บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตามหาสะพานพระจันทร์เสี้ยว – Yangshuo ,Guilin


 

จำได้ว่าฉันเคยลั่นวาจาว่าจะไม่มีวันไปเมืองจีนเด็ดขาด  เพราะมีความรู้สึกด้านลบมาหลายปีว่า เมืองจีนขโมยเตี่ยฉันไป   ( เตี่ยป่วยและเสียชีวิต หลังจากกลับจากเมืองจีน)  แต่ด้วยเหตุที่อยากไปตามหาบ้านบรรพบุรุษที่เกาะไหหลำ  ทำให้ฉันจำต้องไปเมืองจีนเป็นครั้งแรกในชีวิต  นับจากวันนั้น  พาสปอร์ตของฉันก็เต็มไปด้วยวีซ่าจีน  อย่าถามว่าไปมากี่ครั้งแล้ว ตอบไม่ได้เพราะขี้เกียจนับ ไม่อยากจำ .....เอาเป็นว่าการเดินทางไปเมืองจีนของฉัน ให้ความรู้สึกเหมือนการขึ้นรถทัวร์จากเพชรบุรี ไปกรุงเทพฯยังไงยังงั้น


       การไปเมืองจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นอย่างกระทันหันด้วยอารมณ์อยากแบบจึ๊ดขึ้นสมองอย่างเฉียบพลัน   หลังได้เห็นรูปสะพานแห่งหนึ่งในอินเตอร์เนต  แม้รูปที่เห็นจะมีขนาดเล็กไม่เกิน 2X2 นิ้ว หากเป็นคนอื่นคงมองผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี  แต่สำหรับฉัน มันเป็นอะไรที่สะกดอารมณ์อย่างยิ่ง 

    รูปดูสีจืดจางจนไม่แน่ใจว่า  นี่คือของจริงหรือเป็นภาพที่สร้างขึ้นกันแน่  ดูเหมือนว่ารูปนี้เก่าเอามากๆ บางทีแม้หาพบ ก็ไม่แน่ใจว่าจะยังคงสภาพนี้หรือไม่   หลังจากเก็บรูปนั้นไว้   จากนั้นก็ค้นหาข้อมูลอยู่หลายวันกว่าจะพบว่าสะพานนี้อยู่ที่ไหน  และแล้ว...การเดินทางตามหาสะพานวงพระจันทร์ในฝันของฉันก็เริ่มขึ้น 

      สะพานนี้ เป็นหนึ่งในหลายสะพาน ที่ทอดข้ามแม่น้ำ“ อยู่หลง” ( Yulong River) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านเล็กๆในเมืองหยางซั่ว ( Yangshuo) อำเภอกุ้ยหลิน ( Guilin) มณฑลกวางซี ( Guangxi )

      ช่วงที่ยังไม่รู้ชื่อสะพาน ฉันแอบเรียกเองแบบนิยายกำลังภายในว่า “สะพานพระจันทร์เสี้ยว”  ที่เรียกอย่างนี้เนื่องจากรูปลักษณ์ความโค้งครึ่งวงกลมของสะพานตามแบบฉบับจีน  ช่างเป็นการออกแบบได้จับหัวใจฉันมาก เพราะยามเมื่อเงาของสะพานทอดลงในพื้นน้ำที่นิ่งสงบ จะเห็นเป็นพระจันทร์เต็มดวงอยู่ในลำน้ำ  ฉันฝันเหลือเกินที่จะได้มีเงาของตัวเองอยู่บนสะพานที่สะท้อนภาพอยู่ในผืนน้ำแผ่นนี้       คุณรู้ไม๊...ฉันน่ะ ฝันอยากเป็นโน่น เป็นนี่มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว  และถ้าคุณรู้จักฉัน  คุณจะรู้ว่า ...ฉันไม่เคยฝันสลายนะ 


        เอาล่ะว๊ะ  ...หาเจอแล้วว่าสะพานนี้อยู่ที่ไหน บอกตัวเองว่า  “ รอไม่ได้แล้วกรู....”  จากนั้นแผนการเดินทางก็ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน  เริ่มด้วยการหาเพื่อนร่วมฝัน  ซึ่งก็ไม่ยากเพราะแค่หลอกน้องสาวว่าจะพาไปเที่ยวกุ้ยหลิน  น้องสาวก็ใจง่ายรีบตอบตกลงทันที แค่นี้ก็สบายแล้วเรา  จากนั้นก็ขอร้องหลานชายชาวจีนให้ไปช่วยเป็นล่ามและเป็นบอดี้การ์ดคอยประคองปีกยามป้าหมดแรง  ซึ่งหลานก็ว่างพอดีเช่นกัน   ได้เพื่อนแล้ว ตั๋วเครื่องบิน โรงแรมจองเสร็จในพริบตา  เรา 3 คนก็พร้อมบินไปยังกุ้ยหลินทันที
 

