บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Mes Amis

ช่วงนี้ว่างงานเลยมีเวลานำเรื่องราวที่น่าสนใจมา Update บล็อกได้บ่อย ก่อนจะเขียนเล่าเรื่องก็ย้อนกลับไปดูหน้าเก่าๆที่ได้เขียนเล่าไว้ เห็นแล้วก็ตกใจมาก ที่ปรากฏว่าบรรดาบทความที่ทั้งหลายทั้งหมดในบล็อกนี้ ล้วนมีแต่เรื่องรับประทานเสีย 90% เรื่องอื่นๆแค่ 1% เอง และเรื่องที่จะเล่าวันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้ อิฉันจึงต้องรีบทบทวนเจตนารมณ์ของบล็อกว่า แท้จริงตั้งขึ้นมาด้วยเรื่องอาหารการกินเป็นหลักใหญ่ ใช่หรือไม่ และก็โชคดีที่ หนึ่งในนั้นมีเรื่องอาหารอยู่ด้วย แปลว่า ไม่ขัดต่อเจตนารม์ เป็นอันรอดตัวไป

ถ้าอย่างนั้น วันนี้ขออนุญาติคุยเรื่องอาหารอีกสักครั้ง สัญญาว่าคราวหน้าจะหาเรื่องเที่ยว มาคุยบ้าง ( เน้นคำว่า " บ้าง" )

วันนี้จั่วหัวเรื่องว่า Mes Amis แปลว่าเพื่อน หลายคนคงตั้งหน้าตั้งตาว่าจะเห็นอาหารฝรั่ง ขอรับรองว่ามีอาหารฝรั่งแน่นอน และมาจากร้านที่ชื่อ MESAMIS จริงๆด้วย แต่ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า ?es Amis ก็เพื่อจะสื่อว่า วันนี้อิฉันได้ออกไปทานอาหารกับเพื่อนกัน 2 คน และไม่ได้ทานกันแบบธรรมดา ต้อง เรียกว่า ก.ต.ล.ว . = กินตลอดวัน เพราะอิฉันอยู่กับหล่อนตลอดวัน กินกันทั้งวันจริงๆเจ้าค่ะ




เริ่มด้วยมื้อกลางวัน เรียกว่ามื้อสายๆจะดีกว่า เราก็ไปตั้งต้นกันที่ร้าน ฮกกี่ โภชนา เพราะอยากรับประทานห่านพะโล้ ร้านนี้มีชื่อเสียงเรื่องห่านพะโล้มาก ร้านฮกกี่อยู่ถนนพระรามสี่ ไม่ไกลจากสนามกีฬา เท่าใดนัก

หน้าร้านเป็นแบบย้อนยุคแบบนี้มีมากกว่า 50 ปีแล้ว
ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนี้ แต่ข้างในร้านติดแอร์นั่งสบาย

จานแรกที่เพื่อนอยากกินมากคือ เนื้อเก้งผัดน้ำมันหอย
ซึ่งรสชาติอร่อยจริงๆอย่างที่เพื่อนพรรณาไว้

ส่วนของอิฉัน ขอห่านพะโล้ มาทานให้สมใจ หน้าตาน่าทานมากอย่างนี้

สองจานแรกเป็นแค่ Starter อิฉันสั่ง ขาห่านอบบะหมีมา
เพราะไม่ได้ทานนานแล้ว อร่อยอีกนั่นแหละ

ที่จริงเราสองคนน่าจะอิ่มกันได้แล้ว แต่ความอยากชิม
ทำให้เราสั่งกระเพาะปลาน้ำแดงมาเพิ่มอีก
เลยต้องจำใจรับผิดชอบกันจนหมด แต่ของเขาก็อร่อยจริง


หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็เดินเรื่อยเปื่อยไปตามศูนย์การค้าต่างๆ
เพื่อย่อยอาหารแต่เจ้ากรรมที่บังเอิญมาหยุดหน้าร้านขนมชื่อดังแห่งหนึ่ง
เห็นมีคนเข้าคิวรอที่นั่งแถวยาวมาก ทั้งๆที่ไม่ได้หิวเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยความอยากลอง เราจึงไปลงชื่อเข้าคิวกับเขาบ้าง
หลังจากรออยู่ครึ่งชั่วโมงก็มีที่ว่างให้เราแทรกตัวอ้วนๆของเราสองคนลงไปนั่งได้

