บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Hampton Court Palace



Hampton Court Palace 

   ในเช้าวันที่ฝนครึ้มฟ้า เมฆหนาคล้ายผืนน้ำ รู้ว่าเป็นเวลาที่ต้องตื่นนอนแล้ว แต่ยังอยากเกียจคร้านสักวัน ขอหลับตานอนไปเรื่อยเปื่อย ในความหลับใหล จิตใจล่องลอยเข้าไปในสถานที่แปลกตา รู้สึกเอาเองว่าที่นี่เป็นห้องโถงใหญ่ในพระราชวังวังหลวงแห่งหนึ่ง ด้วยเคยมีประสบการณ์ได้เห็นมา ภาพของสถานที่นั้นจึงยังคงฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกและจำได้ติดตาถึงห้องโถงที่ เงียบสงบและสง่างาม หากแต่ไร้ผู้คนแห่งนี้
    ขณะก้มลงกราบรู้สึกเหมือนว่ามีเงาใครสักคนเดินผ่านไป แม้ไม่มีเสียงแต่เราเข้าใจเองว่าผู้ที่เดินผ่านไปคือใคร จึงได้แต่หมอบกราบนิ่งอยู่ในท่าเดิม จนรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดอยู่อีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัว บรรยากาศที่เงียบสงัดมีเพียงแสงสว่างส่องอยู่ไกลๆ แสงสลัวทำให้ห้องขลังจนน่ากลัว จึงรีบลุกขึ้นและเดินออกมาเงียบๆอย่างรีบเร่ง

   ยิ่งรู้สึกกลัวกับบรรยากาศ ก็ยิ่งรู้สึกว่าโถงทางเดินแปลกตาไปจากเดิม ดูเหมือนทางเดินยาวไกลลิบมากขึ้น พยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเพื่อไปให้ถึงปลายทางโดยเร็ว แต่ยิ่งวิ่งทางกลับดูยิ่งไกลออกไป ซ้ำยังหาทางออกไม่พบ หันไปทางไหนก็เห็นแต่ตัวเอง เดินอยู่คนเดียวตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงประตูบานสูงใหญ่ มีทหารในชุดโจงกระเบนยืนเฝ้าสองข้างประตู ที่ทำได้ขณะนั้นคือผลักประตูและวิ่งออกไปโดยเร็ว
   แสงสว่างของยามสายเจิดจ้าอยู่นอกหน้าต่าง พยายามลืมตาขึ้นสู้กับแสงตะวันที่ส่องเข้ามา พบตัวเองยังนอนอยู่บนเตียงที่มีแสงแดดส่องมาปลุกให้ตื่นจากฝัน พูดกับตัวเองว่า เรากลับมาถึงบ้านแล้วหรือนี่ดูนาฬิกาจึงรู้ว่าที่ขอหลับตาเดี๋ยวเดียวนั้น ใช้เวลาไปถึงสองชั่วโมง รู้สึกเหนื่อยแทบลุกไม่ไหว ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป บอกตัวเองว่าเป็นแค่ความฝัน นึกสงสัยว่าอยู่ดีๆก็ฝันถึงสถานที่นั้นได้อย่างไร

   เท่าที่ทบทวนดู พบว่านี่อาจเป็นแรงผลักดันจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงครั้งหนึ่ง ในต่างแดนที่ห่างไกล แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม ความรู้สึกที่ต้องวิ่งอยู่ในห้องว่างเปล่าอันแสนไกลนั้น อ้างว้าง น่าหวาดกลัวเหมือนกับในฝันวันนี้ คงเป็นเพราะความกลัวที่ฝังอยู่ในใจมานานกระมัง ที่ทำให้เก็บมาฝันซ้ำอีก

