บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เขาค้อ สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย




 เที่ยว เพชรบูรณ์ ตอน 2
เขาค้อ สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย 


            หลังจากเที่ยวอุทยานประวัติ ศาสตร์เมืองศรีเทพ ซึ่งเป็นจุดแรกของจังหวัดเพชรบูรณ์  โดยใช้เวลาไป เกือบสามชั่วโมง ด้วยการเดินตามวิทยากรไปจนทั่ว หลายคนท้องร้องด้วยความหิว การเที่ยวชมจึงจบลงด้วยการนั่งรถรางออกมายังศูนย์ข้อมูลฯเพื่อเตรียมตัวกลับ ขณะรถของเราเดินทางออกมาจากอุทยานฯเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองวิเชียรบุรี   รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตรึงด้วยความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ที่ได้เห็น ความประทับใจ ทำให้ต้อง สัญญากับตัวเองว่า สักวัน ฉันจะกลับมา
       เลยเวลาเที่ยงมาครู่ใหญ่แล้ว เสียงท้องของบางคนร้องครวญครางจนเราไม่จำเป็นต้องปรึกษากันเลยว่าจะทานอาหารกลางวันกันที่ไหน เพราะเรากำลังอยู่ในเมืองวิเชียรบุรี เมืองที่เคยได้ยินแต่ชื่อ “ ไก่ย่างวิเชียรบุรี”  ฉบับปลอมๆ มานาน วันนี้ได้มาอยู่ในสถานที่จริง และไก่ย่างจริงๆ แม้จะไม่ใช่ตัวเป็นๆ แต่ก็จับต้องและ เคี้ยวได้ แล้วจะช้าอยู่ใย ดังนั้นเราจึงรีบบึ่งรถกันแทบไม่คิดชีวิตกันทีเดียว
       ระหว่างทาง เสียงโทรศัพท์ของดิฉันก็ดังขึ้น เป็นสายจากเพื่อนชาวเพชรบูรณ์ที่ทราบว่าเราอยู่ในพื้นที่ของเขา   และขอเชิญคณะของเรามาร่วมวงทานอาหารกลางวันด้วย   เพราะเขาตั้งโต๊ะรอเราอยู่ที่ร้านไก่ย่าง แถวสี่แยกเมืองวิเชียรบุรีพอดี   เราจึงไม่เสียเวลามากนักในการเดินทางไปที่นั่น  แถมยังเป็นการดีสำหรับเราที่จะได้ไม่ต้องถามหาร้านอร่อย เพราะร้านไก่ย่างเมืองนี้มีประมาณ ร้อยกว่าร้าน ขืนเสียเวลาเลือกร้านคงเป็นลมด้วยความหิวเสียก่อน การไปทานกับเจ้าของพื้นที่ย่อมปลอดภัย เพราะเจ้าถิ่นย่อมต้องรู้จักและเลือกร้านที่อร่อยที่สุดอยู่แล้ว
       ร้านที่เราไปชื่อ “ร้านบัวตองซึ่งก็เป็นร้านที่อร่อยร้านหนึ่งในหลายๆร้าน สถานที่ร่มรื่นเย็นสบายแบบธรรมชาติ มีอาหารอีสานมากมายให้เลือกสั่ง แต่คนต่างถิ่นอย่างเราคงสั่งไม่ถูกแน่ โชคดีที่เมื่อไปถึงอาหารได้ถูกสั่งรอเราอยู่แล้ว  ที่หน้าตาแปลกมากจนต้องถามว่าอะไร คือ ส้มตำทอดที่ดูคล้ายกับโก๊ยซี่หมี่ มากกว่า อาหารจานนี้เป็นจานที่มีชื่อของทางร้านทีเดียว ลองชิมดูรสก็เป็นส้มตำแต่มีความกรอบของมะละกอทอดแถมมาให้ 



จานอื่นที่อร่อยไม่แพ้กันคือ ลาบเป็ด หมูน้ำตก ส้มตำสด  ไก่ต้มใบมะขามอ่อน ( รสคล้ายต้มยำ แต่เปรี้ยวด้วยใบมะขามแทนมะนาว) และที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ย่างตำหรับวิเชียรบุรีที่กรอบนอกนุ่มใน เนื้อแห้งแต่ไม่เหนียว อร่อยอย่างนี้เองเล่า คนถึงได้กล่าวขวัญถึงกันมาก งานนี้คงไม่เกรงใจใครแล้ว ขออนุญาตรับประทานทานแบบ non stop เถอะนะ
          