ทางร้านก็ใจดี รีบนำคุ๊กกี้มาให้เคี้ยวช่วงรออาหาร พอเห็นขนมก็รีบคว้าใส่ปากเลย
ลืมไปว่าต้องบันทึกรูปไว้ก่อนว่าทานอะไรไปบ้าง จึงขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยที่คุ๊กกี้อันนี้
มีรอยฟันสองซี่ของอิฉันประทับตราไว้เป็นสำคัญเช่นนี้

เอาล่ะ ขนมที่สั่งมาแล้ว มาร้านนี้หากไม่สั่ง Chocolate Lava ก็ดูจะไร้ภูมิรู้ไปสักหน่อย
ขอสารภาพว่าเมื่อเห็นขนมจานนี้แล้วค่อนข้างตกใจ เพราะวาดหวังว่าขนมจะมีชิ้นใหญ่กว่านี้
แต่ที่มาในจานนี่ หากเปรียบกับที่เราทำเองแล้วล่ะก็ เป็นไซด์รุ่นหลานเลย
( นี่ขนาดไม่หิวนะ ยังงกขนาดนี้) แต่ก็โอเค รสชาติดีตามที่คนร่ำลือ

อีกจานที่หากไม่สั่งคงต้องกลับไปตั้งต้นเข้าคิวใหม่กันเลย นั่นคือ Shibuya Honey Toast
ซึ่งก็มีขนาดไม่ใหญ่เหมือนในรูปที่เราเคยคาดหวังไว้ แต่ก็อร่อยอีกนั่นแหละ

ที่จริงขนมสองจานนี่ก็อิ่มมากแล้วนะ แต่แม่เพื่อนของอิฉัน
หล่อนเป็นคนชอบรับประทานทุกอย่างที่ขวางหน้า บอกว่ายืนรอนานมาก
กินสองอย่างไม่คุ้มกับเวลาที่รอ เลยสั่งมาอีกอย่าง
ชิ้นที่สามนี่อิฉันจำชื่อไม่ได้จริงๆว่าชื่ออะไร เพราะสมองเริ่มเบลอมากแล้ว
เป็นเค็กช๊อคโกแลต มีเมล็ดมาชเมลโล แทรกอยู่ เสริฟมากับไอศครีมชาเขียว
มาถึงจานนี้แม้จะอร่อยแต่อิฉันก็จุกมากจนพูดไม่ออกแล้วจ๊ะ


หลังจากอิ่มกับขนม ( ทั้งๆที่อาหารกลางวันยังย่อยไม่หมด ) เราก็เดินช๊อปปิ้งแบบงงๆ
พยายามหาหนังดูอยู่หลายโรงก็ไม่ถูกใจ จึงนั่งคุยกันไปคุยกันมาพักใหญ่
ในที่สุดเพื่อนก็ชวนไปกินข้าวเย็นต่ออีก ความที่ขัดเพื่อนไม่ได้


อิฉันจึงจำต้องตามหล่อนไปร้านโปรดที่ชื่อ MESAMIS

ภายในร้านวันนี้มีลูกค้าไม่มาก เลยถือโอกาสเดินทักทายขนมเค็กในตู้โชว์ไปพลางๆ
ล้วนหน้าตาน่าเอ็นดูทั้งนั้น





ขณะกำลังรออาหารที่สั่ง ทางร้านก็นำออร์เดริฟ มาให้ทานเล่นก่อน
เป็นสลัดปูอัดม้วนด้วยแตงกวาญี่ปุ่นสได์บางๆ
ราดด้วยน้ำสลัด กินกันคนละคำ รสสดชื่นดีจ๊ะ

จานแรกที่สั่งมาเป็นออร์เดริฟ คือ Deep Fried Mozzarella Sticks จิ้มซ๊อสมะเขือเทศ

ขนมปังใหม่สดกรอบนอกนุ่มใน เสริฟมาในตะกร้า

เนยทาขนมปังเสริฟมาสวยงาม

Spinach au Gratin

Spaghetti Italian Sausage ของอิฉันเองแหละเจ้าค่ะ

Roasted Cod Mustard Sauce ของเพื่อน

มาถึงของหวาน ขาดไม่ได้คือ Tiramisu

และเค็กชาเขียว ของโปรดของเพื่อน


ในที่สุดภาระกิจเรื่องรับประทานอาหารของเราก็สิ้นสุดลง อาหาร 3 มื้อตลอดทั้งวันนี้
ขอรับรองว่าเราสองคนเป็นผู้รับประทานกันทั้งหมด ไม่มีใครเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระนี้เลย

