บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวญี่ปุ่น ตอน 4 – หันหน้าเข้าวัด



         คนไทยสมัยก่อนเวลาจะเดินทางไปต่างท้องถิ่นไม่สะดวกสบาย รวดเร็วเหมือนทุกวันนี้ บางเส้นทางต้องใช้เวลาเดินทางแบบข้ามวันข้ามคืน หากไม่มีบ้านญาติหรือคนรู้จักอยู่ที่ปลายทาง จึงมักจะหมายเอา วัดเป็นที่พักพิงอยู่เสมอ เพราะวัดมีสถานที่ และพื้นที่ว่างมากมาย อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านในทุกเรื่องอยู่แล้ว การเข้าพักตามวัดจึงไม่มีปัญหายุ่งยากสำหรับคนไทย แค่เข้าไปกราบขออนุญาติจากท่านสมภาร ก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่หลวงพี่ผู้ดูแลวัดจะกรุณาว่าจะให้นอนกันที่ศาลา หรือกุฏิไหน หากไม่มีจริงๆ ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัดก็ยังนอนได้ แถมเย็นดีอีกต่างหาก แค่มีมุ้งกางกันยุงให้ แค่นี้ก็หลับสบายแล้ว
      ช่วงเช้าตื่นขึ้นมา หากขยันสักหน่อย อยู่ช่วยคอยปรนนิบัติพระท่าน ผู้พักก็จะมีอาหารเช้ารับประทานอย่างอิ่มหนำโดยไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นบริการ Bed & Breakfast ฉบับโบราณเลยทีเดียว แต่ ... บริการนี้จะใช้ได้ดีกับผู้พักที่ไม่กลัวเท่านั้น เพราะวัดบางแห่งมักมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องผีดุ หรือไม่ก็มีงานศพในวัด ไม่ขาดสาย ตามศาลาต่างๆของวัดจึงมักจะมีการจองที่นอนอยู่แล้ว ผู้ที่จะเข้ามาพักชั่วคราวจึงต้องทำใจให้หนักแน่นสักหน่อย หากจะขอแบ่งที่นอนกับผู้ที่นอน( รอพระสวด) อยู่ในศาลานั้นก่อนแล้ว
      ที่พูดถึงเรื่องการไปนอนวัดขึ้นมาก็เพราะ ช่วงไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเที่ยวแบบผจญภัยไม่เหมือนใคร ก็ได้มีโอกาสไปนอนตามวัดของเขามาด้วย เมื่อเอาประสบการณ์การนอนวัดมาเปรียบกัน ระหว่างวัดไทย กับวัดญี่ปุ่นแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นหนังคนละเรื่องกันเลย เพราะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งบรรยากาศ ความรู้สึก และการบริการ ที่ต้องมีคำว่า การบริการเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เพราะ การไปนอนวัดในญี่ปุ่น ปัจจุบันจัดเป็นบริการท่องเที่ยวประเภทหนึ่ง คล้ายกับการมาเที่ยวทำสปา หรือ บำบัดสุขภาพตามรีสอร์ทหรูๆของบ้านเรา เพียงแต่ที่นี่ เป็น วัดเจ้าค่ะ

      ก่อนที่จะออกเดินทางไปญี่ปุ่น เราต้องทำการบ้านกันอย่างหนักเพื่อหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกต้องตรงใจ นั่นคือ แปลก ดี สวยงาม สงบ และ ไม่ไกลมาก ขณะกำลังค้นอยู่ก็เห็นมีคนญี่ปุ่นเขียนแนะนำเรื่องการเดินทางไปพักผ่อนในวัด เพื่อบำบัดสุขภาพกาย และ ใจ ซึ่งปัจจุบันมีวัดเปิดให้บริการหลายแห่ง และหลายวัดมีข้อมูลมานำเสนอบนเวบไซต์ให้เราได้ศึกษากันก่อนจะตัดสินใจ ในที่สุดเราก็ตกลงใจที่จะเดินทางไปพักที่วัด Ichijo-in ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา Hashimoto จังหวัด Wakayama ไม่ไกลจากเมืองโอซาก้า เท่าใดนัก และที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ เมือง Koyasan ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย
       จากการศึกษาเส้นทางกับศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว เมืองโอซาก้า ก็พบว่า เราต้องเดินทาง โดยทางรถไฟไปยังเมือง Gokurakubashi เพื่อต่อรถเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมือง Koyasan ที่มีความสูง กว่า 1,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล จากนั้นต้องต่อรถบัสไปยังวัดอีกทอดหนึ่ง แค่เห็นภาพการเดินทางแบบย่อๆแล้ว คิดว่าคงไม่ควรนำสัมภาระติดตัวไปทั้งหมด เพราะจะเป็นภาระแก่ตัวเรามาก คิดได้ดังนั้นจึงฝากกระเป๋าเดินทางทั้งหมดของเราไว้ที่โรงแรมในเมืองโอซาก้า โดยมีเพียงของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นเท่านั้น ติดตัวไป
       วันเดินทาง เราไปโดยทางรถไฟสู่เมือง Koyasan ในเวลา 8.00 น. โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง รถไฟแล่นฝ่าความวุ่นวายยามเช้าของเมืองโอซาก้า มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ความแออัดวุ่นวาย ไม่ได้มีแค่ตามถนนหนทาง แต่ในยามเช้าที่ทุกคนกำลังเดินทางออกไปทำงานอย่างนี้ บนรถไฟก็แน่นด้วยผู้คนยิ่งกว่าข้างนอก  บรรยากาศบนรถยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนตู้บรรทุกหุ่นยนต์ เพราะทุกคนแต่งตัวเหมือนกันด้วยสูทสีดำ กางเกงดำ เสื้อขาว ผูกเนคไท สียอดนิยมคล้ายกัน ต่างคนต่างยืนนิ่ง นั่งนิ่งๆ นั่งกดโทรศัพท์  หรือนั่งหลับ เหมือนกัน ไม่มีเสียงทักทายพูดคุย ดูคล้ายกับว่าเขาไม่ได้อยู่เมืองเดียวกัน
      ท่ามกลางฝูงหุ่นยนต์บนรถไฟ ก็มีกลุ่มของเราแทรกอยู่ตรงกลางที่สามารถมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน จากสี และ ชนิดของเสื้อผ้า และที่สำคัญ เรามีรอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะให้แก่กัน ดูแล้วเป็นภาพที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมากตรงที่ คนที่กำลังจะเดินทางไปหาความสงบในวัดกลับเป็นผู้ที่มีความสุข แต่คนที่ต้องลงจากรถก่อนถึงวัด กลับเป็นผู้ที่มีแต่ความเครียด คิดไปเองว่า หากเพียงคนที่ยืนเครียดอยู่บนรถขบวนนี้ทั้งหมด จะโดยสารรถไฟคันนี้ต่อไปยังวัดใดวัดหนึ่งใน Kayasan พวกเขาคงมีชีวิตที่ผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่านี้
       ทันทีที่รถหลุดออกมาจากเมืองโอซาก้า รถไฟขบวนนี้ก็วิ่งอย่างอิสระไปในทุ่งนา ผ่านลำธารที่มีสายน้ำใสไหลเอื่อยจนเห็นฝูงปลาคราฟแหวกว่ายน้ำเล่นฝูงใหญ่  นอกจากรถไฟจะเป็นอิสระจากความหนาแน่นของเมืองแล้ว ผู้คนภายในตู้โดยสารก็เบาบางลงไปมาก มีเพียงนักเรียนไม่กี่คนที่เดินทางไปโรงเรียนด้วยรถไฟขบวนนี้  ช่วงนี้แทนที่จะนั่งอยู่กับที่นั่ง  เราต่างก็ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อชมธรรมชาติของสองข้างทางกัน  ยิ่งวิ่งไกลออกไป ทางรถไฟก็ดูเหมือนว่าจะวิ่งขึ้นที่สูงขึ้นไปทุกที 