           จบจากอาหารเที่ยง เราก็ตั้งใจจะรีบเดินทางต่อ จึงล่ำลาเจ้าถิ่น ด้วยความเขิน ที่มาทานของเขาฟรีแบบไม่มีอาการเกรงใจเลย แต่เพื่อนเจ้าถิ่นซึ่งต้องกลับเข้าตัวจังหวัดกลับชวนให้เราเดินทางไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะได้แวะเยี่ยมชมไร่กำนันจุล ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่ง ได้ยินชื่อสถานที่ที่จะไปเราก็รีบตกลงทันที เพราะหาโอกาสมานาน ประกอบกับอยู่ในแผนที่เราจะไปเที่ยวอยู่แล้ว จึงรีบตามชาวคณะเพชรบูรณ์ไปแต่โดยดี
       
        ไม่นานนักรถของเราก็เข้ามายังรั้วของ บริษัท ไร่นายจุล ค้นวงศ์ จำกัดที่สำนักงานของบริษัทฯ เราได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของบริษัทฯ ให้พวกเราทราบ ในระหว่างการสนทนา   พนักงานฯได้เสริฟน้ำหวานชนิดหนึ่งแก่เรา ซึ่งรสทั้งเปรี้ยว และหวานกลมกล่อมชื่นใจมาก ความอร่อยทำให้ต้องดื่มทีเดียวหมดแก้วโดยลืมที่จะสำรวมกิริยาไปชั่วขณะ  และอดที่จะถามถึงชื่อเจ้าน้ำหวานแก้วนี้ไม่ได้ เจ้าหน้าที่บริษัทฯจึงรีบเชิญชวนพวกเราไปชมร้านค้าของเขา ที่ซึ่งมีน้ำลูกหม่อน”     ( Mulberry) ที่เรากำลังชื่นชอบ และสินค้าจากไร่จำหน่ายมากมาย 

        ร้านค้าของไร่ฯอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารบริษัทฯ บริเวณรอบร้านค้าร่มรื่น ภายในร้านติดแอร์เย็นฉ่ำเอาใจนักช๊อปปิ้ง จึงไม่แปลกเลยที่ในตะกร้าของเราจะเต็มไปด้วย น้ำผลไม้ และผลไม้นานาชนิด ที่ชอบมากเป็นพิเศษคือเยลลี่ที่ทำจากผลไม้แท้ๆ คือมัลเบอร์รี่ สละ และส้มซึ่งเมื่อทานแล้วอร่อยจนต้องรีบหยิบเป็นแพ๊คใหญ่ แถมพอมาจ่ายเงินทางร้านชี้ให้ดูป้ายว่า วันนี้มีโปรโมชั่นพิเศษซื้อ 3 แถม 1 เราจึงรีบกลับไปซื้อเพิ่มจนเงินแทบหมดกระเป๋า ดีที่เห็นป้ายยินดีรับบัตรเครดิตเราเลยไม่ต้องกังวลว่าเงินจะหมดเสียก่อน รีบข้ามห้องไปซื้อผ้าไหมและเครื่องสำอางที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติต่อเลย เที่ยวครั้งนี้สนุกตรงได้ซื้อของนี่ล่ะพี่น้องเอ๋ย
         เราเพลิดเพลินกับการซื้อของเสียนาน มารู้ตัวอีกทีก็บ่ายคล้อยแล้ว ยังมีอีกหลายแห่งที่ยังไปไม่ถึง คราวนี้โชเฟอร์เห็นทีต้องใช้เกียร์พิเศษเพื่อขึ้นเขาค้อไปให้ทันก่อนมืด เพื่อนชาวเพชรบูรณ์ได้ยินเราบ่น จึงรีบมาปลอบใจว่าไม่ต้องกังวล เพราะเขาค้อมีทางขึ้นได้สองทางซึ่งมีระยะทางต่างกันมาก วันนี้เขาจะนำทางเราไปโดยใช้เส้นทางใกล้ ซึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่าเป็นชั่วโมง แถมยังมีเวลาซื้อขนมทานกลางทางได้อีกด้วย พูดถึงของกินดิฉันก็หูผึ่งขึ้นมาทันที จึงตกลงไปทางที่ว่านี้ ตามคำเชิญชวน

       เราใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงตัวเมืองเพชรบูรณ์ ความที่อยากรู้ว่าเมืองเพชรบูรณ์ใหญ่โตแค่ไหน จึงขอให้ขับรถวนดูรอบเมืองหนึ่งรอบพอหอมปากหอมคอ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อขึ้นเขาค้อ  เราออกมานอกเมืองไม่นานนัก ผู้นำทางก็ชวนเราหยุดแวะข้างทาง เพื่อชิมอาหารว่างยามบ่าย ดูแล้วก็เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมพอดี เพราะไก่ย่างเมื่อกลางวันบินกลับไปเมืองวิเชียรบุรีหมดแล้ว  และระยะทางที่จะไปข้างหน้าอีกนานเท่าไรก็ยังไม่ทราบแน่นอน เมื่อคิดเข้าข้างตัวเองได้ดังนั้นเราจึงรีบแวะด้วยความเริงโลด
