บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

กินฮ่องกง


ฉันไม่ใช่คนเก่งด้านอาหาร  ไม่ใช่ผู้ค้นพบร้านเด็ดร้านดัง  ไม่ได้ตั้งใจมาแนะนำร้านอร่อยเว่อร์  ฉันเป็นเพียงคนที่อยากมีความสุขกับการกินอาหารอร่อย ในร้านที่มีบรรยากาศเหมาะสมเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่กำลังกิน  การนำรูป เรื่องร้านอาหารมานำเสนอทุกครั้ง เป็นเพียงการอยากเล่าสู่กันฟังถึงความสุขนั้น  ร้านที่ไปส่วนใหญ่จะถามคนรู้  ค้นจากอินเตอร์เนต ส่วนมาตรฐานความอร่อย ต้องทำใจว่า แต่ละคนมีรสนิยมไม่เหมือนกัน ดิฉันชอบก็ว่าอร่อย  คนตามไปกินไม่ชอบ อาจบอกว่า “ แหลก..ม่ายลง”  ดังนั้น...โปรดทำใจสักนิดค่ะ


          เนื่องจากเป็นการไปแบบสายฟ้าแลบ รีบไปรีบกลับ ร้านที่อยากกินมีมากเกินเวลา จำเป็นต้องเลือกร้านทิ่อยากมาก ถึงมากที่สุดก่อน  เอาไว้คราวหน้าค่อยมาเก็บร้านที่เหลือ  ร้านแรกที่เราตั้งใจวิ่งเข้าไป คือร้าน “ เฉี่ยวฟะ ” เรียกว่ารีบไปเพราะหิวมาจากสนามบินแล้ว และไม่ยอมแวะที่ไหนเลย  เพราะเสียดายความหิวจะถูกตัดหน้าไปเสียก่อนที่จะเจอของอร่อย
           ร้าน “ เฉี่ยวฟะ ” ไม่ใช่ร้านใหม่ของฉัน  แต่เป็นร้านที่บริบูรณ์ไปด้วยอาหารอร่อย ที่สามารถกินได้หลายอย่างในที่แห่งเดียว  ปกติหากเป็นมื้อเช้า ทุกคนจะตั้งใจมากิน โจ๊ก แต่มื้อกลางวันของฉันวันนี้ ขอเป็นบะหมี่เกี๊ยว ที่ขึ้นชื่อมาก  น้องสาวสั่งคากิหมูมาหนึ่งจาน ตามด้วยลูกชิ้นปลาลวก เห็นจำนวนอาหารที่สั่งมาน้อยนิดนี่อย่าคิดว่าไม่อิ่มนะคะ  ปริมาณแต่ละจานเยอะมาก อิ่มแฮ๊กค่ะ  อาหารแต่ละอย่างให้คะแนนไม่ถูกว่าจานไหนเด่นกว่ากัน เริ่ดทุกจานค่ะ
 บะหมี่เกี๊ยว

 คากิหมู

 ลูกชิ้นปลาลวก


          สำหรับมื้อเย็น ฉันบอกแกมสั่งคนฮ่องกงที่มาสมทบว่า  มื้อนี้ต้อง “ หย่งกี่” นะ “ หย่งกี่” หรือ หย่งเก (Yung Kee) เป็นร้านที่ได้ชื่อว่ามี สุดยอดของห่านย่าง  ขณะที่กำลังพูดคนฮ่องกงมองหน้าดิฉัน เขาบอกว่าคนฮ่องกงน้อยนักจะมีโอกาสได้ไปกินร้านนี้  เพราะเป็นร้านที่ค่อนข้างแพง  คนไทยอย่างเรามากินกันบ่อย  ฉันแก้ตัวว่าไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ไม่ได้มาบ่อยๆ ขอกินหน่อยเถอะ