                จนในที่สุดเราก็มาถึงสถานีหนึ่งซึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีบอกไว้ในแผนการเดินทาง ที่สถานีนี้รถไฟทั้งขบวนแทบจะไม่เหลือผู้คนเท่าใดนัก ที่เหลืออยู่บนรถมีเพียงชาวบ้านแถบใกล้เคียง สองสามกลุ่ม นอกนั้นเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งเพียง 2 คน และกลุ่มของเรา เพียง 4 คนเท่านั้น จึงไม่แปลกเลยที่กลุ่มของเราจะได้รับการเชิญให้เปลี่ยนตู้รถ เพื่อรวบรวมผู้โดยสารจำนวนน้อยนิดไว้ในตู้เดียวกัน และตัดตู้ที่ไม่มีผู้โดยสารทิ้งไว้ที่สถานีนี้
      ดูแล้วก็เป็นเหตุผลที่สมควรสำหรับเขา เพราะช่วงเส้นทางจากสถานีต่อไปจะเป็นเส้นทางที่รถไฟต้องไต่ขึ้นไปตามความสูงของภูเขา หากนำตู้รถไฟว่างๆติดไปด้วย ก็จะเป็นภาระเรื่องน้ำหนักเสียเปล่าๆ ดังนั้นผู้โดยสารที่จะเดินทางไป Koyasan ทุกคนจึงมารวมอยู่ในรถคันเดียวกัน
         จากสีหน้างุนงงเมื่อถูกเรียกให้เปลี่ยนรถ ( ด้วยภาษาญี่ปุ่นที่เราไม่เข้าใจ) ขณะนี้กลับมีความเข้าใจและผ่อนคลายมากขึ้น ผู้โดยสารในรถคันนี้ต่างก็ส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มให้แก่กัน เพราะนับจากนี้ไป เราจะเดินทางไปจุดหมายปลายทางเดียวกันคือ เรากำลังไปหาความสงบสุขทางใจที่รอเราอยู่ข้างหน้า 
      รถไฟวิ่งขึ้นเขาสูงชันต่อมาอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าสนและป่าไผ่ มีหมู่บ้านเล็กๆแทรกอยู่ตามสันเขา แม่น้ำที่วิ่งขนานมากับทางรถไฟตลอดทางเริ่มเล็กลง และหายไปในป่าสน ในที่สุดเราก็มาถึงสถานี Gokurakubashi  รถไฟดับเครื่องหยุดสนิทที่สถานีเล็กๆแห่งนี้   ความ ที่เราคุ้นกับชื่อสถานีนี้แล้ว จึงไม่แปลกใจ และรู้ว่าเราต้องลงจากรถไฟเพื่อไปต่อรถเคเบิ้ลคาร์ ไต่ภูเขาขึ้นไปอีกทอดหนึ่ง เรื่องการจัดเวลาการเดินรถของที่นี่ต้องขอชมว่าจัดได้มีระบบดีมากทั้งประเทศ เพราะทุกจุดจะระบุเวลาที่แน่นอนไว้ โอกาสผิดพลาดน้อยมาก โดยจะเห็นว่าทันทีที่เราลงจากรถไฟ และเดินไปอีกด้านของสถานีก็เห็นรถเคเบิ้ลคาร์กำลังเข้าสู่ชานชลาเพื่อรับเรา ตรงเวลาพอดี ช่างคำนวนเวลาได้ยอดเยี่ยมมาก


       จากการจัดระบบของเขา ทำให้การเดินทางของเราแทบไม่เสียเวลาเลย เราเลือกที่นั่งท้ายสุดบนรถเคเบิ้ลคาร์ เพราะต้องการถ่ายรูปด้านล่างภูเขา ซึ่งก็นับว่าเป็นการเลือกที่ถูกต้อง เพราะเมื่อรถเริ่มไต่หน้าผาสูงขึ้นไป ตัวของเราก็แทบจะลุกจากที่นั่งไม่ได้ เพราะหัวรถเงยหน้าขึ้นมากกว่า 45 องศา จนแทบจะมองวิวด้านหน้ารถไม่เห็น ฝรั่งนั่งข้างๆพึมพำออกมาว่านี่เรากำลังขึ้นรถ หรือขึ้นลิฟท์ กันแน่นับเป็นการนั่งเคเบิ้ลคาร์ที่สูงชัน และหวาดเสียวที่สุดในชีวิต แต่กลับส่งผลดีต่อการถ่ายรูปย้อนลงมาด้านล่าง ที่ทำให้เราได้มุมที่แปลกออกไป แต่ก็มือสั่นด้วยความกลัวจนทำให้รูปเสียไปหลายรูป เหมือนกัน
      

      หลังจากเคเบิ้ลคาร์ ไต่ขึ้นมาจนสุดทาง เราออกจากรถมาด้วยความโล่งอก ทันทีที่เปิดประตูรถ  อากาศเย็นก็ปะทะกับใบหน้าของเราอย่างจัง โชคดีที่หอบเสื้อกันหนาวอย่างหนามาด้วย ทุกคนจึงต้องรีบคว้ามาใส่กันทันทีก่อนที่จะตัวสั่นด้วยความหนาว ก็อย่างที่บอกว่าระบบจัดการเรื่องเวลาเดินทางของเขาดีมาก ดังนั้นเมื่อออกจากอาคารสถานีรถเคเบิ้ล ก็มีรถบัสคันเล็กมาจอดรับเราพอดีอีกนั่นแหละ บนยอดภูเขานี้จะไม่มีรถบัสใหญ่ เพราะทางแคบ และผู้คนบนเมืองนี้ส่วนใหญ่ใช้บริการรถบัส มีรถยนต์ส่วนตัวไม่มากนัก และ ไม่อนุญาตให้ผู้คนเดินด้วยเท้าไปตามถนนระหว่างสถานีรถเคเบิ้ลเข้าตัวเมือง เนื่องจากทางแคบรถอาจจะชนคนได้ แต่เมื่ออยู่ในเมืองซึ่งเป็นที่ราบเล็กๆ ถนนมีขนาดใหญ่ขึ้นเหมือนเมืองทั่วไป ผู้คนก็สามารถเดินได้ตามปกติ