        หลายท่านเมื่อได้ยินชื่อกุ้ยหลิน  คงคุ้นเคยและรู้จักดี  เพราะอำเภอกุ้ยหลิน เป็นหนึ่งใน เมืองที่มีชื่อเสียงของมณฑลกว่างซี มณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน  สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้เมืองนี้คือ ลักษณะพื้นที่ที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ มีแม่น้ำไหลผ่าน  และเทือกเขาหินปูนขนาดเล็ก รูปร่างแปลกประหลาดด้วยฝีมือของธรรมชาติที่กระจายยาวคดเคี้ยวติดต่อกัน ทั่วอาณาเขต นับเป็นดินแดนที่มีภูเขาหินปูนครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศจีนทีเดียว 


 โดยทั่วไปแม้จะอยู่ทางใต้ของประเทศ ที่จัดว่ามีสภาพอากาศเป็นแบบเขตร้อน  แต่ในช่วงฤดูหนาว  อุณหภูมิจะต่ำสุดในเดือนมกราคม เฉลี่ยประมาณ 5.5-15.2 องศาเซลเซียส    เรื่องอากาศนี้   อาคัง หลานชายชาวจีนซึ่งเป็นคนมณฑลกวางซี  เตือนฉันตั้งแต่รู้ว่าจะมาที่นี่ในเดือนมกราคม ว่า

 “ ป้าครับ ช่วงนี้หนาวมากนะครับ ป้าจะทนไหวหรือเปล่า” 
เมื่อตรวจสอบอุณหภูมิในเวบไซต์ต่างๆ  พยากรณ์ว่าปีนี้ เดือนมกราคม จะอยู่ที่ 0 ถึง 9 องศา ซึ่งหากเพิ่งผ่านเมืองชิคาโกมาไม่นาน อุณหภูมิแค่นี้ สำหรับฉันแล้ว สิว สิว มาก ....
 

แต่สิ่งหนึ่งที่พบนอกเหนือจากอากาศคือ  หลายเวบไซต์ระบุว่า  เดือนมกราคม เป็นช่วง Low ของเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงนี้  หลายคนถึงขนาดบอกว่า “เขาไม่เที่ยวกันหรอก”  เพราะนอกจากอากาศจะหนาวแล้ว น้ำในแม่น้ำต่างๆยังน้อย ไม่เหมาะแก่การล่องเรือซึ่งเป็นกิจกรรมหลักอีกด้วย    อีกทั้งต้นข้าวในท้องนาเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล  โชคร้ายอาจเจอหิมะเอาด้วย   แต่...ฝันก็คือฝัน คนอายุมากอย่างฉันไม่มีเวลารออะไรนานๆหรอกพ่อคุณ ..อะไรก็หยุดฉันไม่ได้แล้ว 

การเดินทางไปกุ้ยหลิน  แบบบินตรงไม่มี  เราต้องต่อเครื่องตามเมืองใหญ่ๆก่อน  เช่นฮ่องกง  กวางโจว  หรือหนานหนิง (เมืองหลวงของมณฑลกว่างซี)  ครั้งนี้เราถือโอกาสไปดูสุสานย่าที่เกาะไหหลำก่อน  เราจึงแวะไหหลำแล้วบินต่อมากุ้ยหลิน    วันเดินทาง...  ก่อนขึ้นเครื่อง ฉันทำความเข้าใจกับผู้ร่วมฝันว่า ข้างหน้าจะเจออะไรยังไม่รู้  อาจเป็นฝันดี หรือผิดหวัง.. ไม่ว่ากันนะ  เราไปตามหาฝัน(ของพี่) กันเถอะ น้องสาวพยักหน้าหงึกๆๆ  คงนึกในใจว่า   
 โธ่เจ๊..ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้อ่ะ ..จะกลับหลังก็ไม่ทันแล้ว
 


สียงกัปตันประกาศว่าอีกไม่กี่นาทีเครื่องจะลงสู่สนามบิน Guilin Liangjian international  Airport  แล้ว ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยเมฆ  และสดุดเอากับก้อนสีดำที่ลอยอยู่กลางเมฆ  ตอนแรกคิดว่าเป็นเมฆฝน  แต่ดูไปสักพักจึงเห็นว่ามันคือยอดเขาที่โผล่ขึ้นมาเหนือก้อนเมฆนั่นเอง  รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก เมื่อเครื่องผ่านชั้นเมฆลงมา  ก็เห็นแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านที่ราบลุ่ม ที่มียอดเขาเตี้ยๆตั้งแซมอยู่มากมาย ในเวลาเช้าอย่างนี้ แสงแดดส่องลงในแม่น้ำทำให้เกิดแสงระยิบระยับกระจายไปทั่วผืนดิน   บอกตัวเองว่า ...เรามาเพื่อสิ่งนี้
 
             ทันทีที่ออกจากสนานบิน  เราก็พบกับพนักงานขับรถของโรงแรมที่มารับเรา น่าแปลกใจที่คนมารับเป็นผู้หญิงสาวสวย  เธอพาเราไปยังรถเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองหยางซั่ว ( Yangshuo) ซึ่งใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง  น้องสาวเริ่มงงๆ ว่า

ไหนเจ้ บอกว่าพามาเที่ยวกุ้ยหลิน แล้วไปหยางซั่วทำไม ”  