          ภัตตาคารหย่งกี ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหูของคนไทยมาก  ใครไปฮ่องกงก็ต้องหาโอกาสไปชิมอาหารของเขาสักครั้ง  ร้านนี้เคยถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 15 สุดยอดภัตตาคารโลกในปี 1968   ร้านเปิดให้บริการทั้งมื้อกลางวัน และอาหารค่ำ ปกติลูกค้าจะเต็มจนล้น ต้องจองโต๊ะล่วงหน้า  หรือไม่ก็ยืนคอยคิวนาน  แต่ฉันจัดเวลาได้ดีมาก จึงสามารถเข้าไปนั่งกินอาหารเย็นได้โดยไม่ต้องจอง หรือคอยคิว



อาหารที่ขึ้นชื่อเป็นหน้าเป็นตาของร้านนี้  นอกจากห่านย่างแล้ว  ยังมีซาละเปาไส้กุนเชียงตับห่าน, ขนมจีบหมู+กุ้ง, ซาละเปาไส้หมูแดงบะหมี่ผัดราดหน้าหมูแดง, กุ้งผัดขิงใส่หน่อไม้   



แต่ที่ต้องลองอย่างยิ่งคือ  ไข่เยี่ยวม้ายางมะตูม  เพราะทางร้านทำเอง แถมต้มได้พอดีเป๊ะ  เนื้อไข่ขาวใสแจ๋วเหมือนวุ้น  ส่วนไข่แดงกึ่งสุกกึ่งห่าม เหมือนไส้ลาวา  จึงไม่แปลกเลยที่เราจะสั่งมากินเล่นก่อนอาหารอื่น 



          จานต่อไปเป็นห่านย่าง  เราสั่งครึ่งตัวเพราะมีแต่หญิงสาวกินมากเดี๋ยวไม่มีที่ใส่อย่างอื่น  เนื้อห่านในจานนุ่มชุ่มฉ่ำ  หนังหอมกลิ่นย่างไฟ น้ำซ๊อสที่ราดมารสจัดดีมาก ไม่ผิดหวังเลย 
   อีกจานที่ชอบมากพอๆกับห่านคือหมูแดง แม้จะหั่นหมูมาชิ้นหนา แต่ไม่เหนียว เนื้อนุ่มหอมอร่อยมาก

      เราสั่งผักผัดกระเทียมมาเพื่อให้มีสีเขียวบ้าง ผักหวานกรอบดีค่ะ

          วันนี้อยากลองข้าวผัดหยางโจว (Yangzhou ) ของร้านนี้ เพราะอยากรู้ว่าเชฟชาวจีนร้านมีชื่อระดับโลก เขาจะผัดข้าวออกมาเป็นแบบไหน  ถือเป็นการซื้อวิชากัน

          และก็ไม่ผิดหวังที่ได้พบว่า ข้าวผัดชนิดนี้ ผัดได้แห้งมาก  ไม่รู้สึกว่ามีความมันในเนื้อข้าวเลย  ข้าวทุกเมล็ดถูกเคลือบด้วยไข่ไก่ ตัวข้าวเหนียวแต่มีรสชาติมาก  กินเสร็จบอกตัวเองว่า อย่าได้บังอาจตีเสมอฝีมือเชฟที่นี่เลย กลับไปกินข้าวผัดแฉะๆที่บ้านเถอะ 

          ใจอยากกินอาหารอื่นๆอีกมาก แต่พื้นที่ในพุงหมดเสียแล้ว  เหลือเผื่อไว้ให้ Mango Pudding ได้เพียงถ้วยเดียว  ซึ่งก็อร่อยสดชื่นมาก

          นับว่าไม่ผิดหวังกับอาหารมื้อนี้เลย  คงต้องมีคราวต่อไปอีกหลายครั้งแน่นอน  หลังจากอิ่มกันดีแล้ว ขณะเดินออกจากร้าน เห็นคนเข้าคิวรออยู่หน้าประตูหลายคน ช่างอดทนกันดีจัง




การจราจรในฮ่องกง  ขนาดลงใต้ดินนั่งรถไฟกลับโรงแรมในช่วงหัวค่ำ เป็นเรื่องสยองมาก  ผู้คนล้นสถานี แต่เราก็จำต้องอัดๆเข้าไปตามเขา  เช้าวันรุ่งขึ้นยังไม่หายกลัวเบียดคน  เลยรีบออกมาหาอาหารเช้ากินก่อนที่ผู้คนจะออกมาทำงาน  สถานีรถไฟช่วงเช้าโล่งดีจริง  เราสามารถไปยังร้านอาหารเป้าหมายได้อย่างสบายๆ