            นยอดเขา Koyasan นี้ มีวัดมากกว่า 100 วัด ตั้งกระจัดกระจายไปตามยอดเขา และมีวัดที่เปิดให้ผู้คนเข้าพัก มากถึง 50 วัด คนญี่ปุ่นเรียกการมาพักวัดนี้ว่า Shukobu ที่มีวัดเปิดให้บริการมาก ก็เพื่อรองรับนักแสวงบุญที่มักจะเดินทางมากราบไหว้พระสำคัญบนยอดเขานี้ ความที่มีวัดตั้งอยู่มาก ถนนจึงตัดมุ่งสู่วัดเหล่านั้นเป็นส่วนใหญ่
     เราได้รับแผนที่ตั้งวัด และสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้บนรถ จึงรู้ว่าเราจะต้องลงจากรถบัสที่ป้ายไหน สังเกตุดูว่าป้ายรถบัสมักจะอยู่ตามหน้าวัด นักท่องเที่ยวฝรั่งคู่ที่เดินทางมาพร้อมกับเรา มาถึงวัดที่เขาเลือกก่อนเรา  เมื่อรถจอดที่ป้ายหน้าวัด จะมีพระออกมายืนรอรับนักท่องเที่ยวคู่นั้น ดูแล้วน่าชื่นชมในบริการของเขามาก และเมื่อถึงป้ายที่เราต้องลง คือป้ายหน้าวัด Ichijo-in เราก็พบกับหลวงพี่ ( เอ..อายุอย่างเรานี่น่าจะเรียกท่านว่า หลวงหลาน มากกว่านะ) มายืนรอรับเราที่ป้ายรถเช่นกัน ช่างเป็นบรรยากาศการต้อนรับที่อบอุ่น อย่างที่โรงแรมทั่วไปยากที่จะสร้างอารมณ์ได้ขนาดนี้   คิดอีกทีก็คล้ายกับเด็กนักเรียนกำลังเดินทางเข้าโรงเรียนประจำ แล้วมีครูออกมารับนั่นแหละ ( แต่เป็นโรงเรียนที่อยากไปอยู่นะ ) 




     ทันทีที่ลงจากรถ สิ่งที่เรามองเห็นอย่างทึ่งมากเป็นสิ่งแรกคือ ประตูเข้าวัด ที่สูงใหญ่และสง่างามปนความขลังด้วยริ้วรอยของกาลเวลา สำหรับเราแล้ว ดูเหมือนว่าบนยอดเขา Koyasan อะไรๆก็ล้วนตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด คิดไม่ผิดแล้วที่ตัดสินใจเลือกเมืองนี้ 


  หลวงพี่ ( ขอเรียกตามหลาน) พาเรามาถึงหน้าอาคารหลักซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว แต่กว้างใหญ่และเก่ามาก เราต้องถอดรองเท้าไว้ที่หน้าอาคารนี้ การเดินบนอาคารต่อจากนี้ไปเราต้องใช้รองเท้าสลิปเปอร์ สำหรับเดินในบ้านเท่านั้น  ก่อนจะเข้าสู่ตัวอาคาร หลวงพี่ก็นำผงกำยานหอมๆมาโรยใส่ในผ่ามือของเราทุกคน และบอกให้เราใช้มือทั้งสองข้างถูผงกำยานนั้น แล้วลูบศรีษะของเรา เพื่อความโชคดี หรืออีกทีก็คล้ายกับว่าเป็นการขับไล่สิ่งไม่ดีในตัวเราที่ติดมาจากข้างนอก ไม่ให้เข้ามาในเมืองนี้   ผลที่เกิดจากกำยานจะจริงหรือไม่ ไม่สามารถยืนยันได้ แต่ที่ชอบคือกลิ่นของกำยานหอมติดตัวอยู่พักใหญ่ ซึ่งโชคดีที่เป็นกลิ่นที่ชอบเลย ยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น


    Shingon ( ซึ่งเป็นสายหนึ่งในหลายๆสายของศาสนาพุทธในญี่ปุ่น ) สวมชุดเป็นกางเกงและเสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าเข้ม โกนศีรษะ แต่ไม่โกนคิ้ว กริยามารยาทสุภาพ นอบน้อมยิ่งนัก (เห็นแล้วนึกถึง อิกคิวซังขึ้นมาทันที) ที่น่าชื่นชมคือ พระลูกวัดที่นี่ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุไม่มาก สามารถพูดภาษาอังกฤษได้มากกว่าชาวบ้านทั่วไปที่เราผ่านมา เราจึงไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารเลย
      พระรุ่นใหม่ๆที่นี่มีหลายรูปมาก แต่ละรูปอายุยังน้อย ดูเหมือนว่าหากเด็กคนไหนอยากจะเรียนเป็นพระ ก็สามารถมาบวชเรียนที่วัดได้เลย โดยถือเสมือนว่าได้เรียนในโรงเรียน การแต่งตัวของเด็กเล็กที่ยังไม่เป็นพระ เขาแต่งคล้ายนักเรียนทั่วไป แต่ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตคล้ายเสื้อกิโมโนครึ่งตัว สิ่งที่สังเกตุได้ง่ายคือ เด็กเหล่านี้จะโกนศรีษะ และมีกริยามารยาทเรียบร้อย มีวินัยเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาศึกษาทุกเรื่องทั้งเรื่องศาสนา และเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปพร้อมกันด้วย 



     เราเดินจากหน้าอาคารไปตามทางเดิน ที่ค่อนข้างวกวน และไกลกว่าที่คิด เส้นทางเดินในอาคารเป็นพื้นไม้ที่ถูกเช็ดถูจนสะอาดแทบลื่นโดยบรรดาพระและเณรในวัดนี้ คำนวนจากระยะทางทั้งหมดที่เราเดิน อยู่บนทางเดินในอาคารเดียวกันนี้ สามารถวัดความกว้างใหญ่ของอาคารได้ว่ากว้างใหญ่เอาการทีเดียว 


    ขณะเดินไปตามทาง หลวงพี่ก็จะชี้ให้ดูจุดต่างๆภายในอาคารว่า จุดไหนคืออะไร เพราะเราจะต้องใช้จุดเหล่านั้นในการทำกิจกรรมระหว่างที่เราพักอยู่ที่นี่ ขณะผ่านทางเดินจุดหนึ่งเราเห็นเทอร์โมมิเตอร์แขวนไว้ที่ข้างฝา เมื่อแวะเข้าไปดู ขณะนั้นเวลาบ่าย 2 โมง อุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศา


ขณะเดินผ่านห้องๆหนึ่ง หลวงพี่ชี้ให้ดู บอกว่า

       ห้องนี้จะเป็นห้องรับประทานอาหารค่ำคืนนี้ และ อาหารเช้าพรุ่งนี้เช้า ของท่านนะขอรับ ( ใช้คำว่า Sir ตามหลังทุกประโยค)
      