    ในปีที่ไปเยี่ยมเพื่อนที่อังกฤษ เมื่อกลับมาใหม่ๆ ตั้งใจจะเขียนเล่าถึงสถานที่ที่ไปเที่ยวมา แต่ด้วยความยิ่งใหญ่และซับซ้อนของประวัติของสถานที่แต่ละแห่ง ทำให้ลังเลเพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี ประกอบกับความเกียจคร้านจึงปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ แต่วันนี้หลังจากที่ถูกปลุกด้วยความฝัน ที่โผล่มาจากก้นบึ้งของความทรงจำ จึงตกลงใจแล้วว่าจะเล่าให้ฟังเพียงบางจุดซึ่งเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาในอังกฤษเท่านั้น และยังคงเป็นความสงสัยว่าสิ่งที่พบเห็นมานั้นเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ ความไม่กระจ่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้จิตสำนึกตลอดมานี่ล่ะ ที่คอยแวะเวียนมาเตือนให้ต้องคิดถึงอยู่ไม่เลิกรา วันนี้การเล่าออกมาน่าจะเป็นวิธีที่จะสามารถเอาชนะ และปลดปล่อยมันออกไป จะได้เลิกเก็บมาฝันเสียที 

   ที่เมืองอังกฤษดิฉันได้มีโอกาสไปเดินอยู่ในพระราชวังหลายแห่ง รู้สึกประทับใจไปทั่วทุกที่ แต่ละวังมีเรื่องราวประวัติยาวนานซึ่งคงไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้ เพราะเกรงว่าจะผิดเพี้ยนไป อีกประการคือแต่ละสถานที่มีเวบไซต์ให้เข้าไปค้นหารายละเอียดได้โดยไม่ยาก แต่สิ่งที่จะเล่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่บังเอิญเหลือเกินที่ได้เข้าไปพบมา แปลกกว่าคนอื่นและยากจะลืม 


Hampton Court Palace
      จากการอ่านประวัติศาสตร์ และฟังคนอังกฤษเล่า ทำให้ทราบว่าพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แม้มิได้ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อสร้าง แต่ก็ทรงเป็นเจ้าของพระราชวัง Hampton Court Palaceแห่งนี้  Hampton Court Palace เป็นพระราชวังเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงหลายด้าน เช่นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งราชวงศ์Tudor (ซึ่งมีพระมเหสีถึง 6 พระองค์ 2 พระองค์ ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เอง ) เป็นพระราชวังที่มีชื่อเสียงด้านการทำอาหารตำรับทิวดอร์ มีโรงครัวที่ใหญ่โตมโหฬาร มีสวนไม้ดอกที่งดงามที่สุด มีต้นองุ่นที่อายุยืนที่สุด

     และที่โด่งดังมากคือ เป็นพระราชวังที่มีผู้พบเห็นภาพหลอน หรือพูดง่ายๆก็คือ โดนผีหลอกมากที่สุดในอังกฤษนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนอังกฤษ หรือคนต่างชาติ หลายคนมีประสบการณ์นี้ แต่ไม่อยากคิดเลยว่า คนไทยอย่างเราจะได้รับโอกาสนี้กับเขาด้วย หากเป็นจริง ดิฉันก็คงเป็นคนที่มีชะตากรรมเหมาะสมเข้ากันได้ดีกับผีฝรั่งมากกว่าผีไทยโดยแท้ จึงได้รับการคัดเลือกให้ได้พบ และมีส่วนในสถานการณ์ที่มีชื่อเสียงของ พระราชวัง Hampton Court Palace แห่งนี้




        Hampton Court Palace ตั้งอยู่ที่ชานกรุง London เมือง East Molesey, Surrey ซึ่งไม่ห่างจากมหานครลอนดอน เท่าใดนัก การเดินทางไปเมืองนี้ง่ายเหมือนเดินทางไปทานข้าวกลางวันบ้านเพื่อน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะที่ดิฉันมีโอกาสได้ไปพระราชวังแห่งนี้ก็เพราะมีเพื่อนซึ่งพักอยู่ที่ข้างพระราชวังฯชวนไปเที่ยวบ้านนั่นเอง 





       ดิฉันออกเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีหน้าบ้านคือ Waterloo แล้วเปลี่ยนสายรถอีกครั้งที่สถานี Wimbledon station ก่อนจะไปสุดสายที่สถานี Hampton Court เมื่อลงจากรถไฟไปตามถนนไม่ไกลนัก ดิฉันและเพื่อน ก็มานั่งทานอาหารกลางวันสุดอร่อยตำรับทิวดอร์ในร้านอาหารของพระราชวัง แห่งนี้อย่างสบายๆ
 