               ร้านที่เราแวะเป็นร้านเล็กๆตั้งอยู่ข้างทางในเขตตำบลนางั่ว ชื่อร้านยุพา ที่นอกจากจะขายอาหารตามสั่งทั่วไปแล้ว ยังขายอาหารว่างและขนมหลายชนิด ที่มีชื่อเสียงมากคือ ซาลาเปา ขนมจีบ ข้าวเหนียวแก้ว และตะโก้แห้ว ด้วยความเร่งรีบ หากมัวตัดสินใจว่าจะซื้ออะไรทานดีเราคงเสียเวลามาก ดิฉันจึงสั่งซื้อขนมทุกอย่างที่เอ่ยนามมาอย่างจะกล่องสองกล่อง เพื่อทานในรถและก็ต้องขอยืนยันความอร่อยตามที่เจ้าบ้านแนะนำทุกประการ เพราะอาหารที่ซื้อมาหมดไปในพริบตา
       เมื่อถึงทางแยกไปเขาค้อ  รถของเราเริ่มเงยหัวขึ้นไปตามทางสายนางั่ว-สะเดาพง ที่ต้องใช้คำว่าเงยหัวกันเลยเพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ชันและแคบมาก หากมาด้วยรถบัสคันใหญ่คงไม่สามารถ  ทางนี้จึงมีแต่รถเล็กและคนชำนาญทางเท่านั้นที่ขับมา แม้เส้นทางจะดุเดือดแค่ไหน แต่ก็ยังมีสีสันให้เรามีความสนุกสนานได้ เพราะนอกจากจะมีร้านค้าพืชผักผลไม้ของชาวเขาตามข้างทางแล้ว ที่บริเวณกิโลเมตรที่ 17.5 เราก็พบกับจุด Unseen ของเพชรบูรณ์อีกอย่าง นั่นคือ เนินมหัศจรรย์


เนินนี้มีความแปลกตรงที่เมื่อขับรถมาถึงตรงจุดนี้ และดับเครื่องยนต์ รถจะถอยหลังขึ้นเนินได้เอง ปรากฎการณ์นี้ เกิดจากภาพลวงตา เพราะในความเป็นจริงเมื่อวัดระดับความสูงของพื้นที่สองจุดแล้ว ความสูงของเนินนี้จะมีระดับต่ำกว่าช่วงที่เป็นทางขึ้นเนินนั่นเอง วันนั้นเราจึงทดลองทำตามที่เจ้าถิ่นบอกทุกประการ ผลที่ออกมาคือรถของเราสามารถถอยหลังขึ้นเนินได้เอง ยิ่งมีคนในรถมากขึ้น รถก็จะถอยหลังเร็วขึ้นด้วยน้ำหนักถ่วงของรถ  งานทดลองครั้งนี้ทำเอาสาวสูงวัยในรถถึงกับกรี๊ดด้วยความสนุกสนานตื่นเต้นไป ชั่วขณะ นานๆได้กรี๊ดสักที ทำให้ดิฉันรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นเยอะเหมือนกัน        แต่ยังนะ.... ยังไม่หมดแค่นี้  เพื่อความหฤหรรษ์ของผู้เดินทาง   ระหว่างการเดินทาง เราได้ทำการทดลองทางภูมิศาสตร์อีกอย่างหนึ่ง คราวนี้เป็นเรื่องของภูมิอากาศ โดยการเปิดกระจกรถแล้วยื่นมือออกไปสัมผัสกับอากาศภายนอก พบว่าอากาศนอกรถค่อยๆเย็นกว่าในรถ  ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ( เหมือนชื่อเพลง) การทดลองแบบนี้ทำให้สาวๆในรถสนุกสนานกันเป็นอย่างมาก นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังช่วยเตือนเราด้วยว่า อีกไม่นานเราจะต้องอยู่กับอากาศเย็นมากกว่านี้แน่นอนเมื่อเราไปถึงยอดดอย
        จบจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้ว เราก็มุ่งหน้าเงยหัวขึ้นไปยังยอดเขาค้อต่อไป ความสูงของภูเขาทำให้ การเดินทางดูจะไม่สะดวกสบายนัก แต่ก็โชคดีที่ทางที่เราเลือกมาครั้งนี้ แม้จะสูงชันแต่ก็มีระยะทางที่สั้นกว่าเส้นทางอื่น ไม่นานนักเราก็มาถึง ตัวอำเภอเขาค้อ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา   ซึ่งเป็นที่ราบไม่กว้างใหญ่นัก บ้านเรือนส่วนใหญ่จึงปลูกตามเชิงเขา มีแต่ถนนเท่านั้นที่อยู่บนยอดสันเขาที่ตัดเป็นที่ราบแคบๆ 
