บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บุกเดี่ยว เที่ยวปาย ตอนที่ 2

               แยกจากคุณหนุ่มฯ ดิฉันก็เดินชมบ้านชมเมืองไปเรื่อยเปื่อย เพราะเมืองปาย หรือที่ชาวเมืองเรียกว่า เวียงปายเป็นเมืองไม่ใหญ่มากนัก แม้จะเดินเที่ยวด้วยสองน่อง ก็ไม่เบื่อ เพราะสภาพบ้านเมืองของเขาดูน่ารักไปเสียทุกซอกทุกมุม นอกจากถนนสายหลักแล้ว ตามซอยเล็กๆก็ยังมีร้านอาหารและ เกสท์เฮ้าส์มากมาย จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะเห็นฝรั่งเดินออกมาจากซอยเล็กซอยน้อย เพราะหากจะพักที่นี่นานๆต้องหาที่พักแบบถูกเข้าไว้
          ชาวเมืองปาย เขารักษาสภาพแวดล้อมไว้ให้ดูเป็นสภาพเดิมๆ หากผู้ใดย้ายเข้ามาทำธุรกิจในเมืองนี้ จะต้องสร้างอาคารร้านค้าให้ดูกลมกลืนกับบ้านของชาวเมืองเดิม ซึ่งก็นับเป็นความคิดที่ดี ธนาคารพานิชย์และบริษัทต่างๆจึงต้องสร้างอาคารเป็นแบบทรงไทยภาคเหนือที่ติด กาแลไว้ที่จั่วบ้าน แต่ที่จริงแล้ว สถาปัตยกรรมของที่เมืองนี้ต้องเป็นแบบไทยใหญ่ คือหลังคาซ้อนกันจากใหญ่ขึ้นไปเล็กหลายชั้น จึงจะถูกต้อง
 
       บ่ายวันนั้นดิฉันเดินถ่ายรูปตัวเมืองจนเกือบพลบค่ำ   จึงรีบกลับไปที่ริมแม่น้ำเพื่อเก็บภาพแม่น้ำยามเย็น เสียดายที่เมืองนี้อยู่ในวงล้อมของภูเขาสูง จึงไม่มีบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกลงน้ำ แค่แสงสาดส่องยอดเขาก็ดูสวยงามไปอีกแบบ เสร็จจากถ่ายรูปแม่น้ำ ก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอาบน้ำดีหรือไม่ ใจอยากอาบแต่เกรงว่าจะพลาดบรรยากาศตลาดกลางคืน จึงได้แต่หยิบเสื้อเจ๊กเก๊ตตัวเดียวที่มีอยู่แล้วออกไปตลาดทันที

         ถนนสายเดียวที่คึกคักยามค่ำคือถนนชัยสงคราม เป็นถนนที่เป็นที่ตั้งของวัดถึงสองวัด คือวัดกลาง กับวัดป่าขาม ซึ่งสร้างแบบไทยใหญ่ แต่ปัจจุบัน วัดทั้งสองดูจะถูกบดบังด้วยร้านรวงภาษาฝรั่งจนแทบจะมองไม่เห็นกำแพงวัดแล้ว ฝั่งตรงข้ามวัดก็เป็นร้านอาหารฝรั่ง ที่มีลูกค้าชาวต่างชาตินั่งกันอยู่เต็ม   ไม่ไกลนักมีร้านไอศกรีมร้านหนึ่ง ชื่อ Café Da Vinci เป็นไอศกรีมของอิตาลี ซึ่งดิฉันแอบหมายตาแล้วว่าก่อนกลับไปนอน จะต้องชิมให้ได้ 