    Hampton Court Palace สร้างในปี คศ.1504 โดย Thomas Wolsey ก่อนที่จะโอนมาเป็นที่ประทับของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ในปี คศ. 1525 มีกษัตริย์ และพระราชินีใน 3 ราชวงศ์ประทับอยู่ที่นี่ คือราชวงศ์ Tudors , Stuarts , และ Hanoverians  สาเหตุของการเปลี่ยนราชวงศ์ในครั้งแรก จาก Tudors เป็น Stuarts  ก็เนื่องจากพระนางเจ้าอลิซาเบทที่ 1 ไม่ได้อภิเษกสมรส จึงไม่มีรัชทายาทสืบต่อราชวงศ์ หลังจากเปลี่ยนราชวงศ์มา 2 ครั้งในที่สุด กษัตริย์ผู้ครองประเทศอังกฤษราชวงค์ใหม่ ก็มิได้ใช้ Hampton Court Palace เป็นที่ประทับอีกเลย 
      ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของ และมีชื่อเสียงที่สุดของ พระราชวังนี้อยู่ระหว่างปี คศ. 1525 ถึง 1603 ซึ่งเป็นช่วงของราชวงศ์ Tudors ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ถึงพระนางเจ้าอลิซาเบทที่ 1 ดังจะเห็นได้จากที่มีการนำเอาประวัติศาสตร์ในช่วงนี้มาเขียนหนังสือออกมา เล่าขานกันไม่รู้จบ จนถึงปัจจุบัน 
    ในช่วงของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระองค์ทรงมีพระมเหสี 6 พระองค์ คือ
      1. Katherine of Aragon อภิเษกสมรสเมื่อ 11th June 1509 หย่าเมื่อ 23rd May 1533
      2. Anne Boleyn อภิเษกสมรสเมื่อ 25th January 1533 ถูกประหารเมื่อ19th May 1536
      3. Jane Seymour อภิเษกสมรสเมื่อ 30th May 1536 สิ้นพระชนม์หลังประสูติพระโอรสเมื่อ 24th October 1537
      4. Anne of Cleves อภิเษกสมรสเมื่อ 6th January 1540 หย่าเมื่อ 9th-12th July, 1540
      5. Katherine Howard อภิเษกสมรสเมื่อ 28th July 1540 ถูกประหารเมื่อ15th February, 1542
      6. Kateryn Parr อภิเษกสมรสเมื่อ 12th July 1543 มีพระชนม์ชีพอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งเสด็จสวรรคตในปี คศ.1547
    พระราชินี 2 พระองค์ ที่ถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยข้อหา และเหตุผลคล้ายๆกันคือ มีสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่จุดมุ่งหมายหลักที่ถูกตั้งข้อหานี้ก็เพราะ พระองค์ต้องการหย่า และอภิเษกสมรสกับคนใหม่ ผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตคือ Anne Boleyn และ Katherine Howard
     เรื่องของพระราชวังแห่งนี้ ถูกนำมาเล่าขานต่อกันมา บ้างก็บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ บ้างก็เขียนเป็นนวนิยาย ปัจจุบันมีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์หลายยุคหลายเวอร์ชั่น  เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของสถานที่แห่งนี้คือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตรัก ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 และพระราชินี โดยเฉพาะพระราชินีที่ถูกสั่งประหารชีวิต
    เรื่องราวเกี่ยวกับพระราชินีองค์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพระราชวังนี้ เห็นจะเป็นพระนาง Katherine Howard. ซึ่งถูกประหารชีวิตในปี 1542 ชาวเมืองเล่ากันว่า ในเช้าตรู่ของวันที่พระนางจะถูกประหาร พระนางพยายามหนีออกจากห้องที่ประทับ เพื่อไปยังห้องสวดมนต์ ที่ซึ่งพระเจ้าเฮยรี่ที่ 8 กำลังประทับอยู่ เพื่อขออภัยโทษละเว้นการประหาร แต่ถูกทหารจับได้และนำตัวกลับมาเพื่อเข้าสู่ที่ประหาร