มาคราวนี้ฉันตั้งใจแล้วว่า จะไม่กินโจ๊กเด็ดขาด  อาหารเช้าเป็นช่วงเวลาที่ฉันให้ความสำคัญที่สุด ไม่เพียงแค่อาหารอร่อยเท่านั้น แต่ต้องการบรรยากาศที่สงบ อบอุ่น มีเวลาให้ได้นั่งคิด นั่งชม บรรยากาศรอบตัวบ้าง  ทุกครั้งที่มาฮ่องกง จะเจอแต่ร้านอาหารเช้าที่เร่งรีบ เสียงดังจอแจ กินแล้วไม่มีความสุขเลย

ครั้งนี้ฉัน ขอกินร้านสงบๆระดับตำนานสักครั้ง จากการถามไถ่คนฮ่องกง ฉันก็ได้ชื่อร้าน Luk Yu Tea House มา ฉันรีบค้นหาประวัติของร้านก่อนไป พบว่า ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1933  หนังสือ New York Time ยกย่องให้เป็น หนึ่งใน  Must Do คือร้านที่ต้องมากินเลย

ชื่อร้านตั้งตามชื่อของนักกวีในสมัยราชวงค์ถัง ชื่อหลู่ ยู่  (Lu Yu  คำว่า Luk Yu  เป็นเสียงที่ออกตามสำเนียงกว่างตุ้ง ) ผู้เขียนเรื่องราวความงดงามของใบชา  โดยได้พรรณาถึงประวัติ และ ขนบธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับชา

จึงเป็นเรื่องไม่แปลกเลยที่ร้านนี้จะมีชื่อเสียงเรื่องชา   ชาที่เสริฟในร้านนี้มีหลายชนิด เหมือนกับร้านชาทั่วไป  แต่ชาที่นี่จะเลือกคัดมาเป็นพิเศษ ทุกชนิดจะมีรสชาตินุ่ม หอม หวานชื่นใจ  ชาที่ลูกค้าร้านนี้นิยมสั่งคือ ชาชื่อโผ๋ว เหล๋ย์  

เรามาถึงร้านประมาณ 8 โมงเช้า ช่วงเช้าแบบนี้ไม่ต้องจองโต๊ะ  ส่วนใหญ่จะเต็มช้วงมื้อกลางวัน และมื้อเย็น  ทันทีที่ถึงร้าน ฉันบอกตัวเองว่า นี่ฉันกำลังหลุดเข้าไปในหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ รึเปล่าหนอ  เพราะบรรยากาศการตกแต่งภายในร้านเป็นแบบดั้งเดิม (Tradition Style) ปนกับโคโลเนล สไตล์ที่ฉันชื่นชอบ

 ดูเหมือนว่าร้านอาหารในฮ่องกงจะเปลี่ยนสภาพไปตามยุคสมัย  ผู้คนต่างพากันเห่อ แห่ไปยืนแย่งคิวกินตามร้านสมัยใหม่ที่เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ   แต่ร้านนี้ยังคงสภาพเดิมที่สงบเงียบ อบอุ่นมีสไตล์  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งจิบชาร้อน เงียบๆในบ้านเพื่อนสักคน  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันมีความสุขกับสถานที่ และบรรยากาศจนแทบร้องไห้  ( ฟังดูเว่อร์นะ แต่นี่คือฉัน...ฉันเป็นอย่างนี้ )

สภาพร้านเป็นตึกสามชั้น โดยทั่วไปแล้วชั้นล่างสุดเปิดให้บริการเฉพาะแขก VIP หรือเพื่อนฝูงของเจ้าของร้าน เท่านั้น ลูกค้าทั่วไปจะต้องขึ้นไปนั่งทานบนชั้นสองและสาม  แต่จะด้วยมาดคุณนาย ที่ทำให้พนักงานเปิดประตูชั้นล่างให้ฉันเข้าไป  แต่ก็เพียงได้ชมความงดงามของการตกแต่งร้านเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าแต่ละโต๊ะจะมีขาประจำนั่งเต็มหมดแล้ว  พนักงานจึงขอโทษและเชิญให้ขึ้นไปชั้นบนแทน เอาว๊ะ แค่ได้เข้าไปชมบรรยากาศก็เพียงพอแล้ว