     เมื่อถึงทางแยกซ้ายมือ มีทางเชื่อมไปอีกอาคารหนึ่ง หลวงพี่ก็บอกว่า
       นี่คือทางไปยังห้องสวดมนต์ใหญ่   ( ใช้คำว่า Main Hall น่าจะเป็นอุโบสถ แต่สร้างเป็นอาคารทรงญี่ปุ่นหลังใหญ่ พื้นปูด้วยเสื่อตาตามิ)   พิธีสวดมนต์มี 1 ครั้งคือ ช่วงเช้าเวลา 6.30 น. โปรดมาให้ตรงเวลาด้วยขอรับ


      ใกล้ๆห้องรับประทานอาหารของกลุ่มเรา ( รับประทานกลุ่มละห้อง ไม่ปนกัน) เป็นห้องโถงใหญ่เท่ากับห้องทานอาหารสองห้องรวมกัน หลวงพี่บอกว่านี่คือ ห้องสนทนาธรรม หากพวกเราอยากจะมาร่วมสนทนากับผู้ที่มาพักกลุ่มอื่น ก็ให้มาร่วมได้ในเวลาหลังอาหารเย็น คือประมาณ 2 ทุ่มขึ้นไป กิจกรรมนี้จะมีทั้งพระผู้ใหญ่ และ พระรองๆลงมา เหมือนเป็นการเทศ และสอนพระธรรม รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน กิจกรรมนี้ดูว่าจะได้รับความชื่นชอบจากคนตะวันตกมาก อาจเป็นเพราะฝรั่งมีความเครียดสูง การพยายามตามหาความสงบของจิตใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา

 


         และแล้วเราก็เดินมาถึงห้องพักของเรา ที่ดูเหมือนจะอยู่ด้านหลังสุดของอาคาร ตลอดทางเดินหน้าห้องพักมีกระจกใสกันอากาศหนาวเข้ามาในห้อง ความใสของกระจกทำให้เราเห็นสวนญี่ปุ่น และปลาคราฟท์ที่กำลังว่ายน้ำในสระได้อย่างชัดเจน รอบบริเวณไม่มีเสียงใดเลย นอกจากเสียงนกร้องจิ๊บ จิ๊บ
     


 ประตูห้องพัก ทำด้วยกระดาษ กรอบประตูดูบอบบางมาก เวลาเลื่อนเปิด จึงต้องระวังเพราะกลัวว่าจะทำประตูของเขาพัง ห้องข้างๆมีแขกอื่นพักอยู่ แล้ว ที่รู้ก็เพราะเห็นรองเท้าSlipper วางไว้หน้าประตู ภายในห้องของเราแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นแรกเป็นที่แต่งตัว และเก็บของ ซึ่งก็ไม่มีอะไรตกแต่งมากนัก มีแค่ไม้แขวนเสื้อแบบตั้งพื้น และกระจกบานเล็กแบบตั้งพื้นไว้ให้ พร้อมกับเสื้อยูกาตะ สำหรับใส่นอนเท่านั้น






 วัดนี้ถือหลักของเซ็น คือเรียบง่าย การตกแต่งห้องพักจึงแทบไม่มีอะไรมากมายเกินความจำเป็น ในห้องพักก็เหมือนกับบ้านพักแบบญี่ปุ่นทั่วไป คือมีโต๊ะเตี้ยกลางห้อง 1 ตัว เบาะรองนั่ง 2 อัน และ ชุดน้ำชา 1ชุด พร้อมขนมหวาน 2 อัน เป็นการต้อนรับผู้มาพัก ที่แปลกกว่าที่พักอื่นคือ โต๊ะกลางห้องปูด้วยผ้านวมหนามาก มีสายไฟโผล่ออกมาจากผ้านวมนั้น เวลานั่งเราต้องสอดขาเข้าไปใต้ผ้านวม ที่มีการปรับอุณภูมิให้อุ่น ดูๆแล้วเหมือนเป็นโต๊ะไฟฟ้า เราแอบเปิดผ้านวมขึ้นสำรวจสายไฟ และเครื่องทำความร้อนที่ติดอยู่ใต้โต๊ะ แอบคิดนอกกรอบขึ้นมาว่า หากไฟฟ้าช๊อตขึ้นมาคงสนุกไปอีกแบบ
        ห้องพักในวัดนี้สร้างแบบไร้ความลับ คือหากคิดจะทำอะไรที่มีลับลมคมนัย คงหมดสิทธิ์ เพราะฝาห้องทำด้วยกระดาษที่ทำจากฟางแม้จะหนากว่ากระดาษทั่วไป แต่ก็กันได้แต่ความเย็นของอากาศเท่านั้น หากไปยืนพิงแรงๆ มีหวังว่าฝาห้องคงทะลุ ที่รู้เพราะเราสามารถได้ยินเสียงจากข้างห้องได้สบายๆ แสดงว่าผู้ที่มาพักวัดทุกคน ต้องทำใจให้อยู่ในรสพระธรรม และตั้งใจมาแสวงหาความสงบอย่างแท้จริง จึงไม่มีปัญหากับที่พัก ไม่ว่าจะมีสภาพอย่างไรก็รับได้ แต่สำหรับพวกเรา ผู้ซึ่งเป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็น มิได้ตั้งใจจะมาเพื่อศึกษาพระธรรม ( เท่าใดนัก) แม้จะอยากพบความสงบ แต่ดูเหมือนว่าห้องเราจะบอบบางเกินไปจนเกรงว่าเราจะไปรบกวนผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรจึงต้องระวังไปหมด กลัวข้างห้องรำคาญ 

หลังจากเก็บสมบัติที่ติดตัวมาน้อยนิดไว้ในห้องแล้ว เราก็รีบออกจากวัดเพื่อไปสำรวจเมืองนี้กันอย่างเร่งด่วนก่อนที่แสงอาทิตย์จะหมดไป   เมือง Koyasan นี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องของวัดเก่าที่สร้างมากว่า 1,800 ปี ผู้ที่ขึ้นมาเริ่มก่อร่างสร้างวัดคือท่าน Kobo Daishi ผู้เป็นพระผู้นำในศาสนาพุทธที่มีชื่อเสียงมากของประเทศญี่ปุ่น เพราะท่านเป็นผู้ที่เดินทางไปนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระไตรปิฎก มาจากประเทศจีน เพื่อมาเผยแพร่ให้คนญี่ปุ่นนับถือ จนกลายเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน คนญี่ปุ่นจะเรียกท่านด้วยชื่อสั้นๆว่า Kukai





  ท่าน Kukai ได้เดินทางมายังยอดเขานี้เพื่อสร้างวัด และศาสนสถานหลายแห่ง   เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ สาย Shingon นอกจากจะมีความรู้ด้านศาสนาแล้ว ท่านยังมีความสามารถเป็นพิเศษในด้านอักษรศาสตร์ และศิลปะ หลายแขนง หนึ่งในนั้นคือการประดิษฐ์ตัวอักษร Kanji (คันจิ) ที่ชาวญี่ปุ่นใช้เขียนกันในปัจจุบัน วัดที่ท่านสร้างคือวัด Kongobuji สร้างในปี 805 เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านความงดงามของศิลปะในการก่อสร้างและตกแต่ง หลายแขนง โดยเฉพาะภาพวาดบนประตูเลื่อนภายในวัดที่วาดโดยศิษย์ด้านงานศิลปะของท่าน Kukai