     ขณะที่ถูกนำตัวกลับมานั้น ทหารต้องลากพระองค์มาตามพื้นทางเดินที่ยาวไกลของพระราชวังฯ เสียงร้องขอความเมตตาอย่างโหยหวนของพระนาง ดังก้องไปทั่วพระราชวัง จนทุกคนสามารถได้ยินอย่างชัดเจน จนแม้ปัจจุบัน ก็ยังคงมีผู้เห็นพระนางเดินอยู่บนทางเดินนั้น และยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนของพระนางฯอย่างต่อเนื่องมานานนับร้อยปี ทางเดินที่มีชื่อเสียงนี้เรียกว่า The Haunted Gallery
       นอกจาก Katherine Howard. แล้ว ยังมีผู้พบเห็นพระนาง JANE SEYMOUR พระมเหสีองค์ที่ 3 (ที่สิ้นพระชนม์หลังจากประสูติ พระโอรสเพียง 12 วัน ) เดินถือเทียนอยู่แถวสนามหญ้าหน้าพระราชวัง และแม้แต่ Anne Boleyn ก็ยังถูกเห็นแบบไร้หัว อยู่ในสถานที่ที่ถูกประหาร แต่เป็นที่ Tower of London
     เรื่องหลอนๆที่ว่านี่ แม้จะมีมาเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่ได้เบาบางลงแต่อย่างใด เพราะช่วงหนึ่งสำนักข่าว CNN เพิ่งจะนำภาพผู้หญิงในชุดดำยาวที่เห็นได้จากกล้อง CCTV ในวันที่ 19 ธันวาคมปี 2003  มาออกอากาศ  
      จุดที่เห็นเป็นประตูของที่ประทับหลังหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นที่ฝังศพของ Sibell Penn พระพี่เลี้ยงของ พระเจ้า Edward โอรสของพระเจ้าเฮนรี่ ที่เกิดจากพระราชินีองค์ที่ 3 (Jane Seymour)  Sibell Penn ถูกเรียกว่า LADY IN GREY  โดยมักจะปรากฏตัวให้เห็นในชุดสีดำ หรือเทาเข้ม แถวบริเวณนี้ เพราะเธอต้องการกลับมายังที่อยู่ดั้งเดิมของเธอที่ถูกรื้อไปนั่นเอง เรื่องนี้มีคนเชื่อกันมาก พราะเป็นครั้งแรกที่มีการจับภาพหลอนได้จากกล้อง CCTV ส่วนจะจริงหรือไม่ ดิฉันไม่กล้าออกความเห็น







      ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงคำล่ำลือ ของสถานที่แห่งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว แม้จะเป็นผู้ที่ชอบศึกษา และชอบชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์มาก แต่ก็ไม่ชอบเรื่องหลอนๆ เท่าใดนัก การได้ไปเดินอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่อยู่ในมิติของกาลเวลา มักทำให้มีความสุข และคิดย้อนไปเสมอๆว่า วันนี้เวลานี้ พื้นดินจุดนี้ ก้อนหินก้อนนี้ เมื่อร้อยปีก่อน มีใคร กำลังยืนอยู่เหมือนเราหรือไม่ หากมี คนๆนั้นคงเป็นผู้ที่ถูกลิขิตชะตาชีวิตร่วมกันกับเรา เพียงแค่ต่างเวลาเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ หากคนสองยุคจะมาพบกัน ณ ตรงนี้ ก็นับว่าเรา: คนสองยุคต่างมีวาสนาร่วมกันจริงๆ 



    การมาเที่ยว Hampton Court Palace วันนี้เราไม่ได้มาในฐานะนักท่องเที่ยวทั่วไป เพราะกลุ่มของเราโชคดีที่ท่านผู้ดูแลพระราชวังฯเมตตา ให้เป็นแขกรับเชิญ จึงเข้าไปโดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม พระราชวังนี้นอกจากตัวอาคารจะกว้างใหญ่แล้ว ยังมีส่วนที่เป็นสวนดอกไม้ และสระน้ำ รวมถึงที่ประทับหลังเล็กๆริมแม่น้ำเทมส์ อีกด้วย 