 สถานที่แรกที่เราผ่านและแวะคือ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นเจดีย์ ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนได้สักการะบูชาหลายองค์ด้วยกัน ที่เรียกว่าพระธาตุก็เพราะว่า ที่ยอดเจดีย์องค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระราชอุทิศถวาย พระบรมสาริกธาตุและพระธาตุสาวก ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกามาบรรจุเอาไว้ เพื่อเป็นที่สักการะให้ประชาชนมีความสุขร่มเย็น ดังนั้นการมาสักการะองค์พระธาตุนี้จึงเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
       ออกจากพระบรมธาตุฯ ก็ใกล้เย็นมากแล้ว แสงอาทิตย์เริ่มลดความร้อนแรงลง ดังนั้นทุกครั้งที่มีลมพัดผ่าน ความหนาวก็เข้ามาล้อมรอบตัวเราอย่างแน่นหนา ในฤดูหนาวอย่างนี้แม้อยู่ในกรุงเทพฯยังไม่รู้สึกเย็น แต่ที่บนเขาค้อขนาดกลางวันแสกๆ ยังหนาวสั่นปานนี้ สมแล้วที่ได้สมญานามว่า สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
        ระหว่างทางไปที่พัก เราผ่านเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าม้ง ที่ทำการเพาะปลูกตามไหล่เขา ในยามเย็นที่แสงอาทิตย์อ่อนสาดส่งลงมาช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก ในช่วงแรกที่ขึ้นมาถึงยอดเขา รู้สึกสงสัยและสงสารชาวบ้านที่ขึ้นมาตั้งบ้านเรือนบนนี้ เพราะดูแล้วว่าน่าจะใช้ชีวิตที่ลำบากสักหน่อย แต่เมื่อเห็นความงามของทิวทัศน์รอบตัว  ประกอบกับอากาศเย็นสบายแล้ว  ดิฉันกลับรู้สึกอิจฉาชาวบ้านและ อยากมาอยู่แบบนี้บ้าง  นั่งชมวิวไปจนเพลินมาถึงที่พักเมื่อไรไม่ทันรู้ตัว
 ที่พักของเราเป็นรีสอ์ทแบบเป็นบ้านหลังๆ ทุกหลังจะมีปล่องไฟจากเตาผิงโผล่ขึ้นมา ส่วนเตาผิงจะใช้ได้หรือไม่ยังไม่มีการพิสูจน์ ความที่ที่พักของเราตั้งอยู่ในหุบเขา ดังนั้นอากาศจึงหนาวยะเยือกกว่าทุกที่ที่ผ่านมา เมื่อเข้าที่พักหลายคนที่เคยตั้งใจว่าจะอาบน้ำก่อนทานอาหารค่ำ จึงเปลี่ยนความตั้งใจ สำหรับดิฉัน ขอประกาศยกเลิกการอาบน้ำทุกมื้อโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
        เมื่อถึงโรงแรม เรายังไม่ทันได้ชมความงามของที่พัก ความมืดก็เข้ามาปกคลุมหุบเขาเสียแล้ว กิจกรรมที่ต้องทำต่อไปคือ การรับประทานอาหารค่ำ ซึ่งต้องไปทานที่ห้องอาหารของโรงแรม ขณะเดินไปตามทางลาดของภูเขา เพื่อไปห้องอาหาร  พวกเราทั้งหมดอยู่ในชุดลูกหมี เพราะทุกคนต่างก็งัดเสื้อที่มีอยู่ออกมาใส่กันหมดจนตัวกลมกันทุกคน นึกบ่นในใจตามประสาคนขี้เกียจว่า ให้ตายเถอะ หนาวอย่างนี้ยังต้องเดินออกไปทานอาหารข้างนอกอีก แถมห้องอาหารยัง Open Air อีกต่างหาก ทุกครั้งที่ลมพัดมาปากของดิฉันจึงสั่นจนฟันกระทบแบบไม่ต้องเคี้ยวให้เมื่อยเลย