 จึงต้องมีการอธิบายว่า แม้อำเภอกุ้ยหลินเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงแพร่หลาย แต่หัวใจของความงดงามด้านการท่องเที่ยวอยู่ที่เมืองหยางซั่ว  คนจีน กล่าวว่า

 หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน  นี่คือเหตุผลที่เราต้องข้ามกุ้ยหลินไปโดยมิได้แม้แต่จะแวะชมเมือง   
ระหว่างทาง อาหมวยที่มารับเรา บอกว่าตำบลที่ตั้งสนามบินมีชื่อว่า “ เหลียงเจียง” แปลว่าแม่น้ำ 2 สาย  ดังนั้นสนามบินจึงใช้ชื่อนี้ด้วยเช่นกัน  หากจะนึกภาพภูมิประเทศในกุ้ยหลิน  ให้นึกถึงเมืองปาย ที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง   ต่างกันตรงที่เมืองปายเล็กกว่าหลายสิบเท่า  แต่ความงาม สงบ เงียบ มีเสน่ห์คล้ายกัน หากชอบเมืองปาย ต้องรักกุ้ยหลิน
รานั่งหลับๆตื่นๆมาสักพักรถก็เลี้ยวลงจากทางด่วนลงสู่ถนนชนบท  ถนนเริ่มเล็กลง แต่เรากลับยิ่งตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์สองข้างทางมาก  ดูเหมือนว่ารถของเรากำลังวิ่งฝ่าเข้าไปท่ามกลางดงขุนเขาที่มีรูปร่างเหมือนสัตว์ประหลาดมากมายตั้งเรียงรายไว้ให้เราชม   เราสามคนพร้อมใจกันยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพภูเขาอย่างเมามัน เกือบตลอดทาง  


อาหมวยคนขับรถหันหน้ามามองเราอย่างงงๆ  หล่อนมีสีหน้าขบขันเราอย่างชัดเจน  ฉันรู้สึกแปลกกับสีหน้าหล่อน อาจเป็นเพราะขับรถผ่านทุกวันกระมัง จึงเห็นเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ  แต่สำหรับเราแล้ว  แม้รูปที่ออกมาจะสั่นมัว  แต่ช่างเป็นบรรยากาศที่งดงามเสียเหลือเกินหากไม่ถ่ายเก็บไว้คงเสียดายไปอีกนาน 

ในที่สุดเราก็มาถึง “หยางซั่ว( Yangshuo)   เมืองเล็กๆที่มีเสน่ห์เมืองนี้  ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลี่เจียง  ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงามแปลกตาไม่เหมือนที่ใด  สิ่งที่ทำให้เป็นเมืองท่องเที่ยว เพราะมีแหล่งธรรมชาติที่สวยงามเต็มพื้นที่  ไม่ว่าจะไปทิศไหนดูสวยสงบ สบายใจอย่างประหลาด  นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง  แม้แต่บ้านเรือนผู้คน เรือกสวน ไร่นา ในชนบทล้วนผสมผสานให้เป็นทิวทัศน์ที่น่ามอง การมาหยางซั่ว เหมือนได้มาพักผ่อนจิตวิญญาน  เพื่อเติมพลังให้ชีวิตอย่างแท้จริง
 

ทันทีที่เห็นโรงแรม  ฉันรู้สึกโล่งอก  เพราะโรงแรมที่จองไว้ดีเกินคาด  เป็นโรงแรมเล็กๆสไตล์ French country home ที่น่ารัก ตั้งอยู่ติดแม่น้ำลี่เจียง เหตุ ที่ไม่ได้หวังว่าจะดีเพราะราคาถูกมาก มานึกได้ว่าเพราะเรามาช่วงLow Season ของเขา ห้องจึงราคาถูก  ทั้งโรงแรมมีแขกพักเพียง 2 กลุ่ม คือเราและคนจีนอีก 2 คน บรรยากาศของห้องพักติดแม่น้ำมีระเบียงมองออกไปเห็นอีกฝั่งของเมือง  สายน้ำแม้จะไม่กว้างใหญ่เหมือนในฤดูน้ำ แต่ก็มีความงดงามสบายตาอย่างมาก


เราเริ่มภาระกิจแรกด้วยการจองทัวร์ต่างๆตามที่วางแผนไว้  พนักงานของโรงแรมเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีความพยายามพูดภาษาอังกฤษอย่างมาก และก็ทำได้ดี  หลายคนแนะนำเรื่องท่องเที่ยวให้เรา  ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่า  จะล่องแพในแม่น้ำลี่เจียง ( Li Jiang  หรือ Li River ) ในวันแรก
   
สำหรับวันรุ่งขึ้น จะล่องแม่น้ำ “ อยู่หลง”  (Yulong River ) เพื่อตามหาสะพานพระจันทร์เสี้ยวของฉัน    ส่วนในช่วงบ่าย   ฉันได้วางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนมาว่าจะต้องไปตามหาเมืองโบราณที่ชื่อ “ ต้าชฉวี่ ( Daxu) ให้ได้  เพราะมีความรู้สึกลึกๆแบบดราม่าว่า  ฉันน่าจะเคยอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งมาเมื่อชาติที่แล้ว ( ขำๆน่ะ ) ที่จริงก็ไปมาหลายเมือง แต่ยังไม่คลิ๊ก สักเมือง  คราวนี้ก็ผิดหวังอีก  เพราะพนักงานโรงแรมบอกว่า เมืองนี้ไกลมากต้องใช้เวลาทั้งวันในการไป-กลับ   เพื่อไม่ให้ผิดหวังฉันจึงเลือกเมืองอื่นเข้ามาเสียบแทน นั่นคือ เมือง “ ฉีผิง” ( Xiping) ที่แม้จะเก่าสู้เมืองแรกไม่ได้ แต่ก็น่าจะลองไป