              ยิ่งค่ำลงก็ยิ่งมีผู้คนเดินมากมาย ร้านที่ขายของมากที่สุดดูจะเป็นร้านของบรรดาชาวเขาเผ่าต่างๆที่มาวางของขาย แต่ที่แปลกคือคนซื้อมักจะเป็นคนไทยที่ไปจากกรุงเทพฯ เพราะได้ยินเสียงต่อราคากันเจี๊ยวจ๊าว ช่วงกระแสเมืองปายมาแรงนี่ จะเห็นว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจากภาคกลางมากันเต็มเมือง เจ้าของร้านขายของที่เมืองนี้ก็เป็นชาวภาคกลางเสียส่วนใหญ่อีกเหมือนกัน แล้วฝรั่งกับ ชาวเมืองดั้งเดิมไปไหนกันล่ะ ก็ย้ายหนีขึ้นไปอยู่บนเขานอกเมืองกันนะซิ  หากมีโอกาสเช่ามอเตอร์ไซต์ขึ้นไปเที่ยวบนเขา ก็จะเห็นทั้งรีสอร์ทเล็กๆ และบ้านของคนท้องถิ่นขึ้นไปปลูกอยู่เป็นตรอกซอกซอยซ่อนอยู่บนเขาเต็มไปหมด ส่วนตัวเมืองก็ให้นักท่องเที่ยวเดินชมเมืองกันไป
       ขณะเดินหาร้านอาหารเหมาะๆรับประทานก็ค่ำมากแล้ว แต่ละร้านมีแต่นักท่องเที่ยวนั่งกันเต็มไปหมด ทุกร้านซึ่งมีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก พยายามวางโต๊ะให้ได้มากที่สุด บรรยากาศจึงดูแออัดมาก เห็นแล้วคงไม่มีความสุขแน่  บังเอิญโชคดีที่เดินสวนทางกับสาวพนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด ที่พบเมื่อตอนกลางวัน ทั้งสองสาวซึ่งเป็นคนพื้นเมืองของที่นี่  เวลานี้ทั้งสองเพิ่งเสร็จจากงานจะกลับบ้าน เห็นดิฉันเดินอยู่แถวนั้นจึงเข้ามาทักทายด้วย กริยาที่อ่อนหวาน แบบชาวเหนือ  ดิฉันได้ทีจึงรีบชวนทั้งสองสาวทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนเสียเลย
      น้องทั้งสองพาไปร้านเงียบๆแถวริมแม่น้ำปาย ซึ่งดิฉันก็ถูกใจในบรรยากาศมาก เพราะเงียบและไม่แออัด แถมเมื่อมองไปในแม่น้ำฝั่งตรงข้าม ก็สวยด้วยแสงตะเกียงที่ทางรีสอร์ทต่างๆจุดเป็นสายยาวต่อเนื่องกันไปตามริมน้ำ
      มื้อเย็นของดิฉันวันนี้ ขอเป็นสลัดเบาๆ เพราะมื้อกลางวันที่ร้านยูนนานหนักมากแล้ว และอากาศเย็นๆอย่างนี้ผักสลัดจะกรอบเป็นพิเศษ และอร่อยสมใจ ส่วนสองสาวขอเป็นสปาเก๊ตตี้ คนละแบบ ซึ่งก็ทานกันจนเกลี้ยงจานเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าอาหารอร่อยหรือว่า ถูกผู้จัดการธนาคารฯใช้งานมาหนักเกินไปกันแน่

ขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารกันนั้น อากาศที่เย็นตามปกติก็เริ่มเย็นมากขึ้นอย่างรวดเร็ว กว่าผักสลัดของดิฉันจะหมดจาน มือก็สั่นเสียแล้ว แต่สัญญาใจที่จะกลับไปชิมไอศครีมร้านที่หมายตาไว้ยังอยู่ แม้จะมีอุปสรรค์ใดก็ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจได้ ว่าแล้วก็ลากสาวทั้งสองไปร้านไอศครีมทันที ทั้งสองสาวก็ตามไปแบบไม่เต็มใจนัก ในที่สุดเราทั้งสามคนก็มายืนกอดกันกลมที่หน้าร้าน เพื่อทานไอศครีมสุดอร่อย ต้องยอมรับว่าอร่อยจริงๆ เพราะเขาทำโคนใส่ไอศครีมกันสดๆเดี๋ยวนั้นเลย แป้งที่ใช้ทำโคนก็อร่อยมาก เมื่อทานพร้อมกันแล้วกรอบและหวานกำลังดี
      หมดจากไอศครีม ทั้งสองสาวรีบขอตัวเดินกลับบ้านเพราะหนาวมาก  ดิฉันจึงแยกทางเดินกลับที่พักคนเดียว แต่ด้วยความหนาวจึงต้องสั่งช๊อคโกแลตร้อนจากร้านนี้มาหนึ่งแก้ว เพื่อให้มีอะไรอุ่นๆอยู่ในมือ และเดินจิบไปตลอดทาง พอถึงที่พักช๊อคโกแลตร้อนๆก็หมดพอดี คืนนี้นอนหลับสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ประกอบกับความเงียบของเมือง แม้จะมีเสียงเพลงเร๊กเก้ ( Reggae) ลอยมาไกลๆ ก็ไม่รบกวนเท่าใดนัก แต่ต้องสารภาพว่าไม่สามารอาบน้ำได้เพราะอากาศไม่เป็นใจเอาเสียเลย 
 ขอคุยเรื่องเพลงที่เมืองนี้สักนิด บรรดาฝรั่งที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นสาวกเพลง เร๊กเก้ Raggae ในเมืองปายจะมีบาร์เล็กๆที่เล่นเพลงจำพวกนี้ 1 หรือ 2 แห่ง ซึ่งปิดไม่ดึก เพราะจะรบกวนชาวเมือง แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาจะเล่นดนตรีกัน เขาก็จะจัดงานชุมนุมชาวเร๊กเก้ กันเลย เรียกว่าเล่นติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน ให้ลั่นไปทั้งหุบเขา แล้วก็จะเลิกรากันไป เป็นอย่างนี้ปีละครั้ง ฉะนั้นหากใครไม่ชอบดนตรีเร๊กเก้ ก็พยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่เขาจัดงานเป็นดีที่สุด แต่หากเป็นสาวกเร๊กเก้ด้วยละก็ รีบกระโดดเข้าไปเลย สนุกแน่