         อาหารของเราวันนี้อร่อยทุกอย่าง โดยทางโรงแรมก็พยายามจัดเมนูให้สอดคล้องกับอากาศเย็น เราจึงมีบาบีคิวเนื้อหลากชนิดทานกันร้อนๆ แถมด้วยข้าวโพดหวานย่างเป็นเครื่องแนม ที่ชอบมากคือผัดผักสดๆจากไร่ข้างโรงแรม  ซึ่งหวานอร่อยโดยไม่ต้องใส่เครื่องปรุงมาก สำหรับอากาศเย็นอย่างนี้ อาหารที่อร่อยที่สุดต้องเป็นผักสลัด ซึ่งสดกรอบหวานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องแช่เย็น คืนนี้ดิฉันขอบำเพ็ญตนเป็นนักพรต รับประทานผักกรอบๆชามโตประชดความหนาวไปเลย
         ถึงเวลาเข้านอนแล้ว หลายคนเหนื่อยกับการเดินทางจึงอยากนอนเต็มทน เราเข้ามาในห้องพักซึ่งเป็นสองห้องทะลุถึงกันได้  ทันทีที่ชาวคณะเดินทางเข้ามาในห้องนอน  ทุกคนจะรีบเปิดแอร์คอนดิชั่นด้วยความเคยชิน จนดิฉันต้องทักท้วงว่าเรามาในสถานที่ที่อากาศบริสุทธิ์แบบนี้แล้ว น่าเสียดายถ้าไม่นอนสูดอากาศสะอาดๆให้เต็มปอด แต่การทักท้วงไม่เป็นผล เพราะคนกรุงเทพฯต่อให้ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องเปิดแอร์ฯนอน มิฉะนั้นจะนอนไม่หลับ  ดังนั้นดิฉันจึงต้องอัปเปหิตัวเองออกมานอนห้องเล็กๆคนเดียว เพราะไม่อยากนอนห้องแอร์ นั่นเอง
         คืนนี้แม้จะเดินทางมาเหนื่อย แต่ฟ้าใสสว่างจนมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าอย่างนี้ หากมัวแต่นอนในห้องก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก โชคดีที่รีสอร์ทนี้มีระเบียงทุกห้อง  ความที่มีอารมณ์อาร์ทติสกับเขาอยู่บ้าง ดิฉันจึงคว้าผ้านวมในห้องมาห่มกันหนาว แล้วออกมานั่งชมดาวเคล้าเสียงเพลงอยู่คนเดียว เป็นไปได้ว่าการอยู่บนยอดภูเขาสูงน่าจะใกล้ท้องฟ้ามากกว่าพื้นราบ  ดังนั้นดาวที่เราเห็นจึงชัดเจนสุกสว่างกว่าที่ไหนๆ ดูเหมือนว่าดิฉันจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในคืนนี้เพียงคนเดียวกระมัง 

รุ่งเช้า .....ตามที่เคยบอกมาหลายครั้งแล้วว่า  ทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างถิ่น ดิฉันจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปกับการนอน เพราะอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของทุกช่วงเวลาในสถานที่ที่ไปเยือน ให้มากที่สุด  ดังนั้น เช้านี้ดิฉันจึงเป็นคนแรกที่ย่องออกจากห้องพักไปพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคู่ใจ  ในขณะที่แสงแรกของตะวันเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า เช้านี้จะเป็นการสำรวจรอบที่พักเป็นครั้งแรกของดิฉัน 
  หลังจากเดินไปถ่ายรูปไปจนรอบบริเวณโรงแรม ซึ่งสวยงามด้วยฝีมือคนดูแล  ดูแล้วก็ไม่ตื่นเต้นและไม่ต่างจากโรงแรมดังๆทั่วไป   นั่งรอพระอาทิตย์ส่องแสงพ้นยอดดอยที่สลับซับซ้อนอยู่นาน   ความที่ดิฉันอยู่ในมุมอับแสงของด้านหลังเขา แสงอาทิตย์จึงส่องแสงมาช้ามาก  ผิดกับอีกด้านหนึ่งของภูเขา ที่สามารถมองเห็นลำแสงอาทิตย์ส่องลงไปในหุบเขาอีกด้านหนึ่งได้อย่างชัดเจน 



       เมื่อเดินตามแสงอาทิตย์ที่สาดลงไปในหุบเขาด้านล่างซึ่งเป็นเขตไร่ของชาวม้งข้างโรงแรม  ภาพที่เห็นทำให้ถึงกับตะลึง   อุทานออกมาดังๆคนเดียวด้วยความเริงโลด นี่คือสวรรค์บนดินจริงๆ จะมีใครสักกี่คนได้เห็นภาพงามๆอย่างนี้ นี่คือภาพที่โรงแรมไม่ได้จัดไว้ให้แขกที่มาพักดู แต่นี่คือภาพชีวิตจริงๆที่สวยงามและ เป็นภาพที่ดิฉันแสวงหามานาน