ส่วนกิจกรรมยามค่ำคืนที่เราต้องพักอยู่ 2 คืน  ฉันรู้ว่าเมืองนี้มีถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงมาก นั่นคือถนน West Street  ที่เราจะสามารถเดินหาอาหารค่ำพื้นเมืองกินได้แบบเพลินๆ  กับไปชมการแสดง Impression Sanjie Liu  การแสดงพิเศษที่มีการผสมผสานระหว่างบัลเล่ต์และกายกรรม   และแม่น้ำหลีเจียงได้ถูกนำมาเป็นตัวเชื่อมเพื่อเล่าเรื่องราว   โดยมี จาง อวี้ โหมว ( Zhang Yimou )  ยอดผู้กำกับชาวจีนที่มีชื่อเสียง เป็นผู้กำกับการแสดงนี้   แต่เราโชคไม่ดีตรงที่ช่วงเวลาที่เราไป เป็นช่วงที่นักแสดงหยุดงานเนื่องในเทศกาลตรุษจีน และกลับไปบ้านกันหมด    สงสัยว่าเราคงต้องมาใหม่อีกครั้ง


หลังจากตกลงเรื่องโปรแกรมการเที่ยวของเราเรียบร้อย  ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆด้วยความหิว  เรา 3 คนจึงเดินออกมาหาอาหารกลางวันกิน  โดยตั้งเป้าหมายว่าต้องเป็นอาหารพื้นบ้านของกุ้ยหลินเท่านั้น   ก่อนมาเมืองนี้ฉันหาข้อมูลพบว่า ก๋วยเตี๋ยวของคนที่นี่อร่อยและมีชื่อเสียงมาก    หลังจากถามชาวบ้านในเมืองเราก็ได้ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง  ความที่เห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกระมัง  เขาจึงแนะนำให้เราไปร้านนี้ ที่ต้องติก็เพราะ  ร้านนี้เป็นร้านตกแต่งทันสมัยมาก ไม่ได้อารมณ์แบบจีนเลย  เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวกุ้ยหลินที่มีสาขาอยู่ทั่วเมืองจีน  แม้ใจจะอยากกินแบบบ้านๆ แต่ความหิวก็ไม่ปราณีใคร เราจึงตกลงกินก๋วยเตี๋ยวร้านสวยแห่งนี้แก้หิวไปก่อน

ร้านนี้ชื่อ ร้าน ยื่อ โถว หัว   โชคดีที่ก๋วยเตี๋ยวอร่อยอย่างที่คาดหวัง   ในถาดที่เสริฟมาอย่างทันสมัย มีชามใส่เส้นที่กลมเหนียว คล้ายเส้นขนมจีนแต่ใหญ่กว่า มีถั่วเหลืองทอดกรอบโรยหน้า (เวลาเคี้ยวมันดี) จานข้างๆเป็นเนื้อ 3 ชนิด มีหมู 3 ชั้น หมูเนื้อแดง และเนื้อวัว อย่างละ 2 ชิ้น  ทั้งสามชนิดเป็นเนื้อที่ผ่านการเคี่ยวด้วยเครื่องเทศหอมเข้าเนื้อ แม้จะสไลด์จนบางก็ยังมีกลิ่นหอม  อีกจานป็นต้นหอมซอยและผักดอง 2 ชนิด  มีโถใส่น้ำซุปมาให้ พนักงานในร้านบอกว่า อย่าใส่น้ำซุปลงไปในเส้น ให้กินเส้นที่ปรุงด้วยผักดองเปรี้ยวๆเผ็ดๆที่ให้มานั้น   แล้วกินเนื้อสัตว์ตาม ต่อจากนั้นก็ซดน้ำซุป จะได้ความอร่อย หากใส่น้ำซุปลงไปในเส้น ก๋วยเตี๋ยวจะจืดชืดไม่อร่อย  เราจึงทำตามคำแนะนำของเขา ก๋วยเตี๋ยวชามนี้จึงอร่อยอย่างที่เขาคุยไว้จริงๆ

 

แต่ที่อร่อยกว่าคือเครื่องดื่ม เป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาลทรายแดง  มีเมล็ดถั่วเขียวพอประมาณ แต่น้ำเยอะ และอร่อยมากมาย   ในยามที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ถั่วเขียวต้มน้ำตาลนับว่าประเสริฐสุด  ติดใจจัง


