บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Lily in Bath




แล้วก็มาถึงบทสุดท้ายของการท่องเที่ยวอังกฤษ  รวมทั้งเป็นบทความส่งท้ายปี 2555 นี้ อีกด้วย 
  

     ตั้งชื่อว่า Lily in Bath  หลายคนถึงสงสัยว่า คุณนายLily จะโชว์การอาบน้ำส่งท้ายปีรึไง  เปล่านะคะ ชื่อเรื่องหมายความว่า วันนี้อิฉันจะพาไปเที่ยวเมืองชื่อบาธ ( Bath ) ที่แปลว่าอาบน้ำนั่นล่ะค่ะ


     หลังจากเที่ยวเมือง Oxford ดินแดนแห่งเทพนิยายจนหมดเวลาแล้ว  เราก็ขับรถตรงลงใต้มายังเมือง Bournebouth ซึ่งเป็นเมืองที่หลานเรียนหนังสืออยู่  เราเดินทางด้วยโปรแกรมของ TOM TOM ที่พยายามนำเรามาจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด  ดังนั้นบางช่วงของการเดินทาง  เราจึงมักขับรถผ่าเข้าไปกลางหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถนนแคบเสียจนแทบสวนทางกับรถอื่นไม่ได้  แม้จะรู้สึกว้าเหว่ที่ต้องวิ่งไปตามทุ่งนา แต่ก็เป็นกำไรของชีวิตที่ได้เห็นหมู่บ้านอังกฤษในชนบท  ที่ดูราวกับเมืองในนิทานสำหรับเด็ก 


 คืนนั้นเราพักกันที่ Bournebouth โดยไม่ได้เห็นสภาพของเมืองเลย  เพราะมาถึงในช่วงกลางคืน   ฉันเพิ่งรู้ว่าห้องนอนของเราอยู่ด้านทิศตะวันออก เมื่อแสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาเต็มหน้า  รีบมองออกไปนอกหน้าต่าง และก็ต้องร้องด้วยความเริงโลด   เพราะเพิ่งรู้ว่าโรงแรมของเราอยู่ไม่ห่างจากชายหาดที่มีชื่อเสียงของอังกฤษแห่งหนึ่งเท่าใดนัก

 
 มาถึงเวลานี้ ฉันคงนั่งอยู่ในห้องไม่ได้แล้ว   รีบแต่งตัวแล้วคว้ากล้องถ่ายรูปออกเดินไปยังชายหาดทันที  เพราะหากช้ากว่านี้คงไม่ทันเก็บภาพแสงแดดยามเช้าที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นพ้นทะเลแน่นอน  เช้าๆแบบนี้ชายหาดปราศจากผู้คน  จึงยิ่งเพิ่มความสวยงามให้กับความสงบของบรรยากาศ มาเดินเล่นยามเช้ากับฉันกันเถอะ






















 น้ำค้างแข็งที่ยอดหญ้า

  บอลลูนสัญญาลักษณ์ของเมืองนี้


หลังอาหารเช้าแบบอังกฤษอย่างเต็มสูตร  เราก็ออกเดินทางไปเที่ยวเมือง Bath ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองที่เราอยู่นัก   โชคดีที่เส้นทางของเราผ่านสถานที่ ที่มีชื่อเสียงของโลกอีกแห่งคือ Stonehenge  ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ในยุคกลางอีกด้วย



สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ   ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้างบน

นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล นักวิทยาศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์  สงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่ อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร

สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใคร ทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน มีการสันนิษฐานหลายประเด็นแตกต่างกันไป แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ เป็นสัญลักษณ์ถึงอวัยวะเพศหญิง เป็นสถานที่สำหรับการทำพิธีกรรมทางศาสนาของชนกลุ่มที่นับถือลัทธิดรูอิท รองลงมาคือความเชื่อที่ระบุว่า เป็นการสร้างเพื่อหวังผลทางดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคาเป็นต้น

หินที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำให้แท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทาง ตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก


ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์


 Stonehenge ปี 1649

 Stonehenge ปี 1877

 Stonehenge ปี 1895

  Stonehenge ปี 2012


ความเชื่อจากนิทานพื้นบ้านในยุคศตวรรษที่สิบเจ็ด เล่าต่อกันมาว่า  หินพวกนี้เป็นหินที่เหล่าปีศาจได้ซื้อมาจากผู้หญิงคนหนึ่งในไอร์แลนด์  จากนั้นก็ขนส่งไปยังที่ราบSalisbury   มีหินก้อนหนึ่งหล่นลงไปในแคว้นเอวอน   ส่วนหินที่เหลือถูกขนต่อไป   จากนั้นก็มีการต่อสู้กันระหว่างปีศาจกับพระ  สรุปแล้วนี่เป็นแค่นิทาน ที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้  ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนคิดอีกว่า หมู่หินพวกนี้น่าจะเป็นฝีมือการสร้างของ UFO   


ก่อนจะถึงสโตนเฮนจ์  มีคนบอกว่ากลุ่มหินนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าที่ห่างไกล ฉันวาดภาพว่าคงจะไกลจนเดินไม่ไหว  แต่พอมาถึงจริงๆ ดูแล้วก็ไม่ไกลอย่างที่คิด  เมื่อเราซื้อตั๋วเข้าชมเสร็จก็ต้องเดินลอดถนนไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ตั้งกลุ่มหิน  ทันทีที่โผล่ขึ้นจากทางลอด ฉันก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า  แม้จะกังวลเรื่องขาเจ็บ แต่วินาทีนั้นรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดจากสิ่งมหัศจรรย์ ที่อยู่เบื้องหน้า  ทำให้ฉันก้าวเดินเข้าไปหาอย่างไม่คิดชีวิต 

 
ฉันเดินไปรอบๆกลุ่มหินเพื่อหามุมที่สวยที่สุด โชคดีที่อากาศเป็นใจ ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศเย็นสบาย แถมมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าทุกวัน ทำให้ได้รูปเจ๋งๆมามากมาย  วันนี้เป็นวันแรกที่ไม่รู้สึกปวดขาเลย

       เราเดินชมสโตนเฮนจ์  อยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมือง Bath เส้นทางต่อจากนี้ไปเราต้องขึ้นเขาสูง  เพราะเมืองBath อยู่อีกฟากหนึ่งของเขานี้  การขับรถขึ้นเขาทำให้เราได้เห็นวิวสองข้างทางที่สวยงามมาก มีหมู่บ้านตามหุบเขาเป็นหย่อมๆ  แต่ที่ทำให้ฉันขำมากคือ ช่วงที่เราขับรถไปในทุ่งกว้าง  เราเห็นป้ายเตือนติดไว้ข้างทางว่า “ ระวังรถถังข้ามถนน”  อ่านไม่ผิดค่ะ  เป็นรถถังที่ใช้ในสงครามจริงๆ 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเส้นทางที่เราใช้เป็นทางที่ตัดเข้าไปในเขตที่ทหารใช้ฝึกขับรถถัง  บางจุดมีบังเกอร์ไว้ซ้อมยิงปืนใหญ่จากรถถังให้เห็น  และไม่นานนักเราก็พบกับรถถังคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางจริงๆ  หากเป็นบ้านเราก็จะมีแต่ป้าย “ ระวังวัวข้ามถนน”  หรือ “ ระวังเป็ดข้ามถนน” แต่ที่นี่เป็นของใหญ่เลยค่ะ 

 

 Bath


หลังจากขับรถขึ้นเขา ลงเขามาสักพัก เราก็เข้ามาถึงตัวเมือง Bath  เมื่อมองจากยดเขาลงมา จะเห็นตัวเมืองที่ใหญ่พอสมควร  บ้านพักของชาวเมืองเริ่มสร้างตั้งแต่บนเขาแผ่ขยายลงไปจนถึงที่ราบด้านล่าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ Roman Bath 