             ภาพแปลงไร่ผักพืชเมืองหนาวบนยอดภูเขา เป็นสีเขียวเรียงแถวเป็นระเบียบสุดลูกตา มีบึงน้ำเล็กๆที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นเกล็ดระยิบระยับ นี่ละคือภาพของความสุข ที่ไม่มีให้เห็นในโรงแรม เป็นความงามที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับคนที่กำลังค้นหาจริงๆ บอกตัวเองว่าการได้มาอยู่ท่ามกลางสิ่งดีๆแบบนี้ชีวิตคงยืนยาวไปอีกหลายปี
      หลังจากถูกตรึงด้วยความสุข จากการนั่งแอบดูชาวม้งทำสวนอยู่พักใหญ่  ตะวันเริ่มส่องแสงแรงกล้าขึ้น ป่านนี้ชาวคณะของดิฉันคงตื่นมาทานอาหารเช้ากันแล้ว  จึงรีบเดินกลับห้อง แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะชาวเมืองหลวงทั้งหลายยังคงนอนอุดตุกันอยู่ใต้ผ้าห่มตามเคย    ความที่เกรงว่าจะสาย  ดิฉันจึงต้องปลุกให้ทุกคนตื่นด้วยการปิดแอร์คอนดิชั่นในห้องนอน ซึ่งก็ได้ผล ที่น่ายินดีคือเมื่อเปิดหน้าต่างให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง แม้จะเย็นกว่าแอร์ฯ แต่ทุกคนก็เอ่ยปากชมว่าเป็นอากาศที่สดชื่นมากจนน่าเสียดาย ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว เพราะไม่สามารถเรียกเวลาเช้าให้คืนกลับมาได้อีก 
         อาหารเช้าวันนี้เป็นการรับประทานอาหารเช้าที่คุ้มค่ามาก เพราะห้องอาหารตั้งอยู่เชิงเขาที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกล ถึงอาหารจะดีเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับอาหารตาอาหารใจในเวลานี้แล้ว เราขอเลือกอย่างหลังดีกว่า แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะชม ปลาท่องโก๋สูตรชาวม้งที่กรอบนอกนุ่มใน รสชาติดีมาก เมื่อทานกับน้ำเต้าหู้ที่ทำจากถั่วเหลืองบนดอยเขาค้อด้วยแล้ว คงต้องจำไปอีกนาน

     เช้านี้ แม้วิวจะสวย และอาหารอร่อยเพียงใด เราก็ต้องรีบทำเวลาเพราะยังมีอีกหลายแห่งที่ยังไม่ได้ไปชม วันนี้เราต้องพยายามเก็บสถานที่สำคัญๆให้หมด ก่อนที่จะกลับบ้าน เมื่อออกจากโรงแรมเราก็ตะเวนไปรอบๆตัวอำเภอเขาค้อ เสียก่อน เนื่องจากเมื่อวานมาถึงในเวลาเย็นมากแล้วจึงไม่มีโอกาสได้ดูเมืองบนภูเขาให้ ชัดเจน
      เขาค้อ เป็นชื่อเรียกรวมทิวเขาน้อยใหญ่ของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอเขาค้อ เหตุที่เรียกกันว่า เขาค้อเพราะป่าบริเวณนี้เดิมมีต้นค้อซึ่งเป็นไม้ตระกูลปาล์มขึ้นอยู่มาก ภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นสบายตลอดปีแม้ในฤดูร้อน และค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว รวมทั้งมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเพชรบูรณ์