ที่ชั้นบน แม้จะไม่หรูหราเหมือนชั้น 1 แต่ก็ยังคงบรรยากาศแบบจีนดั้งเดิมผสมโคโลเนล ไว้   ทุกอย่างดูสะอาดและคลาสสิคไปหมด นับตั้งแต่ภาพวาดบนผนัง  โต๊ะ เก้าอี้ ผ้าปู  แม้แต่พนักงานก็ล้วนเป็นผู้สูงอายุ ที่ยังคงใส่เครื่องแบบ เสื้อคอปิดแบบจีนสีขาว กงเกงดำ  ดูสง่างามแบบผู้ใหญ่แต่มีความสุภาพ ยืนให้การดูแลไม่ขาด  พนักงานหญิงแต่งกายคล้ายกัน 

ทันทีที่นั่งโต๊ะ ซึ่งทางร้านได้จัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว  พนักงานจะนำเมนูชามาให้เลือก ฉันจำชื่อชาที่ชอบไม่ได้ จึงสั่งชาโผ๋ว เหล๋ย์  ที่ขึ้นชื่อของทางร้านมา  โดยทั่วไปน้ำชาของร้านอาหารในฮ่องกงจะคิดเป็นรายหัว และเติมได้ตลอด ส่วนใหญจะประมาณ คนละ HK$12 ถึง HK$16 ( ร้านหย่งกี่ HK$13 ) แต่ร้านนี้ราคาค่าน้ำชาแพงที่สุดในฮ่องกง คือคนละ HK$20   สำหรับคนฮ่องกงจะเห็นว่าร้านนี้อาหารแพงกว่าร้านอื่นมาก แต่ราคาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับฉัน  มันเป็นสาระและประสพการณ์ต่างหากที่ฉันกำลังซื้อจากร้านนี้ 

ฉันนั่งจิบชาร้อนๆท่ามกลางความคลาสสิคของบรรยากาศ  ในห้องโถงนี้มีลูกค้ายังไม่มาก ทุกคนนั่งเงียบๆ บางคนจิบชา บางคนอ่านหนังสือพิมพ์  พนักงานยืนประจำตามจุดอย่างสงบเงียบเพื่อคอยดูแลลูกค้า ไม่มีเสียงดังของการโยนถ้วยชามเหมือนร้านทั่วไป

ขณะจิบชา ฉันอ่านเมนูที่มีทั้งภาษาจีนและอังกฤษ  แต่เมื่อเห็นพนักงานหญิงสองสามคนยกถาดใส่ติ่มซำมีฝาปิดอย่างดี คนละชนิดเดินออกมาให้ลูกค้าเลือกที่โต๊ะ ฉันก็ตัดสินใจที่จะเลือกอาหารจากถาดเหล่านั้นแทน  เมื่อเธอเดินมาถึงโต๊ะ พนักงานจะบอกว่าอาหารในถาดของเธอคืออะไร   หากเราตกลง  เธอก็จะหยิบตะกร้านึ่งไม้ไผ่วางให้บนโต๊ะ  นี่คือเสน่ห์และความคลาสสิคของกระบวนการให้บริการแบบดั้งเดิมที่หาที่อื่นไม่ได้ ( ต้องเขียนว่าตะกร้าไม้ไผ่ เพราะปัจจุบันร้านติ่มซำในฮ่องกง ใช้ตะกร้าพาสติคแล้ว โถ....)