บาธ (Bath) เป็นเมืองที่มีอายุยาวนานกว่า 2,000 ปี เดิมพวกโรมันเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองนี้และได้ทิ้งมรดกด้านสถาปัตยกรรมไว้อย่างหนึ่งคือ Roman Baths หรือสถานที่อาบน้ำของโรมัน ลักษณะการก่อสร้างเหมือนเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา และเป็นที่อาบน้ำไปในตัว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำพุร้อนแห่งเดียวที่มีอยู่ในอังกฤษ


บาธเป็นเมืองเก่าแก่มีศิลปะยุคโรมันที่หลงเหลืออยู่มากมาย ความสวยงามของสถาปัตยกรรมยุคจอร์เจียนและความงดงาม และความยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์  

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บาธได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลก เมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้ได้ก่อกำเนิดและพัฒนาขึ้นจากเมืองที่มี บ่อน้ำพุร้อนซึ่งต่อมาจึงได้ใช้เป็นชื่อของเมืองนี้ บาธเป็นเมืองที่มีความเจริญ และมีชีวิตชีวาเป็นการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ที่ชวนตื่นตาตื่นใจและพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี สวนและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย

บาธ (Bath) เป็นเมืองที่มีฐานะนครในมณฑลซอมเมอร์เซ็ทในภาคการปกครองตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ บาธตั้งอยู่ห่างจากลอนดอนไปทางตะวันตก 156 กิโลเมตร   และจากบริสตอลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 21 กิโลเมตร


ตัวเมืองบาธตั้งอยู่เนินหลายลูกในหุบเขาของแม่น้ำเอวอนในบริเวณที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของโรมัน ผู้สร้างโรงอาบน้ำโรมัน (Roman Bath) และวัด และตั้งชื่อเมืองว่า “Aquae Sulis” เมืองบาธเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดการ์ผู้รักสงบทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่มหาวิหารบาธ ในปี ค.ศ. 973. ต่อมาในสมัยจอร์เจียบาธกลายเป็นเมืองน้ำแร่ที่เป็นที่นิยมกันมากซึ่งทำให้เมืองขยายตัวขึ้นมากและ มีสถาปัตยกรรมจอร์เจียที่เด่นๆ จากสมัยนั้นที่สร้างจากหินบาธที่เป็นหินสีเหลืองนวล
 
 เมืองบาธได้รับฐานะเป็นเมืองมรดกโลกใน ปี ค.ศ. 1987 และมีโรงละคร, พิพิธภัณฑ์และสิ่งสำคัญทางวัฒนธรรมและทางการกีฬาที่ทำให้กลายเป็นเมืองที่ ดึงดูดนักท่องเที่ยว   เมืองบาธมีมหาวิทยาลัยสองมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยและสถานศึกษาอื่นๆ

เมืองบาธ นับเป็นเมืองที่น่ารักเมืองหนึ่ง บริเวณที่สำคัญคือจุดที่เป็นที่ตั้งของ Roman Bath ซึ่งรายรอบไปด้วย โบสถเก่าแก่ และร้านค้ามากมาย  
ภายใน Roman Bath มีบรรยากาศเก่าแก่แม้จะได้รับการบูรณะมาแล้วก็ตาม  โชคดีที่ภายในมีลิฟท์สำหรับคนพิการ ฉันซึ่งเป็นคนอยากรู้อยากเห็น จึงได้ใช้บริการขึ้นมาหลังจากลงไปดูบ่อน้ำร้อนชั้นล่างสุด








นักร้องสมัครเล่นมายืนร้องเพลงคลาสสิค ให้คนฟังที่หน้าโบสถ์ 


หลังจากเที่ยวกันจนเหนื่อย ฉันจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้กินอาหารกลางวัน   (คนอื่นแอบกินฮ๊อตดอกที่ขายข้างทางไปแล้ว  แต่ฉันยอมอดเพื่อเก็บท้องไว้กินที่ร้านน้ำชา)  เราจึงรีบเดินไปข้างบริเวณอาคาร Roman Bath ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านน้ำชาแบบอังกฤษมากมายหลายร้าน  เราเดินผ่านร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อไปยังร้านเป้าหมายที่ชื่อ Sally Lunn