ล่องแม่น้ำหลีเจียง ( Li River
         แม่น้ำหลีเจียง เป็นแม่น้ำสายหลักของเขตกุ้ยหลิน  มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า มาวเอ๋อ ในเขตอำเภอซิงอ่าน  ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางซี  เป็นแม่น้ำที่ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาวประมาณ 431 กิโลเมตร เมื่อผ่านกุ้ยหลิน   แม่น้ำนี้จะไหลไปมณฑลกวางตุ้ง ถูกเรียกเป็นชื่ออื่น และออกสู่ทะเลที่กวางตุ้ง    ความงดงามร่มรื่นของสองฝั่งแม่น้ำนี้เป็นจุดขายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลธรรมชาติให้มาเยี่ยมเยือน ครั้งแล้วครั้งเล่า






กิจกรรมหลักของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินจึงอยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง เพื่อชมทิวทัศน์ที่งดงามของภูเขาหินปูน  ตลอดสองฝั่งแม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยว ภูเขาน้อยใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา ไปตามการจินตนาการของผู้คน  เช่น เขางวงช้าง เขาตาเฒ่า เขาเจีดย์ และเขาประตูพระจันทร์   นอกจากการชมวิวภูเขาแล้ว  ยังมีภาพชีวิตชาวบ้านในชนบททำไร่ ทำนา  และชาวประมง ที่ใช้ นกกาน้ำ จับปลาให้ดูตามริมแม่น้ำอีกด้วย 





การล่องแพในแม่น้ำอย่างนี้ นับเป็นครั้งแรกของฉัน   นับเป็นความโชคดี และเป็นการตัดสินใจถูกแล้วที่มาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว  แม้คนจะติติงว่าน้ำน้อยและตื้นไม่เหมาะแก่การล่องแพ  แต่ข้อดีที่เราพบคือ น้ำในแม่น้ำมีสีฟ้าใสสะอาดราวกับกระจก มีคนบอกว่าเป็นแม่น้ำที่ใสที่สุดในโลก  สามารถมองเห็นต้นไม้และสาหร่ายใต้น้ำที่งดงามได้  ผิดกับในฤดูน้ำหลาก  ที่ จะกลายเป็นแม่น้ำขุ่นสีแดง น้ำในแม่น้ำขึ้นสูงและแผ่ขยายความกว้างใหญ่ออกไป  หากมีอุบัติเหตุคงว่ายน้ำไม่ไหวแน่  


นอกจากนั้น ในช่วงนี้มีจำนวนคนมาล่องแพน้อย  ไม่แออัดเหมือนในฤดูน้ำหลาก การถ่ายรูปจึงได้ภาพวิวที่สวยงาม ไม่มีนักท่องเที่ยวเกะกะเต็มรูปภาพ  อีกทั้งน้ำที่ใสและนิ่งเพราะมีคนมาเที่ยวน้อย  ทำให้เราได้ภาพเงาสะท้อนของวิวทิวทัศน์ได้ตลอดเส้นทาง  จึงไม่ต้องแปลกใจเลย ที่เรา 3 คนจะตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปไปตลอดเวลาของการล่องแพ 








ตลอดเส้นทาง เรามีความสุขกับอากาศที่เย็นสบาย  แสงแดดอ่อนๆยามบ่ายส่องลงมาในน้ำใสๆ  เห็นภาพชีวิตของผู้คนสองฝั่งแม่น้ำ  อากาศโล่งบริสุทธิ์ไม่มีมลพิษ รู้สึกสดชื่นขณะหายใจเข้าเต็มปอด  นี่มันสวรรค์อย่างที่เขาว่าจริงๆนั่นล่ะ



  

 เราใช้เวลาล่องแพอย่างมีความสุขประมาณ 3 ชั่วโมง  ท่าเรืออยู่ติดกับที่พักของเรา แค่เดินขึ้นมาก็สามารถพักผ่อนด้วยการจิบกาแฟที่ระเบียงริมน้ำของโรงแรมได้   ขณะนั่งริมน้ำ รู้สึกเหมือนว่าความสวยงามกำลังล้อมรอบเราอยู่ทุกตารางนิ้ว  ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็สวยสบายตาไปหมด   มันช่างเป็นยามบ่ายที่สมบูรณ์แบบแสนวิเศษอย่างยิ่ง  ที่ประกอบด้วย แสงแดดรำไรส่องลอดเงาไม้  ลมเย็นสดชื่น  กาแฟหอมกรุ่น  ขนมวาฟเฟอร์ร้อนๆ  แกล้มด้วยเสียงเพลงเบาๆ  


ฉันใช้สองมือประคองถ้วยเพื่ออาศัยความอุ่นขณะจิบกาแฟรสขมบีบหัวใจ  บอกตัวเองว่า  “ ทำไมชีวิตเราจึงมีความสุขอย่างนี้หนอ “  ดูแล้วที่นี่ไม่เหมือนเมืองอื่นๆในประเทศจีนเอาเสียเลย  ทำไมช่างมีทุกอย่างไว้บำรุงบำเรอฉันเสียจริง  อากาศบริสุทธิ  ลมพัดผ่านเย็นสบาย  สิ่งแวดล้อมสวยงาม ผู้คนนิสัยดี อาหารอร่อย แถมมีกาแฟดำดีๆ และขนมอร่อยไว้ให้ฉันอีกต่างหาก....อุแม่จ้า