         เช้าแล้ว…….. แว่วเสียงไก่ขันมาจากภูเขาไกลๆ นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้า มองไปนอกหน้าต่างเห็นดวงจันทร์ยังอยู่บนท้องฟ้า รู้สึกสดชื่นมากเพราะได้นอนเต็มอิ่มทั้งคืน หากอยู่กรุงเทพในเวลานี้คงยังไม่ยอมลุกจากเตียงแน่  แต่วันนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมแม่น้ำ ปายให้ได้ ว่าแล้วก็รีบแต่งตัว ( แค่เปลี่ยนกางเกงนอนมาเป็นกางเกงยีนส์เท่านั้น ) ใส่เสื้อแจ๊กเก๊ต ใส่ฮู๊ดปิดหัวให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่าข้างนอกห้องพักต้องหนาวแน่ๆ จากนั้นก็ค่อยๆย่องลงไปที่ริมแม่น้ำเพื่อรอดูพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่คนเดียว 






              เมื่อความมืดค่อยๆจางไป แสงสว่างของกลางวันก็เริ่มเข้ามาแทนที่ทีละน้อย บนผิวน้ำเต็มไปด้วยหมอกและไอน้ำที่ลอยตัวขึ้นมา น้ำค้างกลั่นตัวหยดลงบนหลังคาร่ม เปียกพื้นไปหมด เสียงนกและไก่ยังขันไม่เลิก ได้กลิ่นควันไฟจากหุบเขาไกลๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ที่เบาบางให้เต็มปอด ไม่นานนักก็เห็นแสงทองสาดลงบนยอดเขา ทำให้ภูเขาเป็นสีทองอร่าม ช่างสวยคุ้มค่ากับการรอเสียจริง 

          เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพ้นยอดเขา จึงได้ยินเสียงพนักงานโรงแรม  ออกมาจัดอาหารเช้าไว้ให้แขกที่พัก ซึ่งก็เป็นอาหารง่ายๆ คือข้าวต้ม และปลาท่องโก๋กับกาแฟ  สำหรับดิฉันแล้วอาหารพวกนี้สามารถหารับประทานที่ไหนก็ได้ จึงขอตัวที่จะไม่ทานของโรงแรม  โดยออกไปเดินหาอาหารที่ตลาดเช้าในเมืองจะดีกว่า ส่วนแขกคนอื่นๆของโรงแรม ยังไม่มีผู้ใดตื่นมาชมความงามยามเช้ากันสักคน 