 
ทำไมต้องเป็น Sally Lunn เหตุผลมี 3 ประการคือ 


1.ร้านนี้เป็นร้านชาที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนี้  ตัวอาคารได้ชื่อว่าเป็นตึกที่เก่าที่สุดของเมือง โดยสร้างในก่อนยุคจอร์เจี้ยน (Georgian )






2.ขนมที่มีชื่อเสียงของร้านคือ ขนมปังก้อน (Bun) เป็นขนมที่เกิดขึ้นที่ร้านนี้ตั้งแต่เริ่มแรก โดยถูกจัดให้เป็นขนมปังที่อร่อยเป็น 1 ใน 10 อันดับต้นๆของอาหารอังกฤษ  

3.ร้านนี้เป็นเจ้าของและผู้ผลิตขนมปังก้อน ที่มีชื่อเสียงของเมือง Bath มาตั้งแต่ปี 1680 จนเรียกกันว่า Bath Bun


จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น  ล้วนมากพอที่จะทำให้ฉันต้องเก็บท้องรอที่จะไปชิมขนมปังก้อนที่มีชื่อเสียงนี้ให้ได้  และก็โชคดีที่เราได้ที่นั่งในร้าน โดยไม่ต้องโทรฯจองล่วงหน้า


ร้านนี้เป็นอาคารเก่าและแคบ ห้อมล้อมด้วย  สถาปัตยกรรมโบราณที่สวยงาม  เปิดให้บริการตั้งแต่อาหารเช้า  กลางวัน ชายามบ่าย และ มื้อค่ำแบบจุดเทียนที่แสนโรแมนติก  ในตัวอาคารจัดโต๊ะไว้บริการลูกค้าใน 3 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงประวัติและสิ่งของเครื่องใช้ของร้านตั้งแต่ยุคเริ่มตั้งร้าน


Sally Lunn เป็นชื่อของหญิงสาวชาวฝรั่งเศสที่อพยพมาอยู่เมือง Bath ในปี 1680  เธอได้ทำขนมปังที่มีรูปร่างกลมฟู คล้ายขนมปังชนิดหนึ่งของฝรั่งเศส และจากความนุ่มอร่อยของมัน  เจ้าขนมปังนี้จึงมีชื่อเสียงไปทั่วเกาะอังกฤษ  โดยถูกเรียกว่า Bath Bun 

 


โต๊ะของเราอยู่ชั้นสอง (ฉันเกือบขึ้นไม่ไหว) เป็นห้องเล็กๆชื่อ ห้อง Jane Austen  หน้าห้องมีรูปนักเขียนที่ฉันรู้จักดีคือ Charles Dickens เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง A Tales of Two Cities ที่ฉันเคยเรียน  ทางร้านประกาศว่า Charles Dickens is a  famous  fan of Sally Lunn’s



 ก่อนจะสั่งอาหาร ฉันเห็นในเมนูเขียนอธิบายวิธีการรับประทานขนมปังก้อน (Bun Etiquette )เอาไว้ว่า 

“ ขนมปังก้อน (BUN) ร้านเราจะเสริฟมาได้ทั้งเป็นอาหารคาว และของหวาน  ด้วยการใส่Topping ของแต่ละประเภท ( ใช้ขนมปังนี้กับอาหารทุกอย่าง เปลี่ยนแค่เครื่องปรุงบนหน้าขนมปัง )  เมื่อสั่งอาหารแล้ว  คุณอาจจะได้ขนมปังส่วนที่เป็นชิ้นล่าง หรือชิ้นด้านบน ไม่ใช่ทั้งก้อน (ขนมปังก้อนกลมจะฟูสูง ทางร้านจะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนล่างกับส่วนบน) โดยเราจะเสริฟขนมปังส่วนล่างกับอาหารคาว และส่วนบนกับอาหารหวาน" (หากอยากกินทั้งสองส่วนพร้อมกัน ต้องสั่งทั้งล่างและบน)  