ระหว่างจิบกาแฟ  เราไม่ได้คุยกันมากนัก เพราะทุกคนพร้อมใจกันก้มหน้า ก้มตางัดทั้งกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปทิวทัศน์แม่น้ำลี่เจียงที่เพิ่งถ่ายกันมา  เราต่างมีความคิดเหมือนกันว่า  ในการถ่ายรูป วิวที่นี่  ไม่ต้องใช้ความสามารถเก่งกาจอะไรเลย  ขนาดกดชัตเตอร์เล่นๆ หรือกดด้วยความบังเอิญ รูปก็ยังออกมาสวย   เราได้ภาพภูเขาสองข้างแม่น้ำอันสวยงามเด่นชัดเต็มๆ  เปรียบไม่ได้กับรูปที่ถ่ายในรถช่วงที่มาจากสนามบิน  ที่ส่วนใหญ่เป็นวิวระยะไกลและภาพสั่น 


จึงไม่แปลกเลยที่ทุกคนต่างระดมกำลังลบรูปในช่วงเดินทางออกจากกล้อง  นี่หาก อาหมวยคนขับรถรู้คงหัวเราะน้ำตาไหล  เพราะอย่างนี้เองหล่อนจึงทำหน้าขำๆตอนเห็นพวกเราถ่ายรูปภูเขาจากในรถแบบไม่คิดชีวิต  ตอนนั้นนางน่าจะแอบนึกในใจว่า     ไอ้หย๋า... เห็งภูเขาแค่นี้ทำเป็นตื่งเต้ง  เลี๋ยวเจอของจริง รับรองว่าลื้อต้องลบรูปพวกนี้ทิ้งหมดแน่นอง  ฮา ฮา  ฮา ... ” 


หลังจากนั่งชื่นชมผลงานการถ่ายรูป  พร้อมอัพเดท สเตตัสจนฉ่ำหัวใจกันดี  เราก็เริ่มรู้ตัวว่าแสงอาทิตย์กำลังเริ่มลาจากท้องฟ้า ใกล้เวลาที่เราจะต้องออกไประเริงราตรีของหยางซั่วกันแล้ว ทุกคนต่างขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมออกไปเดินถนน West Street กัน  น่าแปลกใจที่ แม้เราจะเดินทางทั้งวันแต่เรากลับไม่มีอาการเหนื่อยล้า รู้สึกเหมือนร่างกายสดชื่นอยู่ตลอดเวลา  ผิดกับการไปเที่ยวที่อื่นซึ่งฉันมักจะมีอาการโรยราแทบเดินไม่ไหว  ดังนั้นเมื่อขึ้นมาบนห้องพัก แทนที่จะพักฉันกลับหยิบกล้องออกไปนอกระเบียงเพื่อถ่ายรูปแม่น้ำลี่เจียงยามแสงอาทิตย์กำลังจากลาอีกพักใหญ่



เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว  ขณะที่เราเดินจากที่พักไปยังถนน West Street  วันนี้เราเตรียมเครื่องกันหนาวมาอย่างดี ทั้งหมวกและถุงมือ  ตอนเดินออกจากโรงแรมก็ยังไม่หนาวเท่าใดนัก  แต่พอสิ้นแสงอาทิตย์  อุณหภูมิก็ตกวูบทันที ประมาณการณ์ว่าน่าจะ 0 องศา หรือต่ำกว่านั้น  เรารีบคว้าถุงมือและหมวกขึ้นมาใส่กันแทบไม่ทัน  รีบเดินเร็วๆให้ร่างกายอบอุ่น    ข้อสังเกตุ.....หากมาที่นี่แล้วหาถนนนี้ไม่เจอ  ให้เดินตามกลิ่นเต้าหู้ทอด อาหารท้องถิ่นของกุ้ยหลินไปได้เลย  กลิ่นของมันหอมตลบอบอวลแบบน้องๆเต้าหู้เหม็นเลยล่ะ แต่ของเขาก็อร่อยทีเดียว เพราะอดใจไม่ไหวซื้อกินด้วยเหมือนกัน....( แบบว่าอยากรู้น่ะ) 

 ถนน West Street  หรือ  ถนนฝรั่ง  ชื่อจีนคือ ถนนซีเจีย  ( Xi Jie  ) หากพูดจีนไม่ได้เรียก West Street ก็ได้คนจีนในเมืองนี้รู้จักชื่อนี้ดี  เหตุที่เรียกเป็นถนนฝรั่งก็เพราะในสมัยเก่ามีการค้าขายกับชาวต่างตะวันตก  โดยล่องมาทางเรือมาตามแม่น้ำลี่เจียง  เมืองหยางซั่วนับเป็นเมืองท่าใหญ่แห่งหนึ่ง จึงมีพ่อค้าต่างขาติมาพักอาศัยเพื่อค้าขาย  โดยส่วนใหญ่จะสร้างที่พักหรือเช่าบ้านอยู่ที่ถนนซีเจีย จนหนาแน่น ทำให้คนจีนเรียกถนนนี้ว่าถนนฝรั่ง ปัจจุบันไม่มีพ่อค้าต่างชาติเดินเรือมาแล้ว มีแต่อาคารเก่าที่ยังคงความงดงามและคับคั่งยามค่ำคืน  แต่จะว่าไม่มีฝรั่งเลยก็ไม่ได้  เพราะปัจจุบันมีฝรั่งมาเปิดร้านอาหารและบาร์เบียร์หลายเจ้า  หลายสัญชาติ จะขาดก็ร้านอาหารไทย มาเดินที่นี่สองวัน ไม่ได้ยินเสียงภาษาไทยเลย