วันนี้อิฉันก็เริ่มวิตกกังวลว่า อิฉันมีเวลา 3 เดือนที่ต้องลดปริมาณ โคเลสโตรอลลงให้ได้
แต่นี่ก็ผ่านมา 1 สัปดาห์แล้ว อิฉันยังไม่สามารถลดอาหารแบบเดิมๆได้เลย
แล้วอิฉันจะเอาหน้าที่ไหนไปแก้ตัวกับหมอได้ล่ะเนี่ย





วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Foods Tour In Singapore .


เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อิฉันได้พาน้องๆบินไปหาของอร่อยๆกินที่สิงคโปร์

ที่จริงความตั้งใจแรกคือจะไปเที่ยวชมบ้านเมือง
แต่พอไปถึงจริงๆก็งัดเอาโพยร้านอาหารที่ทำการบ้านไว้ออกมากาง
แล้วก็ไล่ตามหาจนเกือบครบ โดยลืมว่าจะไปเที่ยวไหนกัน

แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดนัก จึงต้องไปชมสถานที่สำคัญๆของเขาบ้าง
ที่เป็นของใหม่สำหรับเราคือ เจ้าเรือที่ตั้งอยู่บนคานนี่แหละ
ที่จริงคือตึกที่สร้างได้สวยงามมาก เป็นโรงแรมและศูนย์รวมความบันเทิง
ที่ชื่อ
Marina Bay Sands Hotel

ที่เหลือสำหรับเราแล้ว สิงคโปร์ยังเป็นเมืองที่สะอาดสวยงามอยู่เสมอ

โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีให้เห็นทุกแห่งหน แม้แต่บนตึก
นี่คือเหตุผลที่ทำให้อิฉันอยากจะไปอยู่เสียจริง


แต่เกรงอยู่อย่างเดียวว่า จะเครียดตายด้วยสภาวะค่าครองชีพที่สูง
จนแทบทำให้คุณจับไข้ได้ทุกวัน

มาสิงคโปร์ทุกครั้ง สิ่งแรกที่ทำคือ ต้องรีบมาคารวะ เจ้าพ่อบุญตงกี่ ก่อนใครทั้งหมด

เพราะหากมาแล้วไม่มารายงานตัว จะถือว่ามายังไม่ถึงสิงคโปร์จ๊ะ

แต่ก่อนเวลานึกถึงข้าวมันไก่ ก็มักจะเทิดทูนบูชา ข้าวมันไก่ที่สิงคโปร์
โดยเรียกว่าข้าวมันไก่ไหหลำ
แม้แต่ทางร้านทุกร้านในสิงคโปร์ ก็จะบอกว่าตัวเองเป็นข้าวมันไก่ไหหลำ
แต่พอไปกินข้าวมันไก่ที่ไหหลำจริงๆมาแล้ว ปรากฏว่ามันคนละอารมณ์กันเลย
ดังนั้น จึงขอเรียกว่าข้าวมันไก่ไหหลำสไตล์สิงคโปร์ จะถูกกว่า
เพราะข้าวมันไก่ที่ไหหลำ ไก่จะมีเนื้อแตกต่างกับ ไก่ที่สิงคโปร์อย่างมาก

วันนี้เรามาที่สาขาถนนBalestier Road
สิ่งแรกที่ทางร้านนำมาเสริฟ คือถั่วต้มเค็ม แต่มีรสหวานนิดหน่อย เนื้อถั่วนุ่มกำลังดีไม่เละ
ช่วงแรกที่เห็นถั่วทำให้นึกถึงร้านอาหารที่ไหหลำ
ซึ่งก็มีถั่วมาเป็นของเรียกน้ำย่อยเหมือนกัน แต่เป็นถั่วคั่วเกลือกรอบๆ