" วิธีรับประทานขนมปัง ต้องใช้มีดและซ่อม แต่ก็ไม่ใช่กฎตายตัว”     ( อาจใช้มือหยิบกินได้ ซึ่งฉันก็เผลอหยิบเข้าปากไปแล้วด้วยมีคำพูดต่ออีกด้วยว่า “โดยปกติแล้วลูกค้าของเราจะพอใจและมีความสุขบนใบหน้าเสมอเมื่อรับประทานขนมปังของเรา  หากท่านรู้สึกไม่พอใจโปรดแจ้งให้ทางร้านทราบด้วย"

อ่านแล้วรู้สึกตัวเกร็งเล็กน้อย แถมคนเสริฟแต่ละคนหน้าตาเฉยเมยมากจนฉันยิ้มไม่ออก ได้แต่นั่งกินด้วยความอยากรู้อยากเห็น
  
อาหารที่เราสั่งวันนี้ ประกอบด้วย 



 ชุด Sally Lunn 2 course High Tea  ราคา  £11.88

A round of Sally Lunn Bun topped with finest Scottish Smoked Salmon followed by the world famous Sally Lunn Cream Tea.

เป็นขนมปังหน้าแซลมอน 1 ที่ กับ หน้าครีมแบบดั้งเดิม เสริฟมากับแยมอีก 1 ที่



ชุด Cornish Cream Tea  ราคา £6.38

Two home-made buttermilk scones served with Tiptree Strawberry Jam and lots of local clotted cream.

เป็นสโคนรสอร่อยเสริฟมากับครีมและแยมสตรอเบอร์รี่


Sally Lunn’s bread pudding  ราคา £4.48

Creamy bread pudding made with Sally Lunn Buns, fruit and muscovado น้ำตาลทรายแดง sugar and served with Ivy House clotted cream.

ฉันเป็นคนชอบกิน Bread Pudding เลยสั่งมาชิมดู ใช้ได้ทีเดียว อร่อยตรงที่เขาใช้น้ำตาลทรายแดง 


Sally Lunn Cream Tea ราคา £6.18
Half a toasted & buttered Sally Lunn Bun served

with our best Strawberry Jam and lots of Ivy House clotted cream.

เป็นแบบดั้งเดิมคือทาครีม รับประทานกับแยม


 สิ่งที่น่าสังเกตในร้านนี้คือ

1.ในความคิดส่วนตัวแล้ว ฉันชอบกินขนมประเภทที่มีรสหอมหวาน จำพวกเค็กดีๆ กับน้ำชามากกว่าการกินขนมปังก้อนที่โป๊ะหน้ามาแบบนี้  แต่ร้านนี้มีเค็กในเมนูให้เลือกเพียง 6 อย่างเท่านั้น 

  ดังนั้นการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณของBun จึงดูว่าจะเกินความจริงไป  หากท่านอื่นมีความเห็นต่างกับฉัน ก็ต้องขอโทษด้วย


2.ภาชนะที่เสริฟมา นอกจากถ้วยชา และเหยือกนมที่เป็นกระเบื้องพอชเลนซ์ ( ไม่ใช่ Bone China) แล้ว อุปกรณ์อื่นล้วนทำด้วยแสตนเลส ซึ่งเป็นวัสดุที่ฉันไม่ชอบเอามากๆ  ทุกครั้งที่กินอาหารจากเครื่องใช้แสตนเลส ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโรงพยาบาล หรือคลินิกหมอฟัน