                เวียงปายยามเช้า คึกคักไปด้วยผู้คน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่นักท่องเที่ยวฝรั่งที่นี่ตื่นเช้ากันมาก ร้านอาหารเช้าเต็มไปด้วยฝรั่ง อาจเป็นเพราะเมืองนี้ไม่มีบาร์ที่เปิดบริการในช่วงกลางคืน แถมเวลามาถึงเมืองนี้ ยังมีคำเตือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยว่าอย่าทำเสียงดังในเวลากลางคืน จึงทำให้บรรดานักท่องเที่ยวต้องเข้านอนหัวค่ำและตื่นกันแต่เช้า 
      ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  ดิฉันเดินดูบรรดาร้านขายอาหารพื้นเมืองก่อน เห็นมีอยู่มากมายหลายชนิด จุดที่มีร้านขายอาหารมากคือที่หน้าตลาดเก่า ที่ชื่อ “ กาดปู่หลู่ ” ซึ่งเคยเป็นตลาดเช้าที่มีของขายมากมาย แต่ปัจจุบันเจ้าของได้ขายตลาดนี้ไปแล้ว เพื่อก่อสร้างเป็นร้านรวงทันสมัย ร้านอาหารที่เคยขายในตลาดจึงต้องออกมาขายริมถนนเพราะตลาดถูกปิดด้วยรั้ว สังกะสีไว้ นึกแล้วน่าเสียดายบรรยากาศของเมืองที่กำลังจะเปลี่ยนไป อีกหน่อยคงหาตลาดพื้นเมืองอย่างนี้ได้น้อยลงไปทุกที


            อาหารที่เห็นขายมากคือ มันเผา ข้าวโพดเผา ไส้อั่ว แหนมย่าง และขนมไทยใหญ่ หลายชนิด ส่วนประเภทน้ำ นอกจาก น้ำชาและกาแฟแล้วก็จะมี น้ำสมุนไพรประเภทต่างๆ ดูแปลกตาดี เช้านี้ดิฉันขอกาแฟดำ กับ คัสตาดเค้กชิ้นโต จากร้านอ้อยเบเกอรี่มาเป็นของว่างก่อน เพราะเดี๋ยวจะลองแหนมย่างกับมันเผาต่อสักนิดให้หายสงสัย จากนั้นก็จะปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่คือ อาบน้ำเสียที ก่อนที่อากาศจะไม่เป็นใจอีก
 
       ในช่วงเวลาที่ว่างก่อนกลับ มานั่งวิเคราะห์ถึงคำที่กล่าวขวัญกันถึงเมืองในหุบเขาที่สวยงามแห่งนี้ และเห็นด้วยว่า เมืองปาย เป็นเมืองที่สงบและสุขสบายจริงอย่างที่ใครๆพูดถึง เพราะเมืองปายทำให้วันของดิฉันเป็นวันที่แสนจะสงบและเป็นอิสระที่สุดในชีวิต ใครก็ตามที่มาเมืองนี้ ควรจะมาเพื่อแสวงหาสถานที่พักผ่อนอย่างจริงจัง มากกว่าที่จะมาเดินไปเดินมาแบบจัดขบวนทัวร์ ชมเมือง เพราะนอกจากจะไม่ได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติแล้ว ยังจะทำให้เมืองที่สงบกลายเป็นตลาดโต้รุ่งไปเปล่าๆ
      หลังจากอยู่อย่างมีความสุขมาพักใหญ่ ก็ถึงวันกลับ ดิฉันเลือกกลับในช่วงบ่าย จึงรีบออกไปจองตั๋วรถตู้แต่เช้าจึงได้รู้ว่า นอกจากรถตู้คันเล็กแบบเที่ยวมาแล้ว ยังมีรถตู้คันใหญ่คล้ายรถรับส่งลูกค้าของโรงแรมระดับห้าดาวอีกด้วย โดยรถตู้คันใหญ่นี้จะออกจากเชียงใหม่เวลา 7.00 น. และออกจากปายเวลาบ่ายสองโมง ดิฉันจึงขอลองใช้บริการดู เพราะอยากรู้ว่าจะแตกต่างกันอย่างไร