ก่อนไก่ที่สั่งจะมา ก็มีน้ำจิ้มมาก่อน น้ำจิ้มที่สิงคโปร์คล้ายๆกันทุกร้าน
คือเป็นน้ำจิ้มพริกน้ำส้มปั่นกับกระเทียม และขิง มีรสเปรี้ยวหวาน กำลังดี
ไม่ใส่เต้าเจี้ยวเหมือนบ้านเรา นอกจากน้ำจิ้มแบบนี้แล้ว ยังมีซีอิ้วหวานมาให้อีกด้วย
น้ำจิ้มแบบนี้คล้ายๆกับที่ไหหลำ แต่ทางโน้นไม่เข้มข้นเท่า และไม่ปั่นรวมแบบนี้

วันนี้เราสั่งมาแค่ครึ่งตัว ผิดกับตอนไปไหหลำ ที่สั่งทีเดียวสองตัวเลย
เหตุผลเพราะ ไก่ที่นี่ตัวโตกว่า เพราะเป็นคนละพันธุ์กัน
ไก่ไหหลำจะตัวเล็ก และมีมันน้อยกว่า หนังไม่หนา เนื้อกรอบนุ่ม หวานมาก
ไก่ที่สิงคโปร์น่าจะเป็นไก่สามสายพันธุ์ ที่เนื้อมาก นุ่มแต่ไม่กรอบ
ความหนาแน่นของกล้ามเนื้อไม่มี

การต้มไก่ เขาต้มสุกสนิท ( ไหหลำต้มแค่ห่ามๆ ยังมีสีแดงบ้าง)
ทางร้านโฆษณาว่าเป็นไก่ที่ Juicy ที่สุด ซึ่งน่าจะจริง
เพราะทุกร้านในสิงคโปร์จะราดน้ำซุปผสมซีอิ้ว
มาในจาน
ช่วยให้เนื้อไก่ไม่แห้งจนเกินไป แถมน้ำซุปที่ราดยังช่วยชูรสเนื้อไก่อีกด้วย



และแน่นอนว่าไก่ที่นี่ เป็นไก่ตอน ที่ถูกเลี้ยงในกรงไม่ให้เคลื่อนไหวมาก
จะได้มีมันมากๆ เนื้อจึงนุ่ม

ต่างกับที่ไหหลำตรงที่เป็นไก่ตอนแต่เลี้ยงแบบปล่อยเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็มีเลี้ยงแบบฟาร์บ้าง

เมื่อก่อนเคยกินข้าวมันไก่ที่สิงคโปร์จะเห็นว่า หนังและมันไก่จะมีสีเหลืองกว่านี้
เพราะเขาเลี้ยงด้วยข้าวโพด แต่ปัจจุบัน
เป็นมันสีขาวเลยไม่แน่ใจว่าเลี้ยงด้วยอะไร ( ไม่ได้ตามไปดู)

วันนี้เราไม่ได้กินไก่กับข้าวมัน เนื่องจากอยากกินข้าวผัดหมูแดง
ที่เรียกว่า Yang Chow Fried Rice ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจของทุกคน


ที่ขาดไม่ได้คือผักคะน้า ราดน้ำมันหอยที่เรียกว่า Kai Larn

นอกจากร้าน Boon Tong Kee แล้ว ยังมีอีกหลายร้านที่อร่อยไม่แพ้กัน คือ

Five-Star Hainanese Chicken Rice
191 East Coast Road

Peng Kee Chicken Rice & Restaurant
#01-436 Public Mansion
Balestier Road (off Jalan Rama Rama)

Sin Kee Famous Chicken Rice & Fish Porridge (Margaret Drive)
Blk 159 Mei Chin Road #02-89G

Tian Tian Hainanese Chicken Rice
Stall 10 Maxwell Road Food Centre

Wee Nam Kee
275 Thomson Road
#01-09 Novena Ville


ร้านปูผัดพริกไทยดำ

มาถึงอาหารเย็น อาหารที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ที่
ทั้งคนสิงคโปร์เอง และคนต่างชาติต้องมากินให้ได้คือ ปูผัดพริกไทยดำ
วันนี้เรามากันที่ร้าน Boon Tat Street BBQ Seafood
ซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์อาหารชื่อLao Pa Sat อยู่กลางศูนย์ธุรกิจแถวถนน
Raffle