        นอกจากวัด Kongobuji แล้ว ท่าKukai ยังได้สร้าง Garan ให้เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมทางศาสนา ในบริเวณ Garan ประกอบด้วย Kondo ( ศาลาการเปรียญ) Daito ( หอระฆัง หรือ หอสูง) Saito ( เจดีย์รูปแบบจากอินเดีย หรือที่เรียกว่า Stupa ) เจดีย์ภายในวัดนี้มีความแตกต่างจากวัดทั่วไปในญี่ปุ่น ตรงที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมของอินเดีย เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่วัดทั่วไปจะสร้างแบบญี่ปุ่นคือเป็นเจดีย์ 5 ชั้นหลังคาทรงเก๋งจีน ที่เราเห็นทั่วไป ที่วัดนี้ในอุโบสถจะมีการจุดตะเกียงกว่าพันดวงเพื่อบูชาพระรัตนะไตร เล่ากันว่า นับตั้งแต่จุดไฟ ตะเกียงเหล่านี้ไม่เคยดับมากว่าพันปี
      ในปี 835 ช่วงสุดท้ายของท่าน Kukai ท่านได้สั่งให้ลูกศิษย์นำร่างของท่านซึ่งอยู่ในลักษณะนั่งสมาธิ ไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งกลางป่าไม้ใหญ่ บนยอดเขาที่ชื่อ Okunoin ( 1ใน8ของยอดเขาของเมืองKoyosan ) เชื่อกันว่าท่านKukai ยังไม่ตาย เพียงแต่อยู่ในสถานะเข้าสู่การทำสมาธิขั้นสูงสุดที่เรียกว่า มหาสมาธิ " Mahasamadhi เพื่อรอวันมาถึงของพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ ตามความเชื่อในพุทธศาสนาว่าพระองค์จะมาโปรดชาวโลกอีกครั้ง
      ความเชื่อเรื่องท่าน Kukai นี้มีมาตลอดตั้งแต่วันที่ท่านเข้าสู่สมาธิ และยิ่งเป็นการยืนยัน ในอีก 50 ปีต่อจากวันนั้น  เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ Daiko ได้ฝันเห็นท่าน Kikai จึงได้เดินทางมายังเขา Okunoin  และพบว่าภายในถ้ำปกคลุมไปด้วยหมอก  เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ  แตะที่เข่าของท่านKukai พบว่าร่างของท่านยังคงอุ่นเหมือนคนมีชีวิต อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมติดมือของสมเด็จพระจักรพรรดิอีกด้วย
       เพื่อป้องกันมิให้ผู้คน และมิจฉาชีพเข้าไปรบกวนท่าน จึงได้มีการสร้างกำแพงปิดปากถ้ำไว้จนถึงปัจจุบัน หากแต่นับจากนั้นมา พระภิกษุบนเขาก็ยังคงนำอาหารไปถวายท่านที่หน้าปากถ้ำ วันละ 2 เวลาเป็นประจำต่อเนื่องมานานนับพันปี โดยเชื่อว่าท่านKukai ยังคงสอนผู้คนจากภายในถ้ำแห่งนั้นด้วยกระแสจิตที่ทำสมาธินั่นเอง
       จากการที่เขา Okunoin เป็นที่ตั้งของถ้ำที่ท่านKukai นั่งทำสมาธิอยู่นี้ จึงทำให้ผู้คนชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญ และมาเที่ยวชมกันมาก บรรดาสมาชิกในราชวงค์ โชกุน ขุนนาง ซามูไร และคนที่มีชื่อเสียงในยุคต่างๆ พยายามที่จะได้ฝังกระดูกของตนเองไว้เคียงข้าง หรือให้ใกล้กับถ้ำของท่าน หรือแค่ได้อยู่ในสุสานนี้ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นสุสานนี้จึงเต็มไปด้วยเจดีย์ที่เก็บกระดูกมากกว่า 200,000 เจดีย์ ถือเป็นสุสานในพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น


       ปัจจุบันผู้คนชาวบ้านทั่วไปจะหาโอกาสนำเอากระดูกของบรรพบุรุษมาเก็บ ไว้ในบริเวณนี้ยากขึ้น เนื่องจากพื้นที่น้อยลง แม้จะเก็บแค่กระดูกชิ้นเล็กๆชิ้นเดียวก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จะมีเพียงคนกลุ่มร่ำรวยระดับเจ้าของกิจการใหญ่ๆเท่านั้นที่มาสร้างเจดีย์ของตนเองได้ เช่น เจ้าของบริษัทชาร์ป โตโยต้า เนชั่นแนล พานาโซนิค โดยบางเจ้าสร้างเจดีย์ให้มีรูปร่างต่างจากตามประเพณีดั้งเดิม เช่นสร้างเป็นรูปจรวด หรือรถยนต์ ก็มี
         หากคิดว่าเจดีย์แปลกๆเหล่านี้จะช่วยสร้างสีสันให้ Okunoin เพื่อชวนให้คนมาเที่ยวแล้วละก็ ดิฉันไม่เห็นด้วยเลย กลับจะดูว่าเป็นการรบกวนบรรยากาศของสุสานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มากกว่า เพราะเมื่อเข้ามาในเขตสุสานที่ตั้งอยู่ภายในเขตป่าไม้ใหญ่หนาทึบ ที่มีเพียงแสงอาทิตย์ไม่มากนักส่องลงมาถึงพื้นดิน ก็จะพบกับความสงบปนลึกลับ เหมือนคนละโลก และคงเป็นเพราะความสงบเช่นนี้เองที่ท่าน Kukai เลือกสถานที่นี้เป็นที่อยู่ครั้งสุดท้าย แต่ปัจจุบันกลับหนาแน่นไปด้วยเจดีย์ โดยเฉพาะรูปร่างแปลกๆ หากท่านตื่นมาจากสมาธิท่านคงผิดหวังและคงจำสถานที่นี้ไม่ได้แน่นอน
        จากการที่เป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนี่เอง จึงทำให้มีนักแสวงบุญ ญาติของผู้ที่เก็บกระดูกไว้ที่นี่ และนักทองเที่ยวเดินทางมาไม่ขาดสาย   การเดินเที่ยวในสุสานจึงเป็นสิ่งดึงดูดใจ  และเป็นเสน่ห์ของที่นี่ไปอีกแบบ เรียกว่าเป็นจุดขายก็ว่าได้   การเดินในสุสาน มีการเดินทั้งแบบกลางวัน และกลางคืน นัยว่าเป็นการไปทำสมาธิในป่าช้านั่นแหละ หลายคนอาจกลัวหากต้องไปเดินในสุสาน  แต่ความจริงแล้วสุสานนี้ไม่น่ากลัว ( เท่าใดนัก) ) ผู้คนจึงไปเดินเที่ยวกันมาก นักท่องเที่ยวให้นิยามเมืองนี้ว่า The Mystique Koyasan ( โคยาซาน เมืองลึกลับ)