       เขาค้อประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนมากมาย ยอดเขาค้อมีความสูงประมาณ 1,174 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล     เขาย่าสูง 1,290 เมตร  และ  เขาใหญ่ สูง 865 เมตร นอกจากนั้นยังมีเขาตะเคียนโง๊ะ เขาหินตั้งบาตร เขาห้วยทรายและเขาอุ้มแพ ลักษณะป่าไม้ในแถบนี้เป็นป่าเต็งรังหรือป่าไม้สลัดใบ ป่าสน และป่าดิบ ที่น่าสนใจก็คือ พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ออกผลเป็นทะลายคล้ายหมาก แม้ปัจจุบันป่าจะถูกถางไปมากก็ตาม แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง
        จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจบริเวณเขาค้อมีหลายแห่งโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การสู้รบกับคอมมิวนิสต์ ได้แก่ อนุสาวรีย์จีนฮ่อ  พิพิธภัณฑ์อาวุธ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ นอกจากนี้ยังมีพระบรมธาตุเจดีย์ ตำหนักเขาค้อ น้ำตก และรีสอร์ทที่สวยงามน่าพักมากมาย ที่พักบนเขาค้อ มีให้เลือกหลายแห่ง ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณตำบลทุ่งสมอและแคมป์สน ห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเขาค้อประมาณ 30 กิโลเมตร มีรีสอร์ทต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางขึ้นเขาค้อมากมายหลายแห่งให้เลือก
                     หลังจากวนรอบตัวอำเภอเขาค้อแล้ว สถานที่แรกที่เราตรงไปคือ พระตำหนักเขาค้อที่ตั้งอยู่บนเขาย่า สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรงานโครงการในพระราชดำริและทรงตรวจ เยี่ยมราษฎรอำเภอเขาค้อและอำเภอใกล้เคียง เป็นอาคารคอนกรีตครึ่งวงกลมมีทั้งหมด 15 ห้อง รูปทรงแปลกตาไปจากพระตำหนักอื่น แต่เราไม่สามารถเข้าไปชมภายในอาคารได้ เพียงแต่ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าชมบริเวณโดยรอบพระตำหนักเท่านั้น
          บริเวณใกล้กันมีบ้านพักทหารม้าซึ่งมีระเบียงใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวเทือกเขาด้านล่างได้โดยรอบแบบพาโนรามาทีเดียว จุดนี้หากใครไม่เดินไปดูก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก 
          จุดที่สองซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักคือ ฐานอิทธิ " หรือ พิพิธภัณฑ์อาวุธ เป็นจุดหนึ่งที่เห็นทิวทัศน์สวยงามและเคยเป็นฐานสำคัญทางยุทธศาสตร์ในอดีต ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธ จัดแสดงปืนใหญ่ ซากรถถังและอาวุธที่ใช้สู้รบกันบนเขาค้อ มีห้องบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะด้วย เขาเปิดให้เข้าชมทุกวัน ที่นี่เราเสียค่าเข้าชมคนละ 10 บาท ซึ่งก็จ่ายด้วยความยินดียิ่ง
               ไม่ห่างกันนัก แต่ต้องขับรถแบบระวังมากกว่าจุดใดๆ เพราะเป็นจุดที่อยู่สูงมาก คือ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดของเขาค้อ สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของพลเรือน ทหาร ตำรวจ ทหาร ผู้พลีชีพในการสู้รบเพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511-2525 โดยสร้างด้วยหินอ่อนเป็นรูปสามเหลี่ยมสูง 24 เมตร หมายถึง การปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ ทหารในปี พ.ศ. 2524 