ศูนย์อาหารนี้ใหญ่และสวยงามมาก เดิมเคยเป็นตลาดขายของมาก่อน
ปัจจุบันเป็นศูนย์อาหารที่มีอาหารโดยเฉพาะอาหารทะเลขายมากมายหลายร้าน
เวลาเดินเข้าไปจะมีพนักงานมาคอยชักชวนให้ไปร้านตัวเองตลอดทาง
เราเดินไปร้านเลขที่ 43-44 ได้เลย ร้านจะอยู่รอบนอกติดถนน
ให้หาร้าน Wendy เป็นที่หมายตาไว้ เพราะร้านอยู่ข้างหลัง Wendy

อาหารที่เราชอบมากเป็นพิเศษคือ กุ้งแม่น้ำทอดเนย
น่าแปลกที่สิงคโปร์เป็นเกาะ แต่ให้กุ้งน้ำจืดมาทำอาหาร
กุ้งจานนี้รสดีมาก ทางร้านจะหมักกุ้งด้วยเครื่องปรุงแล้วชุบแป้งทอดกรอบ ทานได้ทั้งตัวเลย

ขาดไม่ได้คือผักผัด วันนี้เราสั่ง Baby Bok Choi ผัดน้ำมันหอยมาทาน หน้าตาดีจ๊ะ

และแล้วพระเอกของเรื่องก็มาถึง ปูทะเลผัดพริกไทยดำ รสจัดจ้านดีจริงๆ
เรียกว่าเราขอดน้ำที่ผัดมาจนหมดจานกันเลย จานนี้ใช้ปู 2 ตัวจ๊ะ

น้องๆไม่ชอบทานข้าวสวย เลยสั่งข้าวผัดมาทาน อาจจะสู้รัานข้าวมันไก่ไม่ได้ แต่ก็หมดจ๊ะ

อดไม่ได้คือขนมหวาน อิฉันเดินไปซื้อร้านข้างๆมากิน เป็นมะม่วงกับครีม
ก็พอแก้ขัดให้หายอยากของหวานไปได้บ้าง

นอกจากร้านนี้แล้ว ยังมีร้านปูผัดที่อร่อยๆอีกหลายร้าน เช่นที่
ร้าน Tiong Shian Porridge แถว China Town และที่

Long Beach Seafood Restaurant
1018 East Coast Parkway
(next to Singapore Tennis Court)

Matar Road Seafood Barbecue
Block 51 Old Airport Road
#01-131G Old Airport Road Emporium & Cooked Food Centre

No Signboard Seafood
414 Geylang Road (off Lorong 24, next to Ghim Peng Hotel)

Punggol Seafood Holdings
1110 East Coast Parkway
#01-06 Costa Sands Resort




อาหารมุสลิม

หากมาสิงคโปร์ซึ่งเป็นดินแดนที่มีคนมุสลิมอยู่มาก
แล้วไม่มากินโรตี มะตะบะ คงเป็นเรื่องแปลก


เพื่อนที่สิงคโปร์บอกว่า ร้านชื่อ Zam Zam มีมะตะบะอร่อยมาก
เราจึงดั้นด้นมาตามหากัน ซึ่งก็หาไม่ยาก
เพราะอยู่ตรงข้ามกับมัสยิด
Sultan Mosque
ใกล้สถานีรถไฟ Bugis

ร้านนี้มีอาหารมากมายหลายชนิดไว้ให้เลือก

แต่ที่มีชื่อที่สุดคือ มะตะบะแกะ วันที่ไปเขากำลังโปรโมทอาหารใหม่ คือ มะตะบะเนื้อกวาง
วิธีสั่งก็เดินไปดูรูปข้างฝาร้านได้เลย ชี้ๆเอาแบบนี้ล่ะ

ก่อนอาหารที่สั่งจะมา เราก็ต้องดื่มชาแขกกันก่อน จึงจะครบสูตร
วันนี้อากาศร้อนเลยขอแบบเย็นจ๊ะ

อาหารทุกจานทางร้านจะมีเครื่องเคียงมาแกล้ม คล้ายอาจาดบ้านเรา
แต่ที่นี่เป็นแตงกวากับซ๊อสมะเขือเทศเท่านั้น

ตามมาด้วยน้ำแกงไว้ราดมะตะบะ มีมาให้ 2 อย่างแบบเผ็ด กับไม่เผ็ด
ต้องดูที่สีว่าสีอ่อนก็ไม่เผ็ดจ๊ะ