       เราเริ่มต้นการเที่ยวด้วยการเดินไปตามถนนสายหลักของเมือง เพื่อไปยังวัดต่างๆ  






     เมืองนี้มีสี่แยกอยู่แห่งเดียว ร้านค้ามีไม่มาก นานๆจะมีรถยนต์วิ่งผ่านมาตามถนน อากาศบนยอดเขาหนาวเย็นลงเรื่อยๆ ความสูงของภูเขาทำให้อุณหภูมิในเมืองนี้อุ่นช้ากว่าในพื้นที่เชิงเขา 





    ซึ่งก็เป็นผลดีต่อเราตรงที่ อากาศระดับนี้เป็นอุณหภูมิที่ดอกซากุระ บนเมือง Koyasan เพิ่งจะบาน ในขณะที่ต้นซากุระในเมืองต่างๆของญี่ปุ่นร่วงโรยไปเกือบหมดด้วยความร้อนของอุณหภูมิ    นับว่าไม่เสียแรงที่ดั้นด้นขึ้นมา แค่ได้เห็นดอกซากุระ ก็คุ้มค่าแล้ว
          เราเดินผ่านหอระฆังที่มีชื่อว่า “ ระฆัง 6 โมง” ( Rokuji ni Kane - The 6 o’clock Bell) ไปยังวัด Kongobuji และ วัด Garan ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ความที่มีเวลาน้อยจึงไม่สามารถสำรวจได้ละเอียดนัก แค่ให้เห็นว่าของจริงเป็นอย่างไรก็แทบจะหมดเวลาแล้ว แต่ทั้งหมดที่ไปได้ล้วนเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของเมืองนี้

  

  วันนั้นเราไม่ได้ไป สุสาน Okunoin เพราะท้องฟ้าเริ่มหม่นลง และดวงอาทิตย์ลับยอดเขาไปแล้ว มองเข้าไปตามเส้นทางเข้าในสุสาน เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ยืนทะมึนอยู่เต็มสองข้างทางที่ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ประกอบกับวันนี้ไม่ใช่วันหยุด เวลานี้จึงไม่มีผู้คนขึ้นมาเที่ยวในสุสานเลยสักคน พวกเราลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าไม่น่า   บอกตรงๆว่าใจไม่ถึง ทุกคนจึงหันหลังกลับโดยพร้อมเพรียง


       ขณะเดินมาตามทาง เราได้ยินเสียงระฆังดังมาจากหอระฆังในเมือง แสดงว่าขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว คำพูดของหลวงพี่แว่วมาแต่ไกลว่า
       อาหารค่ำจะเสริฟเวลา 1 ทุ่มตรง  ขอให้มาให้ทันด้วยนะขอรับ  และหากท่านเที่ยวอยู่ข้างนอก โปรดกลับมาก่อนสองทุ่ม เพราะประตูวัดจะปิด 2 ทุ่มตรงขอรับ” 
 
    ความที่เราเที่ยวเพลินไปหน่อย จึงต้องรีบเดินกลับที่พักซึ่งมีระยะทางไกลพอประมาณ กลัวว่าจะไปไม่ทันอาหารเย็น ที่ต้องกลัวก็เพราะช่วงที่ผ่านตัวเมืองมานั้น เราไม่เห็นร้านอาหารเปิดให้บริการเลย มีเพียงร้านเล็กๆที่ทำท่าเหมือนจะปิดแล้ว แถมซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่มี  มีแต่ร้านขนมพื้นเมืองขายนักท่องเที่ยว ขืนทำตัวเหลวไหลมีหวังอดตายแน่  แถมอากาศหนาวสะบัดแบบนี้ คิดถึงแต่ผ้านวมที่โต๊ะไฟฟ้าในห้อง อยากกลับไปนั่งจิบน้ำชาร้อนๆให้อุ่นสบาย ไฟช๊อตไม่กลัวแล้ว

หลังจากเดินกันอย่างเร็ว ( ช่วยให้หายหนาวได้) ในที่สุดเราก็มาถึงวัดก่อนเวลาอาหารเล็กน้อย รีบเข้าห้องน้ำ(สุขา) ซึ่งเป็นห้องน้ำรวม เพราะในห้องนอนไม่มีสุขา ล้างหน้าล้างมือให้สะอาดสดชื่นก่อนทานอาหารค่ำ แค่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของเรา เมื่อเปิดมาก็พบท่านอิกคิว เอ๊ย หลวงพี่นั่งอย่างเรียบร้อยหน้าห้องพักของเรา โค้งหนึ่งครั้ง พร้อมบอกว่า
       อาหารเย็นพร้อมแล้วขอรับ” 

 

 พูดถึงเรื่องอาหาร  ก่อนที่เราจะตัดสินใจมานอนวัดครั้งนี้ เรารู้แล้วว่าเราจะต้องรับประทานอาหารเจทุกมื้อตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เพราะทุกวัดในพุทธศาสนาพระจะฉันอาหารเจ  เมื่อเรามานอนค้างวัดจึงต้องทานเจไปด้วย   ศิลปะการจัดอาหารของทางวัดนับเป็นต้นแบบของการจัดอาหารชุดดั้งเดิมของ ญี่ปุ่นที่เรียกว่า Kaiseki Ryori แต่อาหารในวัดเราเรียกว่า Shojin Ryori 


     Shojin Ryori เป็นอาหารที่ใช้ศิลปะในการคัดเลือกวัตถุดิบ และจัดปรุง ตกแต่งอย่างงดงาม วัตถุดิบต้องมาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ไม่พยายามใช้สารเคมีใดๆ   ที่เมือง Koyasan นี้ อาหารที่มีชื่อของที่นี่คือเต้าหู้ เรียกว่า Koya-dofu เป็นเต้าหู้ที่ทำมาจากงาขาว ด้วยกรรมวิธีทางธรรมชาติ คนปรุงอาหารบอกว่าขณะทำเต้าหู้ต้องมีพระมาสวดอวยพรหน้าเครื่องทำด้วย







                   ไข่ตุ๋น(ปลอม) ทำจากเต้าหู้




       ด้วยเหตุนี้กระมังจึงทำให้เต้าหู้อร่อยนักหนา  เต้าหู้ชนิดนี้จะถูกเสริฟมาทั้งแบบเย็น และ แบบร้อนคืออยู่ในซุป ส่วนอาหารชนิดอื่นหน้าตาคล้ายกับอาหารญี่ปุ่นแบบ Kaiseki Ryori ที่ต้องประกอบด้วยอาหาร 5 ชนิด คือ ของสด (ซาชิมิ) ซุป ของทอด ของต้ม และ ของนึ่ง เพียงแต่ใช้ผัก และถั่วทำให้เหมือนเนื้อสัตว์ เช่น ใช้สาหร่ายมาทำเป็นซูชิ และ ซาชิมิ ส่วนของหวานก็ใช้เต้าหู้อะไรสักอย่างทำเป็นมูสช๊อกโกแลต เสริฟมากับสตอร์เบอร์รี่ รสชาติขอไม่วิจารณ์นะ (ก็ทำใจมาแล้วนี่)สรุปคืออาหารทุกชนิดทำมาจากเต้าหู้ ยกเว้นสาหร่าย กับถั่วดำ
     