อาหารที่มีชื่อเสียงของร้านนี้มีหลายชนิด  ได้แก่ ข้าวเหนียวนึ่งกับเนื้อไก่และกุนเชียง   ซาลาเปาไก่  ซาลาเปาหมูแดง  ฮะเก๋า  ข้าวห่อใบบัวเป็ด  กระดูกหมูนึ่ง  เผือกทอดเนื้อปู  ขนมจีบตับหมู และก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้ต่างๆ  และหลัง 11 โมงไปแล้วจะมีอาหารพิเศษ เช่น ข้าวไก่อบซอสดำ ข้าวหน้าซี่โครงหมู  ซุปเกี๊ยวกุ้ง  ส่วนของหวานเป็นของหวานแบบจีน ได้แก่ ข้าวเหนียวลูกบัว เค้กอัลมอนด์ถั่วแดง ซาลาเปาไส้เผือกไข่แดง และ ทาร์ตไข่
  ซาลาเปาไก่ขนาดจัมโบ้

อาหารเช้าของเราในวันนั้น สิ่งแรกที่เรียกหาคือ ซาลาเปาไก่ ที่บ้านเราไม่ค่อยมีคนทำ และเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่อย่างหนึ่ง 




ต่อด้วย ขนมจีบ ฮะเก๋า  


 และกระดูกหมูนึ่ง ที่หน้าตาแปลกมาก คือเมื่อเราสั่งจานนี้  อาเจ้คนที่นำมาจะคีบแป้งหมั่นโถวนึ่งชิ้นเล็กๆพอคำ โรยมาบนหน้ากระดูกหมู  จานนี้ยังไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน 

พูดถึงรสชาติอาหารที่สั่ง ต้องยอมรับว่า ของเขาดีจริงๆ  โดยเฉพาะฮะเก๋า ที่แป้งบางเหนียวนุ่มมาก ขนมจีบ  กระดูกหมูนึ่ง  ซาลาเปาไก่ ทุกอย่างล้วนไม่ผิดหวังที่สั่งมา 


แต่ที่ขาดไม่ได้คือ ทาร์ตไข่  ที่แป้งกรอบนุ่มจนละลายในปาก ตัวคัสตาร์ดหวานอ่อนๆกำลังดี รสนี้ยังไม่เคยกินที่เมืองไทยเลยค่ะ  มื้อนี้แม้จะไม่มีกาแฟเสริฟ แต่เราก็อิ่มเอมไปกบอาหารที่ตั้งใจมากินอย่างเต็มที่ นับเป็นไฮไลท์ของการมาฮ่องกงคราวนี้


ก็อย่างที่บอกไว้ว่า เรามาแบบเร่งรีบ  มาเร็วไปเร็ว ช่วงบ่ายเราก็จะต้องกลับกันแล้ว มื้อกลางวันของเราเป็นมื้อที่สายมาก และต้องกินอย่างเร่งรีบ ให้ทันเวลา  คงไม่มีที่ไหนสะดวกเท่าร้านเฉี่ยวฟะ เจ้าเก่าที่ใกล้โรงแรมเราที่สุด  แต่ก็ยังไม่เบื่อ เพราะร้านนี้ยังมีอหารหลากหลายให้เลือกกินโดยไม่ซ้ำกับเมื่อวาน
 ข้าวหน้าไก่ต้ม
 เกี๊ยวลวกกินกับผักดอง


 สุดยอดเนื้อตุ๋น

 โจกไข่เยี่ยวม้ามากินแกล้มปาท่องโก๋


วันนี้ คนหิวโซอย่างเรา สั่งแบบไม่ยั้งคิด  ประกอบด้วย ข้าวหน้าไก่ต้ม  เกี๊ยวลวก  เนื้อตุ๋นแห้ง แถมน้องสาวยังหงุดหงิดที่มาฮ่องกง แต่ยังไม่ได้กินโจ๊ก จึงสั่งโจกไข่เยี่ยวม้ามากินแกล้มปาท่องโก๋  สมใจของเธอ ดูเหมือนว่ามาฮ่องกงแล้วไม่ได้กินโจ๊ก มันจะผิดประเพณีไป

หวังว่ารายการอาหารที่นำเสนอวันนี้คงพอทำให้หลายๆท่านอร่อยไปด้วย  ไปฮ่องกงคราวหน้าอย่าลืมไปชิมนะคะ  สำหรับท่านที่เคยไปทานมาแล้ว คิดเสียว่าฉันเอามะพร้าวมาขายสวนก็แล้วกัน ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น