               การเตรียมตัวกลับ ดิฉันใช้กลยุทธเดิมเหมือนเที่ยวมาคือ ไม่ทานอาหารก่อนเดินทาง ซึ่งหมายถึงว่าดิฉันต้องอดอาหารเที่ยง เพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์  และก่อนขึ้นรถก็รับประทานยาแก้คลื่นไส้กันไว้อีกด้วย โดยไม่ลืมที่จะพกถุงพาสติกไว้ในกระเป๋าเสื้อเผื่อฉุกเฉินตามระเบียบ
              เหตุการณ์ก็เป็นไปตามคาดหวัง เพราะเที่ยวกลับก็ โหด มัน ฮา ไม่แพ้เที่ยวมา  โชคดีตรงที่ได้นั่งเดี่ยวหลังเก้าอี้คนขับ  จึงไม่แกว่งมากนัก  ระหว่างทางแอบหรี่ตามองไปข้างหน้า ก็เห็นลีลาการขับรถของโชเฟ่อร์ เล่นเอาหวาดเสียว ตรงที่พอถึงช่วงเลี้ยวโค้ง พ่อเจ้าประคุณก็เอี้ยวตัวตามความโค้งของถนนไปด้วย แต่พอกลับมาทางตรง ตัวพ่อก็ยังเลี้ยวไม่ยอมกลับจนกว่าจะถึงทางเลี้ยวใหม่ จึงจะหันกลับมาและค้างอยู่อย่างนั้นอีก ครั้นพอถึงทางขึ้นเขา พ่อก็ขับตามปกติ แต่พอถึงทางลงเขา ทั้งๆที่มือจับพวงมาลัยรถ แต่พ่อก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกำลังควบม้าฉะนั้น
              หลังจากแอบหรี่ตามองภาพบาดใจของโชว์เฟอร์สองสามครั้ง  ดิฉันก็ถึงกับหลับตานอนอย่างสงบ พร้อมปลงกับชีวิต เอาว๊ะ….. เป็นไงเป็นกัน ไหนๆก็ผญจภัยมามากแล้ว ถึงเวลาส่งท้ายก็ให้สุดๆไปเลย อยากเรียนทุกท่านให้ทราบว่า ที่จริงแล้ว ไม่ว่าลีลาในการขับจะเป็นอย่างไร รถคันนี้ก็เป็นพาหนะที่ขับโดยผู้ที่ชำนาญทางเป็นที่สุดแล้ว และก็ไม่เคยมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น 
              หลังจากผ่านเส้นทางหฤโหดมหาสนุก มาได้อย่างไม่บุบสลาย ดิฉันก็มาถึงสถานีขนส่งอย่างสวัสดิ์ภาพและสมบูรณ์ครบถ้วน  รีบก้าวลงจากรถอย่างเริงโลด เดินไปได้สักพัก ก็ต้องหันกลับมามองรถคันที่เพิ่งนั่งมาอย่างอาวรณ์ คิดถึงเมืองที่เพิ่งจากมา พร้อมนึกขำตัวเองที่ ก่อนไปก็เกือบจะลังเล แต่เมื่อไปมาแล้วก็กลับคิดถึงเมืองนี้ ยืนอยู่สักพัก ก็ตัดใจเดินออกจากสถานีขนส่ง แอบยิ้มอยู่คนเดียว  ช่างมีความสุจเสียจริง 
 