       ผนังภายในบันทึกประวัติอนุสรณ์สถานและรายชื่อวีรชนผู้เสียสละไว้ด้วย ที่นี่เราเห็นบังเกอร์ที่เคยใช้ในการต่อสู้ จากจุดที่ตั้งสามารถเห็นไปได้ไกล ทหารบางคนบอกเราว่าวันที่อากาศดีจะมองเห็นประเทศลาว เห็นแล้วสะท้อนใจไม่อยากให้มีการสู้รบกันอีกเลย
 

            สถานที่ท่องเที่ยวบนเขาค้อที่เราแวะชมนี้ ฟังดูเหมือนใช้เวลาไม่นาน แต่ความที่ต้องขับรถขึ้นเขาลงเขาจากลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่งก็ใช้เวลาไปค่อนวันเหมือนกัน ในที่สุดเราก็ต้องหาอาหารรับประทานกันแล้ว หลายคนตัดสินใจที่จะทานแบบง่ายๆ เราจึงตรงไปหมู่บ้านชาวเขาชื่อบ้านเข็กน้อยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมชาวเขา
      “ หมู่บ้านเข็กน้อยตั้งอยู่ที่ ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ เลยไปทางที่จะไปพิษณุโลก เป็นหมู่บ้านม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและมีกิจกรรมท่องเที่ยวซึ่งหาดูได้ ยาก เช่น การจำลองวิถีชีวิตชาวม้ง ชมการแสดงทางวัฒนธรรม อาทิ วิถีชีวิต 12 เดือนของม้ง รำแคน ระบำกระดัง ระบำขลุ่ย เดินแบบชุดม้ง และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของชาวม้ง อาทิ ผ้าปักลาย พืชผักการเกษตร แต่เปิดให้ชมแค่วันเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท ที่นี่เราเห็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนาที่ใหญ่มาก แสดงว่าผู้คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ แต่เนื่องจากเราไปบ่ายมากจึงไม่มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมในโบสถ์แล้ว
        อาหารกลางวันที่ค่อนข้างสายมากของเราเสร็จไปแบบง่ายๆ และรวดเร็ว การมาหมู่บ้านนี้ถือเป็นกำไร เพราะตั้งใจมาทานอาหารแต่กลับมาพบเห็นวัฒนธรรมอีกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกว่ามาเที่ยวครั้งนี้ได้ประโยชน์มากจริงๆ แต่เวลาของเราก็เหลือน้อยลงทุกขณะ เพราะเราต้องรีบกลับกรุงเทพฯซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง
       ขากลับเราเลือกกลับคนละทางกับขามา ซึ่งใช้ดูเหมือนว่าจะไกลกว่า และ แม้จะรีบเพียงใด แต่เมื่อพบร้านขายผลิตผลจากสวนของชาวม้ง ที่ตั้งขายข้างทาง เรากลับแวะซื้อด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นว่าการจับจ่ายซื้อของ มักเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญเหนืออื่นใดของเรา จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะพบว่าภายในรถตู้ที่ว่างช่วงขามา ได้กลับกลายเป็นรถขนสินค้าจากสวนไปจนแทบไม่มีที่นั่ง        
      เที่ยวสนุก ช๊อปปิ้งกระจายอย่างนี้ คงไม่ต้องบอก ทุกท่านก็พอจะเดาถูกว่าคณะของเรามาถึงกรุงเทพฯกันกี่โมง เที่ยวครั้งนี้ แม้เหนื่อยแต่ก็สนุกจนอยากไปอีกหลายๆครั้ง หวังว่าคำอธิฐานของดิฉัน ที่ขอกับดวงดาวบนเขาค้อเมื่อคืนคงสำฤทธิ์ผล ให้ดิฉันได้กลับไปอีกสักครั้ง