   การเดินชมจึงต้องไปแบบห้ามหยุด เพราะเวลาจะหมดเสียก่อน การมาชมสถานที่นี้ ต้องเริ่มกันตั้งแต่ที่ลานสนามหญ้าหน้าอาคารใหญ่ที่สร้างมาบรรจบกันเป็นรูป ตัวโอสี่เหลี่ยม ส่วนกลางของสี่เหลี่ยม เป็น สนามหญ้ากว้างใหญ่อีกหนึ่งสนาม ส่วนด้านหลังของพระราชวังฯ เป็นลานกรวดที่ปลูกไม้ยืนต้นแต่งทรงดูคล้ายตุ๊กตาใส่กระโปรงบาน ก่อนที่จะลงไปสู่สระน้ำกว้างใหญ่ท้ายวัง ที่สนามหญ้าหน้าอาคารนี้จะมีพนักงาน แต่งกายตามยุคสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 มาเดินให้นักท่องเที่ยวชมเพื่อถ่ายรูป ดูหน้าตาแล้วเหมือนเป็นคนในยุคนั้นเสียจริงๆ
การมาชมที่นี่ผู้เข้าชมสามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มจากจุดไหนก่อน กลุ่มของเรา สามคนล้วนเป็นคนชอบรับประทาน และรักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ จึงตัดสินใจเริ่มที่ครัวกันก่อน หลายท่านเห็นคำว่า ครัวคงคิดว่าเป็นห้องเล็กๆเหมือนบ้านเรา แต่ความจริงแล้ว พระราชวังแห่งนี้มีชื่อเสียงมากเรื่องการทำอาหาร ทั้งตำหรับที่แปลกใหม่ และจำนวนมากของอาหารที่ต้องทำเลี้ยงผู้เข้าเฝ้าพระราชาทุกวัน



 ดังนั้นครัวของที่นี่จึงควรจะเรียกว่า อภิมหาอมตะครัวมากกว่า เพราะขนาดของครัวนั้นใหญ่เป็นน้องๆของอาคารที่ประทับก็ว่าได้  โดยมีห้องทำอาหารประเภทต่างๆ ห้องเก็บของสด ของแห้ง ห้องวางอาหารเตรียมเสริฟ สรุปแล้วนับเป็นร้อยห้องเห็นจะได้ ส่วนคนงานในครัว นัยว่ามีเป็นพันคน ลองนึกถึงความชุลมุนวุ่นวายของการทำอาหารเลี้ยงภายในวังของแต่ละวันในสมัยนั้น คงใช้เงินมากมายมหาศาลต่อหนึ่งมื้อทีเดียว แต่งานเลี้ยงก็ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
        เราออกจากอภิมหา
อมตะครัวเพื่อขึ้นมาชมอาคารที่ประทับโดยใช้ทางที่พนักงานในครัวใช้ขนส่งอาหารขึ้นมาบนพระราชวัง  แค่ทางส่งอาหารก็กว้างใหญ่กว่าทางขึ้นอาคารสำคัญๆของประเทศ บางแห่งแล้ว แถมบนฝาเพดานข้างทางเดินยังประดับด้วยเขาของบรรดา กวาง เก้ง และสัตว์ที่คณะล่าสัตว์ของพระมหากษัตริย์ล่าเอามาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหาร เลี้ยง เต็มไปหมด ห้องนี้จึงชื่อว่า The Horn Room 


    มาถึงส่วนที่ประทับอันกว้างใหญ่  เพื่อนที่มาด้วยกันต่างแยกกันเดิน เพื่อความคล่องตัว จะได้ดูได้อย่างอิสระตามความชอบ  มีเพียงดิฉันเท่านั้นที่ล้าหลังเพราะมัวแต่ยืนฟังเสียงจากหูฟัง ที่สร้างบรรยากาศให้นึกภาพเห็นพนักงานกำลังขนอาหารขึ้นจากครัวมายังห้องพักอาหารเพื่อรอเสริฟ  ความที่พนักงานต้อง ขนอาหารกันชุลมุน พื้นไม้ของบันไดจึงสึกกร่อนไปมากกว่าจุดอื่น หากกำลังมีการทำงานกันในเวลานี้จริงๆ ดิฉันคงถูกชนกระเด็นไปข้างทางเป็นแน่

 รูปพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8
( เป็นรูปเดียวที่ถ่ายได้ เพราะภายในที่ประทับห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด)
 
         อาคารใหญ่ที่ประทับพระองค์นี้เรียกว่า The King’s Apartment เป็นอาคาร 2 ชั้น ตัวอาคารสร้างเป็นแถวยาวแล้วหักมุมมาบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ที่มีสนามหญ้ากว้างใหญ่อยู่กลาง ล้อมรอบด้วยอาคารพระราชวัง พื้นที่ครึ่งหนึ่งของวงสี่เหลี่ยมนั้น แบ่งเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ อีกครึ่งใช้เป็นที่ประทับของพระราชินีและเป็นห้องทำงานต่างๆ 