คำแนะนำสำหรับคนที่คิดจะไปเที่ยวเมืองปาย
       1. เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับอากาศ และสภาพภูมิประเทศ อย่าคิดว่าบ้านเราไม่หนาว ที่นั่นคงไม่หนาว ขอให้รู้ไว้ว่า ที่ปาย ในตอนกลางวันของช่วงต้นปีอย่างนี้ หากอยู่กลางแดดคุณจะรู้สึกอุ่น แต่เมื่อเข้าที่ร่มคุณจะหนาว บอกได้เลยว่าต้องใส่เสื้อแจ๊กเก็ตทั้งวัน ส่วนกลางคืนไม่ต้องพูดถึง มีเสื้อไปกี่ตัวโปรดนำมาใส่ได้เลย ( ช่วงฤดูร้อนคงแค่แจ๊กเก๊ตตัวเดียวน่าจะพอ)
      2. พยายามอย่าไปเที่ยวในฤดูฝน เพราะนอกจากทางจะอันตรายแล้ว ช่วงนั้นอาจมีน้ำท่วม คุณจะหมดสนุก
      3. เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเดินทาง ก่อนวันเดินทางควรนอนให้เต็มอิ่ม หากนอนไม่พอ คุณจะมีอาการเวียนหัวเป็นทุนเดิม และเมื่อไปเจอทางคดเคี้ยวตลอด 3 ชั่งโมงครึ่ง คุณแย่แน่
      4. หากเดินทางไปจากกรุงเทพฯในช่วงกลางคืน ถึงเชียงใหม่ช่วงเช้าตรู่ หาเวลาพักสักครึ่งวันก่อน อย่าเดินทางต่อเลย ร่างกายคุณจะรับไม่ไหว
      5. สถานีขนส่งที่เชียงใหม่มี 2 แห่ง คือที่เก่าในเมือง กับที่ใหม่ที่เรียกว่า อาเขตรถตู้ไปปายอยู่ที่ อาเขตหากไปจากกรุงเทพด้วยรถทัวร์ จะพบรถตู้ไปปาย จะจอดติดกับรถทัวร์จากกรุงเทพเลย ราคารถตู้คนละ 150 บาท ทั้งขาไปและขากลับ
      6. รถตู้คันแรกออก 6.30 น. เป็นรถตู้คันเล็กนั่ง 11 คน ส่วนรถตู้คันใหญ่ นั่ง 14 คนจะออก เวลา 7.00 น.
      7. การซื้อตั๋วจะมีผังที่นั่งให้เลือก ควรรับไปจองก่อนเวลารถออก เพราะหากไปช้าจะได้ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งรถจะเหวี่ยงและกระแทกมาก นอกจากจะเวียนหัวแล้ว อาจจะได้อาการช้ำในเป็นของแถมได้ การจองตั๋วควรทำทั้งขาไปและขากลับ
      8.อย่าเชื่อใครทั้งสิ้นว่า จะไม่เมารถ เพราะมาตรฐานร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีควรรับประทานยาแก้เมารถ ตามที่แพทย์ของท่านจัดมาให้ ก่อนรถออกครึ่งชั่วโมง สำหรับดิฉัน หมอให้ยาที่ชื่อ Motilium-m ซึ่งเป็นยาแก้อาการคลื่นไส้อันเกิดจากสภาวะในกระเพาะอาหาร ยานี้จะช่วยให้ไม่คลื่นไส้ แต่จะไม่ง่วงนอน ส่วนยาแก้แพ้ชนิดอื่นๆ มีขายตามร้านขายยาทั่วไป แม้แต่ที่สถานีขนส่งก็มีขาย แต่ยาจำพวกนั้นเป็นยาที่ไปส่งผลต่อสมอง คือทำให้ผู้ที่ทานเข้าไปมีอาการง่วงนอน จะได้หลับและไม่เมารถ ควรปรึกษาแพทย์ของท่านก่อนเดินทาง
      9. เนื่องจาก ดิฉันเดินทางคนเดียวจึงไม่อยากหลับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนั่งลืมตามองทาง เพราะยาที่ทานนี้ช่วยเรื่องภายในกระเพาะไม่ให้ปั่นป่วนเท่านั้น แต่หากยังนั่งมองทางที่วกวนอยู่ละก็ ยาอะไรก็เอาไม่อยู่แน่ ทางที่ดีหา MP3 หรือ Ipod ใส่หูนอนหลับตาฟังเพลงที่เราชอบไปตลอดทางจะดีกว่า (แค่หลับตา ไม่ใช่นอนหลับ)

      10. เตรียม ยาหอม ยาลม ยาอม ยาหม่อง และถุงพาสติก ไว้ในที่ที่หยิบใช้ได้อย่างง่าย และรวดเร็ว
      11. การขับรถไปเมืองปายด้วยตัวเอง ค่อนข้างต้องการความชำนาญ หากยังขับไม่แข็งควรไปรถโดยสารจะดีกว่า แต่ที่ปาย ไม่มีรถยนต์ให้เช่า มีแต่จักรยานกับมอเตอร์ไซต์ หากไม่ไปไหนไกลๆ ใช้เดินเอาเถอะไม่เปลืองตังค์
      12. เมืองปาย เป็นเมืองที่ปลอดภัยก็จริง แต่เพื่อเป็นการป้องกันตัว ไม่ควรขี่จักรยาน หรือมอเตอร์ไซต์ออกไปนอกเมืองไกลๆคนเดียว ควรหาเพื่อนไปสักคน
      13. บ้านพัก อย่าพักแบบถูกมากนักเลย นึกถึงความปลอดภัยไว้บ้าง หากไปในหน้าฝน อย่าพักที่กระท่อมเล็กๆ ( ราคา150 บาท) ริมแม่น้ำ เพราะช่วงน้ำหลากที่ผ่านมา กระท่อมเหล่านั้นถูกพัดไปกับน้ำหมด ควรพักที่แพงหน่อยแต่แข็งแรงและปลอดภัยจะดีกว่า
      14. อย่าลืมไปทานไอศกรีมร้าน Café Da Vinci นะ อร่อยจริงๆ