ที่เราต้องมาถนนฝรั่ง ก็เพราะตั้งใจจะไปหาข้าวเย็นกินกัน แต่กว่าจะถึง เราแวะดูของที่ระลึกกันไปตลอดทาง  เพราะบนถนนสายนี้ เต็มไปด้วยอาหารการกิน  และสินค้าของฝากนานาชนิดราคาถูก รวมทั้งสินค้าพื้นเมือง  เช่นหล้าขาวกุ้ยหลิน เต้าหู้ยี้กุ้ยหลิน น้ำพริกกุ้ยหลิน หล่อฮั่งก้วยชงดื่ม ยาอม ยาเป่า ซีกัวซวงแก้แผลในปาก แก้เจ็บคอ หรือจะไปช้อบปิ้งเสื้อผ้า รองเท้าแฟชั่น ฉันมาเดินสองคืน ก็ได้ของติดมือกลับบ้านทุกคืน   ตอนหัวค่ำ หลังอาหารก็จะเดินชมและชิมไป  แต่พอสัก สองทุ่มไปแล้ว  จะมีผับเปิดเพลงเสียงดัง และ แดนซ์กันกระจาย มีเด็กวัยรุ่นมาเที่ยวกันมากมาย ส่วนคนต่างถิ่นอย่างเรากลับไปนอนเก็บแรงดีกว่า 


พริกกุ้ยหลิน


 ขนมเปี๊ยไส้ดอกกุหลาบ









      อาหารเย็นของเราวันนี้  ฉันทำการบ้านมาดี จึงรู้ว่าอาหารที่มีชื่อของเมืองหยางซั่ว คือปลาอบเบียร์  ใครที่มาเมืองนี้แล้วไม่สั่งมากิน ต้องนั่งเครื่องกลับไปกินใหม่ค่ะ  หลังจากเดินหาร้านถูกใจอยู่สองรอบเราก็เลือกร้านที่มีคนนั่งเยอะๆ  เพราะคนเยอะเป็นเครื่องหมายว่าร้านนี้อาหารอร่อย แต่ที่คนมากอาจเป็นเพราะมีนายหน้าหาแขกเก่งก็เป็นได้  เพราะตลอดทางจะมีพนักงานร้านอาหารหลายร้านทั้งสาวและแก่ พยายามเชิญชวนแบบว่าจูงมือเราเข้าร้านกันเลย  ( หากอุ้มได้คงอุ้มเข้าร้านแล้ว)  และ เราก็เป็นเหยื่อชุดหนึ่งของหล่อนๆเช่นกัน



อาหารที่สั่ง เราสั่งปลาอบเบียร์ ตามที่หมายมั่นปั้นมือมาจากบ้าน  ตามด้วยอาหารพื้นเมืองอีกสองสามชนิด พนักงานเอาเมนูปลามาให้เลือกว่าต้องการปลาขนิดไหน  มีทั้งปลาตะเพียน  ปลาดุก ...( เขาเรียกชื่อภาษาจีน แต่ดูรูปแล้วคล้ายปลาตะพียน กับปลาดุก)  อาคัง หลานชายถามว่าป้าจะกินปลาอะไร  ฉันก็บุ้ยให้น้องสาวเป็นคนเลือก โดยให้เหตุผลว่า

 “ ป้าไม่กินปลา” 
น้องสาวร้องจ๊ากกก  
 “อ้าว.....หนูก็ไม่กินปลา  แล้วจะสั่งมาทำไมล่ะ ” 
ฉันทำหน้าขึงขัง ยังคงยืนกรานว่า ต้องสั่งให้ได้ เพราะมันเป็นจานที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้  หากเราไม่กิน กลับไปคงเล่าให้ใครฟังไม่ถูก  ดังนั้น...ฉันจึงหันไปทางอาคัง   และชี้นิ้วบอกว่า
“ ยู....ต้องเป็นคนกิน...”  
อาคัง หัวเราะร่าขำป้าทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง  จากนั้นเขาก็ตัดสินใจเลือกปลาที่คล้ายปลาดุก  เพราะจะได้ไม่มีเกล็ด  ที่น่าตกใจมากสำหรับเราคือ  หลังจากได้รับคำสั่ง พ่อครัวก็ตักปลาจากตู้เลี้ยง แล้วหิ้วมาให้ดูว่า เขาจะทำตัวนี้ให้เรากิน  ฉันถึงกับสยองรู้สึกเป็นบาปกรรมเหลือเกิน  น้องสาวบ่นดังๆว่า
อโหสิกรรมด้วยนะ  ขอโทษๆๆ  ทำไมต้องเอามาให้ดูด้วยอ่ะ ” 