วันนี้เราสั่งข้าวหมกไก่มาชิมก่อน ที่จริงเป็นคนชอบข้าวหมกแพะมากกว่า
แต่น้องในกลุ่มมีคนชื่อแพะ เลยไม่ยอมสั่งมาทาน ( โชคดีไม่มีคนชื่อไก่)

ข้าวหมกไก่ร้านนี้ยอมรับว่ารสดี ข้าวหุงได้สวยเป็นตัวดี ไม่เละเทะ
แต่หากท่านใดเคยไปทานที่ประเทศพม่า มาแล้วล่ะก็
คงต้องยอมแพ้ เพราะข้าวหมกไก่ที่พม่าจะรสดีกว่าเล็กน้อย แต่เอาเถอะ...นี่ก็สุดยอดแล้ว

มาถึงอาหารอร่อยสุดของทางร้าน มะตะบะแกะ ที่ร้านนี้ไม่บรรจงพับ มะตะบะ
ให้เป็นสี่เหลี่ยมเหมือนบ้านเรา แค่ม้วนๆมาก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว

มะตะบะเขาทอดได้กรอบนอกนุ่มใน ไส้เนื้อแกะผัดกับเครื่องเทศ
และหอมใหญ่ มีกลิ่นหอมมาก อร่อยสมคำร่ำลือ

ส่วนมะตะบะไก่ ออกมาหน้าตาเหมือนไข่เจียว ซึ่งก็น่าทานไปอีกแบบ เพราะมาร้อนๆ กรอบๆ

ไปทานกันแค่สามคน สั่งมา3 อย่าง ทานเกือบไม่หมด
แต่บังเอิญมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องนั่งทานจนหมดเกิดขึ้น เนื่องจาก
วันที่เราไปนั้นเป็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันละหมาดใหญ่ ของชาวมุสลิม ( หรือาจจะทุกวัน)
เวลาบ่ายโมง ซึ่งเป็นเวลาสวดของชางมุสลิม ก็มีเสียงเรียกให้เข้ามัสยิด
ทางร้านจึงปิดประตู หยุดให้บริการทุกประเภท เพื่อให้คนไปสวด
เหลือเพียงกะเหรี่ยงอย่างเรานั่งอยู่ในร้าน จนเสร็จการสวด
การบริการจึงเริ่มต้นใหม่ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ดังนั้นเราจึงค่อยๆละเลียดอาหารที่เราสั่งจนหมด นับเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับเรา




อาหารทั่วๆไป ในสิงคโปร์

ที่จริงเราไปกินกันหลายอย่างหลายชนิด จนไม่รู้ว่าจะพูดถึงอะไรดี

มีที่ชอบมากอยู่จานหนึ่ง เป็นการรวมอาหารพื้นเมืองหลายๆอย่างเอาไว้ในจาน
เช่น ข้าวมันไก่ สะเต๊ะ ไก่ย่างทันดูริ และ หลักซา (หมีกะทิ)
จานนี้ทานในร้านที่สวนสนุกเซ็นโตซ่า

สำหรับสะเต๊ะ เราสั่งกินทุกวันจนเบื่อ แม้จะเป็นอาหารที่หมายปองก่อนมา
แต่พอมาจริงๆก็ไม่ถูกใจเท่าใดนัก เพราะสะเต๊ะที่นี่รสหวานมากเกือบทุกร้าน
ผิดกับสมัยก่อนที่รสดีกว่านี้ ไม่แน่ใจว่ารสเขาเปลี่ยน หรือรสเราเปลี่ยนกันแน่

อยู่ที่สิงคโปร์หลายวัน เห็นว่าชาวเมืองนี้จะฝากชีวิตไว้กับศูนย์อาหาร ( Food Court )
ที่มีอาหารหลากหลายชนิดให้เลือก และจะมีตั้งเป็นจุดๆกลางชุมชน
เพื่อนชางสิงคโปร์พาไปทานแห่งหนึ่งใกล้บ้านเขา
เป็นศูนย์อาหารที่มีอาหารพื้นเมืองที่ได้รางวัลเกือบทุกร้าน
เราก็เลยสั่งมาทานอย่างละนิด ละหน่อย จานนี้คือ Satay Mee Hoon
เป็นการผสมผสานของเส้นหมี่ ราดด้วยน้ำสะเต๊ะ ดูคล้ายขนมจีนน้ำยาบ้านเรา
รสชาติรึ.......... :(