      สิ่งที่ทำให้น่ารื่นรมย์ของอาหารทุกมื้อคือ พลวงพี่ ที่เปลี่ยนกันมาดูแลพวกเราขณะรับประทานอาหาร ซึ่งจะเปลี่ยนกันมาคนละมื้อ ( คงเป็นเวรดูแลกันตามเวลา ) ทุกคนดูแลเอาใจใส่ดีมาก กริยาสุภาพ และพยายามเชิญชวนให้เราทาน แต่เรากลับอยากให้หลวงพี่ออกไปจากห้องทานอาหารมากกว่า เพราะเวลาทานอาหารแบบญี่ปุ่นเขาต้องมีมารยาทอย่างมาก



การจัดโต๊ะชุดอาหารหากจัดแบบใด ทุกชุดต้องจัดเหมือนกันหมด ห้ามวางต่างกันแม้สักนิ้วเดียว ขณะนั่งทานเราต้องนั่งแบบญี่ปุ่นตัวตรง เมื่อทานจานใดเสร็จก็ต้องวางจานนั้นลงบนจุดที่เขาตั้งไว้แบบเดิมให้เรียบร้อย ฝาถ้วยต้องปิดไว้ให้เหมือนเดิม แต่ความที่เราเป็นคนที่กำลังหนีออกจากกรอบ จึงไม่สามารถทนทำตามกรอบได้นานเท่าใดนัก   ดังนั้น ทันทีที่หลวงพี่ออกจากห้องไป เราทุกคนก็โล่งอก  ปล่อยหัวเราะออกมาเพราะ  ขำตัวเองที่สามารถทนอยู่ในระเบียบอย่างเคร่งครัดได้บ้างเหมือนกัน   มีเพียงบางคน ( อิฉันเองล่ะเจ้าค่ะ พระคุณท่าน) ที่ถึงกับล้มตัวลงนอนบนเสื่อด้วยความผ่อนคลาย ( เหมือนครูไม่อยู่ หนูร่าเริง)
       
 ในที่สุดอาหารเย็นของนักเรียนประจำ เอ๊ย ของคณะเราก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้จานชามจะไม่เข้าที่อยู่กะร่องกะรอยเท่าใดนัก แต่หลวงพี่ก็มิได้เอ่ยปากว่าแต่อย่างใด เอาแต่ยิ้มลูกเดียว ท่านคงนึกในใจว่า   
 อายุโยมป้า ก็มากแล้ว... เหตุไฉนจึงยังซนเป็นเด็กอีกหนอ ....อามิตะพุทธ
 ก่อนเราจะกลับห้อง หลวงพี่ก็ย้ำอีกว่า เดี๋ยวจะมีการสนทนาธรรมกันที่ห้องข้างๆ พวกเราจะมาร่วมก็เชิญมาให้ทันเวลา แต่พวกเราทุกคนต่างพร้อมใจกันปฏิเสธ โดยบอกว่าเดินทางเหนื่อยมากขอพักผ่อนดีกว่า ท่านก็ได้แต่โค้งศีรษะแล้วเดินจากไป ส่วนจะคิดอะไร นั้นไม่กล้าเดา
       อาจเป็นการไม่ถูกต้องนักที่ไม่ไปสนทนาธรรม แต่หากคิดถึงประสบการณ์ช่วงสั้นๆที่มาพักวัดได้รู้แค่นี้ก็ดีเกินไปสำหรับเราแล้ว ต่อจากนี้เราก็จะไปอาบน้ำร้อนให้สบายตัว การไปอาบน้ำในเวลาที่คนอื่นกำลังสนทนาธรรมนี่ถือเป็นโอกาสดี เพราะจะได้แช่อยู่ในสระน้ำร้อนคนเดียว ไม่ต้องมีคนอื่นมาทำให้ต้องเขินอาย  (หากทุกท่านได้อ่านเรื่อง อาบน้ำแบบญี่ปุ่นมาแล้วคงเข้าใจ หากยังไม่ได้อ่านโปรดกลับไปอ่านก่อน 
 ก็อย่างที่บอกว่า ห้องพักที่นี่มีแต่ห้องนอนอย่างเดียว ห้องสุขา และห้องอาบน้ำเป็นแบบห้องรวม ซึ่งอยู่นอกห้อง เรียกว่าคนละด้านกับห้องพักเลย กลางคืนก่อนนอนจึงต้องเข้าห้องสุขาให้เรียบร้อยก่อน ขืนปวดกลางดึกคงไม่กล้าออกมาแน่ แม้ในวัดจะไม่มีป่าช้า แต่อย่าลืมว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีป่าช้าใหญ่ที่สุดของประเทศ ดังนั้นจึงอาจมีรัศมีปฏิบัติการกว้างไกลกว่าป่าช้าเล็กๆทั่วไป โอกาสที่จะถูกผีหลอกจึงสูงกว่าปกติ หลายร้อยเปอร์เซ็นต์




        ห้องอาบน้ำของที่นี่แยก ชาย หญิง มีเพียงป้ายบอกหน้าห้องเท่านั้น ไม่มีประตูและกลอน ภายในห้องสะดวกสบายยิ่งกว่าโรงอาบน้ำสาธารณะที่เราเคยผ่านมาเสียอีก 



    อุปกรณ์ใหม่เอี่ยม เสื้อผ้าเปลี่ยนสะอาดหอมกรุ่น มีสระแช่น้ำร้อนกว้างใหญ่ ถึงสองสระภายในห้องที่กว้างราวกับโรงยิมนาสติค  บรรยากาศภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ   ดิฉันแช่ตัวอย่างมีความสุขอยู่ลำพัง  ดูเหมือนว่านี่จะเป็นจุดที่ดีที่สุดของวัดนี้เลยทีเดียว

      เมื่อกลับมาถึงห้อง ก็ต้องแปลกใจ ( แม้จะรู้มาแล้วก็ตาม) ที่เห็นว่าห้องถูกปูด้วยที่นอน มีผ้านวมหนานุ่ม เชิญชวนให้นอนเสียจริง คงเป็นพนักงาน หรือไม่ก็เณร ที่มาปูที่นอนให้  ในที่สุดเราก็ซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม แม้ในห้องจะมีฮีทเตอร์ แต่อากาศติดลบในช่วงกลางคืนแบบนี้ อยู่ใต้ผ้าห่มเป็นดีที่สุด ขณะตากำลังริบรี่ก็ได้ยินเสียงคนพึมพำคุยกัน แว่วมาจากไหนสักแห่ง คิดว่าน่าจะเป็นเสียงคนข้างห้อง ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ อย่าเป็นเสียงอื่นเลย  หลับล่ะ โอะยะ ซึมินะไซ… Goodnight ..ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ


     แสงสว่างอ่อนๆส่องผ่านผนังกระดาษเข้ามาในห้องนอน นาฬิกาของเราบอกเวลาหกโมงเช้า ขณะลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ มีเพียงเสียง จิ๊บ จิ๊บ ของนกที่เกาะบนกิ่งไม้เท่านั้นที่ผ่านเข้ามาถึงเรา คงเป็นเพราะเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวันกระมังที่ทำให้เรานอนกันแต่หัวค่ำ จึงสามารถตื่นเช้าได้ขนาดนี้ หันไปมองเพื่อนข้างๆ ซึ่งก็ตื่นแล้วเหมือนกันแต่ยังนอนลืมตาฝันหวานอยู่ พร้อมบ่นว่าไม่อยากลุกขึ้นไปไหนเลย อยากนอนอยู่สบายๆอย่างนี้  แต่เรายังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงหลวงพี่คนดี บอกว่า

 การสวดมนต์เช้ากำลังจะเริ่มแล้ว  โปรดเตรียมตัวให้เรียบร้อยด้วยขอรับ
      เสียงหลวงพี่บอกให้เตรียมตัวสวดมนต์ หมายถึงว่าเขาบอกให้เราแต่งตัวให้เรียบร้อย เพราะในห้องสวดมนต์ ( Main Hall ) ไม่อนุญาตให้ใส่ชุดยูกาตะ ที่เราใส่นอนเข้าไป เรามองหน้ากันเชิงถามความเห็นว่าจะเอาอย่างไร ในที่สุดเราก็ยอมแพ้แก่ฝ่ายอธรรม ( จนได้ซิ) พร้อมกับนอนบิดขี้เกียจต่อไป เช้านั้นพระคุณท่านทั้งหลายจึงสวดมนต์โดยไม่มีเราอยู่ในห้องนั้นเลยสักคน  

       เรายอมรับว่ายังไม่สามารถทำตัวให้เป็นคนดีของพระท่านได้ในวันนี้ เพราะแทนที่จะไปสวดมนต์ เรากลับเลือกที่จะไปแช่น้ำร้อนในสระน้ำของวัดอีกครั้งแทน  
  

 เมื่อกลับมาและแต่งตัวเสร็จ ก็เป็นเวลาของอาหารเช้าพอดี   ไม่นานก็ มีหลวงพี่ มาเคาะประตูตามเคย คราวนี้เปลี่ยนมาใหม่อีกคน แต่สุภาพตามแบบฉบับเดียวกัน 





 

   อาหารเช้าหน้าตาเดียวกับอาหารเย็นเมื่อวานนี้ เพียงแต่ปริมาณน้อยลงเท่านั้น สำหรับอิฉัน เช้าๆแบบนี้ไม่อยากรับประทานอาหารหนักจำพวกข้าวและกับข้าวแบบนี้เลย  สิ่งที่ทำได้คือแอบงัดเอาขนมปังที่ซื้อมาจากโอซาก้า ที่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาทานกับน้ำชาแทน ( ที่จริงโหยหากาแฟดำเข้มๆ เป็นอย่างมาก แต่ที่นี่ไม่มีบริการ)   เป็นอันว่า รอดตายไปอย่างหวุดหวิดอีกหนึ่งมื้อ ส่วนอาหารเช้าของอิฉัน ก็มีผู้ปรารถนาดีข้างๆ ช่วยกันรับประทานแทน เพราะกลัวทางวัดจะรู้ว่ามีคนไม่ยอมทาน ( บรรยากาศทำให้นึกถึงตอนอยู่โรงเรียนประจำสมัยเด็กยังไง ยังงั้นเลย )




                    บรรยากาศช่วงเช้าของที่นี่สวยงามมาก แสงแดดอ่อนๆส่องลงมาสะท้อนให้กลีบดอกซากุระไหวพลิ้วไปกับสายลม ด้านนอกวัดยังไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว เมืองทั้งเมืองเงียบสนิท 

     ขณะเดินออกไปตามถนน เห็นป้ายกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคนเขียนไว้แถวหน้าวัด เป็นข้อความเชิงบอกกล่าวความในใจของผู้ที่มาแสวงหาความสงบ ว่า “ Everyday I listen to my heart ” อ่านแล้วชอบใจมาก เดาเอาว่าผู้ที่เขียนไว้คงต้องถูกบังคับให้ฟังคนอื่นมาตลอดชีวิต จึงต้องมาหาที่สงบเพื่อบอกสิ่งที่ตัวเองอยากฟังบ้าง แม้อาจจะตีความหมายต่างกับผู้เขียน แต่ก็ทำให้อิฉันมีความสุข และดูเหมือนว่าจะพบทางของตัวเองบ้างแล้ว

       เดินได้สักพักบรรดาลูกทัวร์ก็ถูกความเงียบเหงาเกาะกินหัวใจจนแทบทนไม่ ไหว จึงร้องชวนกันกลับไปลุยแสงสีที่โอซาก้ากันเร็วขึ้น ผู้สูงอายุอย่างอิฉันแม้จะชอบความเงียบ แต่ก็ต้องตามใจหัวหน้าทีม 
     เราจึงจำต้องพากันไปห้องทำงานเพื่อกราบลาท่านเจ้าอาวาส และหลวงพี่ที่ช่วยกันดูแลเรา ช่วงที่บอกลาดูเหมือนว่า พระท่านมิได้แสดงอาการตกใจแต่อย่างใด หลวงพี่ทั้งสามแอบส่งสายตาบอกความในใจว่า นึกแล้วเชียวว่า  โยมคงอยู่ไม่นานเราก็ได้แต่ก้มกราบลาอย่างอายๆ เอาไว้โอกาสหน้าหวังว่าคงได้มากราบท่านใหม่... ซาโยนาระ เจ้าค่ะ

       และในที่สุดเราก็กลับลงมาจาก Koyasan สู่พื้นโลกอีกครั้ง ท่ามกลางความหนาวเย็น และเมฆหมอก ถึงจะไม่อาลัยอาวรณ์มากมายเหมือนเมืองคิโนซากิ แต่ก็นับว่าเมืองนี้ได้ให้ประสบการณ์ที่มีค่ากับเราอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดก็คือความสงบของธรรมชาติ และ จิตใจ ได้เห็นว่าชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างฟุ้งเฟื้อก็สามารถมีความสุขได้ และท้ายสุด เราทุกคนก็จะมารวมกันอยู่ในที่ที่เรียกว่า สุสานนั่นเอง

     นี่คือบทจบของซีรีส์ “เที่ยวญี่ปุ่น”  หวังว่าสิ่งที่เล่ามานี้ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านบ้าง  ขอให้โชคดีทุกท่านค่ะ ......