ไม่นาน “ ปลาชะตาขาดอบเบียร์ ” ก็มาถึงโต๊ะ  ทางร้านไม่ได้เสริฟมาในจาน  แต่เป็นถาดใหญ่มาก ฉันมองปลาในถาดพยายามดูว่าใช่ตัวที่เอามาให้เราดูหรือไม่ แต่ก็จำหน้ามันไม่ได้เสียแล้ว

ตำนานเรื่องปลาอบเบียร์นี้  เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก  ไม่ใช่อาหารโบราณ  เป็นอาหารที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ  จากชาวประมงค์ซึ่งกำลังทอดปลาที่เขาจับขึ้นมาจากแม่น้ำ เพื่อทำเป็นอาหารให้เจ้านายกิน  ขณะนั้นเจ้านายส่งเสียงเรียกให้ไปทำงานอื่น  เขาทิ้งปลาไว้ในกระทะจนปลาไหม้  กลับมาอีกทีตกใจมากจึงหาน้ำเพื่อใส่ลงในกระทะ  แต่เขามีเพียงขวดเบียร์อยู่ในมือจึงเทลงไปด้วยความรีบร้อน  พอทุกอย่างสงบลง เขาตักปลาขึ้นมากิน  ปรากฏว่าปลานั้นนุ่ม หอมอร่อยจนน่าแปลกใจ  จากเรื่องร่ำลือนี้จึงทำให้ชาวบ้านต่างนำไปทำตามบ้างจนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่นไป

ปลาอบเบียร์ของเรา  ดูน่ากินมาก  เนื้อปลาสดจนเด้งนูนขึ้นมา  เครื่องปรุงนอกจากเบียร์แล้ว ยังมีผักและสมุนไพรหลายชนิดด้วย  ด้วยความอยากรู้จึงตักน้ำซ๊อสขึ้นมาชิม รสชาติเข้มข้นอร่อยดี  หลานบอกว่าเนื้อปลาก็อร่อยไม่เหม็นคาว  ฉันจึงตัดสินใจตักเนื้อปลามาชิมบ้าง  และก็ถูกใจที่ปลาไม่คาว เนื้อนุ่มแต่แน่น  เราไม่ได้กลิ่นเบียร์เลย คิดว่าผลจากเบียร์คงทำให้ปลาแค่นุ่มอร่อย โดยไม่มีกลิ่นอยู่ในชิ้นปลา
   

ภาระกิจสำคัญเรื่องการชิมปลาอบเบียร์เป็นอาหารเย็นก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ  เราอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า  หลังจากกินอิ่มเราก็เดินดูของที่ขายต่อโดยย้ายซอยไปเรื่อยๆ จนกว่าจนหมดแรง  ช่วงนี้บรรดาผับทั้งหลายเริ่มเปิดเพลงดังออกมานอกถนน มีเด็กวันรุ่นเต้นกันพอสมควร กว่าจะปิดก็ ตี 2สอง หากเราพักแถวนี้คงนอนไม่หลับแน่  



 ระหว่างทางจากท้ายถนนเราเดินผ่านเห็นกลุ่มชาวบ้านล้อมวงก่อไฟผิงกันหนาว  บ้างก็ทำอาหารเก่าๆขาย เช่นตังเมหลอด  และขนมต่างๆ  ดึกแล้วแต่ยังมีชาวสวนนำผลไม้ของตัวเองมานั่งขายท่ามกลางความหนาวเย็น   เจอคนแก่หาบเกาลัดเม็ดโตนึ่งร้อนๆ วางขายอยู่ข้างทาง แม้จะอิ่มจนท้องตึง  แต่เราก็อดแวะซื้อไม่ได้เพราะสงสารอาม่าคนขาย  แต่ก็ต้องติดใจเมื่อหยิบขึ้นมากินขณะเดินกลับโรงแรม  เพราะเป็นเกาลัดที่หวาน หอม ร่วนซุยมาก ไม่เหมือนเมืองอื่นที่เคยซื้อกิน


คืนนี้เราเข้านอนด้วยความสุขล้นปรี่  เดินทางสนุก อาหารอร่อย ห้องพักก็อบอุ่นด้วยฮีทเตอร์ และผ้าห่มไฟฟ้า ฉันหลับไปเมื่อไรไม่รู้ตัว แถมลืมฝันอีกต่างหาก..... อาบน้ำหรือ ?.....ไม่อาบค่ะ อิฉันรู้กิน รู้อยู่...รู้ว่าอะไรควร อะไรมิควร  เดี๋ยวก็จะเช้าแล้ว ค่อยตัดสินใจอีกทีว่าควรจะอาบน้ำหรือไม่


โม้....มาตั้งนานยังไปไม่ถึงสะพานพระจันทร์เสี้ยวของอิฉันเลย....ขอติดไว้ก่อนนะเจ้าคะ พบกันตอน 2 ค่ะ.....



1 ความคิดเห็น:

  1. สุดยอดจริงๆจ้ะ...ป้า อ่านแล้วเหมือนได้ไปเองเลย อยากกิน...ปลาอบเบัยร์!!!!

    ตอบลบ