จานนี้ชื่อ Chinese Rojak เราคิดว่าเป็นอาหารทานเล่น
ถามเพื่อนว่า เป็น Snack ใช่ไม่ เขาบอกว่า นี่เป็น Food เลยล่ะ

เราเลยงงๆ เพราะเป็นอาหารทอดๆจิ้มกับน้ำจิ้มคล้ายซ๊อสพริก ก็เพลินๆดีนะ
ไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจผิดหรือไม่ ท่านใดที่อยู่สิงคโปร์ช่วยตอบด้วยเถอะ

สำหรับจานนี้ คิดอยู่นานว่าจะเอามาให้ดูดีหรือไม่
เพราะดูสภาพจานที่เสริฟมาแล้ว ไม่น่าทานเลย
เป็นหมี่ผัดแบบฮกเกี้ยน ร้านนี้ได้รางวัลมากมาย
ตอนไปสั่ง เขาบอกว่าไม่เสริฟ ต้องเข้าคิวรอยาวทีเดียว
แต่ชิมได้คำเดียวก็บอกลา ไม่คุ้มกับเวลาที่ไปยืนรอเลย
แถมจานเละเทะมันมือไปหมด :(



จบจากอาหารคาว เราไปหากาแฟกับขนมอร่อยๆทานกันดีกว่า

เพื่อนที่สิงคโปร์แนะนำร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงไว้ดังนี้

1.Coffee Bean and Tea Leaf
2.Burkes's Coffee
3.Seattle Coffee Company
4.The Coffee Connoisseur
5.Coffee Club Singapore




เราเดินหาร้านกาแฟ แต่ไม่ได้เจาะจงว่าจะทานร้านไหนก่อน
บังเอิญพบ Coffee Club ที่ห้าง Takashimaya จึงแวะเสียเลย

ขนมในตู้มีไม่มาก แต่ก็น่าทาน

เมนูสวยดี เป็นเล่มใหญ่ เพราะขายอาหารอื่นด้วย

ช่วงนี้เป็นช่วง Summer จึงมีเมนูไอศครีมออกมา เพื่อนบอกว่าต้องลอง
Muddy Mud Pie เพราะเขามีชื่อเสียงมาก

นี่คือ Muddy Mud Pie เป็นไอศครีม2 ชนิดคือ ช๊อคโกแลต กับ กาแฟ มีฐานเป็นแป้งขนมคุ๊กกี่ ออรีโอ ราดด้วยซ๊อสช๊อคโกแลตเข้มข้น เขาใช้คำว่า Sinful Mixed 
ไม่แน่ใจว่ากินแล้วจะบาปหรือไม่ แต่ก็อร่อยดี


อีกร้านที่ต้องขอบอกว่าชอบมากคือ

The Coffee Bean & Tea leaf

ร้านนี้หนักไปทางร้านกาแฟอย่างแท้จริง มีกาแฟมากมายหลายชนิด
รวมทั้งขนมให้เลือกอย่างจุใจ


บรรยากาศอบอุ่นสบายใจกว่า Coffee Club มาก

ที่แปลกคือ เขาเสริฟกาแฟมาในถ้วยปากบาน ซึ่งควรจะเป็นถ้วยชา
สรุปแล้ว ทั้งชาและกาแฟ ใช้ถ้วยแบบเดียวกันหมด
ซึ่งก็ดีกว่าบางร้านในเมืองไทยที่เสริฟมาในถ้วยเมลานินใบเล็ก เห็นแล้วไม่อร่อยเลย

ขนมที่เตะตามากคือ Apple & Cinnamon Muffin อุ่นมาร้อนๆ อร่อยได้ใจจริงๆ

ที่จริงร้านนี้มีขนมจานเด่นชื่อ Grandma 's Carrot Cake
แต่เราเป็นโรคแพ้ช๊อคโกแลต จึงสั่งของเด่นของทางร้านอีกชิ้น
คือ Mud Cake อร่อมสมใจ


นอกจากกาแฟร้อนแล้ว ร้านนี้ยังมีชื่อเรื่อง a frozen coffee ICE BLENDEDอีกด้วย


 
หากไปสิงคโปร์อย่าลืมแวะไปชิมนะ

วันนี้คงต้องหยุดแค่นี้ เพราะโคเลสโตรวลพุ่งกระฉูด หยุดไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