น่าแปลกใจที่ร้านเก่าแก่ใหญ่โตมีชื่อเสียง จะใช้อุปกรณ์อย่างนี้  ฉันเคยกิน Afternoon Tea ในร้านเล็กๆไร้ชื่อเสียงที่เมืองอื่น หรือแม้แต่ใน London ส่วนใหญ่จะใช้เซรามิก พอชเลนซ์ หรือ Bone China   และที่สำคัญ ทางร้านน่าจะมีถ้วยรองที่กรองชามาให้ แต่ก็ไม่มี การวางที่กรองชาบนจานรองถ้วยชาทำให้เกะกะไม่สะดวกเอาเสียเลย  ใช้อุปกรณ์ไม่คุ้มกับชื่อเสียงของร้าน


3.ลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนเอเชียเยอะมาก ( มีลูกค้าฝรั่งน้อย) ลูกค้าเอเชียส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวจีน  ทางร้านจึงมีเมนูที่แปลเป็นภาษาจีนให้ด้วย 


4.ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่ว่า  พนักงานช่างไร้อารมณ์เสียจริง ส่วนใหญ่จะแสดงอาการ Friendly และพูดคุยกับลูกค้าฝรั่งมากกว่าลูกค้าชาติอื่น


สรุป ต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยที่บ่นมากไปนิด  โปรดอย่าเก็บมาเป็นสาระเลย  ฉันยังคงชอบเมืองนี้อยู่  แต่หากไปคราวหน้าขอไปลองชิมชาร้านอื่นดูบ้างว่าเป็นอย่างนี้หรือไม่  หากเหมือนกันก็จะอนุโลมว่าเป็นประเพณีของเมืองนี้ ยกโทษให้ 

เสร็จจากการจิบชาชุดใหญ่  เราก็กลับไปพักยังที่พักที่เมือง Bournemouth เย็นนั้นฉันขอตัวไม่กินอาหารมื้อค่ำ  เพราะขนมปังกับชาเข้าไปอยู่เต็มพุงแล้ว นี่ไม่ใช่ Afternoon Tea แต่มันคือ Early Dinner ต่างหากจ๊ะ

 

วันสุดท้ายของเราในอังกฤษ

 เป็นวันที่เราตั้งใจมาทำภารกิจ นั่นคือการมาแสดงความยินดีกับหลานในโอกาสวันรับปริญญา  โดยหลังจากเสร็จพิธีการ เราก็มาฉลองและนับเป็นการเลี้ยงอำลาอังกฤษของเราด้วย



ร้านที่เราไปทานกันวันนี้ชื่อร้าน Corkers ตั้งอยู่ที่เมือง Poole ร้านนี้อยู่ติดกับท่าเรือซึ่งถือว่าเป็นแดนภาคใต้ของเกาะอังกฤษ ก่อนเดินถึงร้านอาหารเราจะผ่านร้านน่ารักสไตลส์เมืองท่าชายทะเลมากมาย



 บรรยากาศของร้านดูสุขุมแบบชาวเลอังกฤษ  
เชิญชมบรรยากาศของร้านและอาหารได้เลยค่ะ
  








  อาหารที่เสริฟเป็นอาหารทะเลตัวใหญ่ๆ สดๆ อบกับเนยใส่ถาดใหญ่มาพร้อมเครื่องเคียงมากมาย ถาดนี้ 5 คนยังกินไม่หมดอ่ะ มื้อนี้อิ่มมากขนาดทานขนมของทางร้านไม่ได้เลย คืนนั้นนอนท้องแข็งเต็มไปด้วย กุ้ง หอย ปู ปลา คงต้องจำร้านนี้ไปอีกนาน

 และวันที่ต้องกลับบ้านก็มาถึง หากเรามีความสุข  
เวลาก็จะบินเร็วเหลือเกิน 
แล้วพบกันใหม่ในปี 2556  ขอให้ทุกท่านมีความสุข และ สุขภาพดีในปีใหม่ที่จะถึงนี้ค่ะ








เครดิตข้อมูลจาก


วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี  http://th.wikipedia.org/

Wikipedia   17th century depiction of Stonehenge