูปกับบ้านเก่า พร้อมอัพเดทสเตตัส เสร็จรีบกลับขึ้นรถไปเมืองอื่น พร้อมพูดกันว่า “ ไม่เห็นมีอะไรเลย”  แต่สำหรับฉัน เวลาครึ่งวันที่ใช้เดินชมรายละเอียดของเมือง ยังน้อยเกินไป เพราะไม่ใช่แค่ความเก่าของเมืองเท่านั้นที่น่าสนใจ  แต่ในทุกอนูของเมืองมีร่องรอยของเวลาฝังอยู่ 






ถนนสายหลักของเมืองเก่า ดูแคบสักหน่อยสำหรับยุคนี้  โชคดีที่ไม่มีรถยนต์วิ่งเข้ามา พื้นถนนปูด้วยแผ่นหินแกรนิต ทุกแผ่นถูกใช้งานมาจนราบเรียบ บ้านสองข้างทางเป็นทรงโบราณที่ผิวปูนเริ่มผุกร่อนจนเห็นแผ่นอิฐที่เรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ






ร่องรอยที่แสดงให้เห็นการเดินทางผ่านเวลามาถึงปัจจุบันที่ปรากฏให้เห็น คือสายไฟระโยงระยางจากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่ง ถึงจะเป็นสายไฟ แต่ก็ยังเป็นสายไฟในยุคหนึ่งที่ผ่านมาแล้ว  สายไฟฟ้าเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ชาวบ้านยังคงพักอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองมารุ่นแล้วรุ่นเล่า






ฉันผ่านเมืองเก่ามาหลายเมือง  มีข้อสังเกตว่าผู้คนที่ปรากฏให้เห็น มักเป็นคนจากเมืองอื่นมาทำธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ตามบ้านเก่าเหล่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่แค่มาใช้สถานที่ทำมาหากิน อาจจะไม่ได้พัก และไม่ใช่เจ้าของบ้าน






แต่ที่ “ ฉีผิง” คนนอกที่มาเช่าทำมาหากินน้อยมาก ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบ้าน ทุกคนที่เห็นล้วนเป็นคนสูงอายุ ที่ถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่  ส่วนคนหนุ่มสาวต่างพากันเดินทางไปทำงานในเมืองใหญ่กันหมด





ชาวบ้านสูงอายุส่วนใหญ่ใช้ชีวิตสบายๆไม่เร่งรีบ ภายในบ้านหลายหลัง มีรูปท่านเหมาเจ๋อตุง ติดอยู่ที่ข้างฝา รูปทั้งหมดเป็นรูปที่มีร่องรอยความเก่าเนื่องจากติดมานาน นับเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นยุคหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในเมืองนี้ 



วันนี้ฉันมีเวลาเพียงครึ่งวันที่ใช้เดินจากหัวถนนไปยังสุดปลายทางที่มีระยะทาง 1 กิโลเมตร หากเดินแบบปกติ ความยาวแค่นี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่หากเดินแบบซึมซับบรรยากาศแล้ว 6 ชั่วโมงบนถนนสายนี้ยังไม่พอ  ด้วยเวลาที่จำกัดจึงไม่สามารถเดินสำรวจสถานที่สำคัญริมแม่น้ำหลี่ได้ แต่ถึงจะแค่เดินในเมือง ก็ช่วยให้อิ่มเอมหัวใจอย่างยิ่งแล้ว




แม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่ “ฉีผิง” ก็มีสถานที่ทุกอย่างที่เป็นสิ่งจำเป็นเพียบพร้อมสำหรับประชากร  ในทางเดินที่วกวนลึกลับ ที่มุ่งไปสู่ท่าเรือ มีสะพานสวยอยู่ลิบๆ ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปียืนตระหง่านอยู่ไม่ไกล กลางชุมชนมีศาลเจ้า  ศาลา โรงเตี๊ยม และโรงงิ้ว







นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นโรงงิ้วกลางแจ้งในสวนที่สวยงาม ขณะเดินมาถึง ฉันได้รับการบอกเล่าว่าหลังกำแพงสูงและประตูเก่านี้มีโรงงิ้วอยู่  เมื่อเข้ามาภายใน ได้พบกับสวนร่มรื่น มีกำแพงสีเหลี่ยมล้อมรอบสวน ส่วนของเวทีงิ้วมีหลังคาอยู่ติดกำแพงด้านทางเข้า ชายชราคนหนึ่งนั่งสีซออยู่หน้าประตู 




หลังจากเดินสำรวจเวทีงิ้วจนละเอียด ฉันสังเกตุเห็นรูปปั้นเทพเจ้าองค์หนึ่ง รู้สึกคุ้นกับรูปลักษณะของท่านมาก ใจคิดว่าน่าจะเป็นท่านกวนอู  และความรู้สึกของฉันก็ถูกต้อง เพราะด้านหนึ่งของกำแพง เป็นศาลเจ้าที่ชาวเมืองสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่บูชาเทพเจ้ากวนอู เหตุที่มีศาลของท่านอยู่ที่นี่ ก็สืบเนื่องให้เห็นว่า กำเนิดของเมืองนี้ได้เริ่มต้นในสมัยสามก๊กนั่นเอง (160-220)


การมาพบศาลเทพเจ้ากวนอู ที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนร่มรื่น  ทำให้ฉันคิดอยู่ในใจว่า หรือจะเป็นสิ่งนี้ที่พาฉันมา ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครบอกเลยว่ามีศาลของท่านอยู่ในสวนนี้  นับเป็นความบังเอิญที่สร้างความสุขสงบให้แก่ชีวิตฉันอย่างยิ่ง 






จากเมืองที่ไม่คิดอยากมา  กลับกลายเป็นเมืองที่ไม่อยากจากไปเสียแล้ว แต่หากต้องไป  ช้าเร็วก็ต้องจากกันอยู่ดี  วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ฉันกลับมาถึงจุดนัดพบช้ากว่ากำหนด  ความช้าของฉันทำให้คณะของเราเดินทางออกจาก “ ฉีผิง” อย่างเร่งรีบก่อนตะวันจะลับฟ้า  เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน......






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น