     ดิฉันเดินชมห้องทุกห้องไปจนรอบอาคารซึ่งขนานไปกับสนามหญ้าสีเขียว จนมาบรรจบที่เดิมซึ่งใกล้กับห้องขายของที่ระลึก ในเวลานั้นเพื่อนที่มาด้วยรู้สึกเหนื่อยและอยากจิบชาร้อนๆ ความเหนื่อยทำให้  ลืมไปว่ายังมีห้องชั้นบนซึ่งเป็นส่วนด้านที่ประทับของพระราชินีที่ยัง ไม่ได้ขึ้นไปดูอยู่อีก

ขณะที่เรากำลังเดิน ดิฉันก็เหลือบเห็นบันไดแคบๆ ที่มีป้ายว่า The Queen’s Apartment ทางไปที่ประทับของพระราชินี ทางนี้เป็นเส้นทางลับที่พวกคนรับใช้ในวังใช้ขึ้นลงเพื่อความรวดเร็ว ทางนี้หลบมุมอยู่ในที่แคบๆและมืดสลัวเล็กน้อย  ความอยากรู้อยากเห็นทำให้อดใจไม่ไหว จึงบอกเพื่อนให้เดินไปรอที่ร้านขายของที่ระลึกก่อน โดยขอตามไปทีหลัง
 
       ดิฉันเดินขึ้นบันไดเล็ก ที่ชันและมืดสลัวนั้นไปเพียงคนเดียว เมื่อถึงห้องโถง ก็พบกับห้องที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน อากาศในอาคารค่อนข้างเย็นและเงียบกริบ ขณะเดินไปตามทาง มีเพียงแสงสว่างจากสนามหญ้ากว้างกลางอาคารเท่านั้นที่ส่องผ่านกระจกเข้ามาใน ห้องทุกห้อง แต่ละห้องสวยงามด้วยภาพวาดขนาดมหึมา ผ้าม่าน โต๊ะเตียง ล้วนงามวิจิตรจับใจ

    จากที่ประทับส่วนพระองค์ของพระราชินี ( ไม่แน่ใจว่าเป็นของพระองค์ใด) ก็มาถึงทางเดินยาวซึ่งใช้เป็นที่ประดับภาพเขียนที่มีค่า ที่พระราชินีทรงโปรด ความยาวของทางเดินนี้ยาวไกลไปตามความยาวของตัวอาคาร ( มากกว่า 200 เมตร) เป็นทางเดินที่ไกลมากโดยเฉพาะเมื่อต้องเดินคนเดียว
 
     ขณะกำลังเพลินกับการดูรูปเขียนที่แขวนอยู่บนผนัง ก็ต้องตกใจที่จู่ๆก็มีพนักงานหญิงคนหนึ่ง (ขณะนั้นใจคิดว่าคงเป็นคนที่เราเห็นยืนให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปช่วงหน้าตึกก่อนเข้ามาใน พระราชวัง)   ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดยาวสีดำล้วนเป็นชุดเหมือนเสื้อในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ผมเกล้าเป็นมวยสูง  เธอเดินเร็วมากจนไม่ทันเห็นหน้า

     ความที่เธอโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ดิฉันต้องหยุดกะทันหันก่อนที่จะชนร่างของเธอ  รู้สึกเหมือนว่าเธอผ่านหน้าดิฉันไปเร็วเหมือนสายลม จากเสี้ยวหนึ่งของช่วงเวลาขณะที่เธอเดินผ่านหน้าไป เท่าที่เห็นคือไรผมสีน้ำตาลเข้มที่ต้นคอ และมวยผมที่เกล้าขึ้นอย่างสวยงามเท่านั้น กระโปรงของเธอบานพลิ้วไปในช่วงที่ก้าวเดิน ไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน และแม้เกือบจะชนกันแต่เธอก็ไม่ยอมที่จะหันมากล่าวคำขอโทษ หรือกล่าวอะไรกับดิฉันเลยสักคำ  เธอยังคงเดินต่อและหายเข้าไปในประตูเล็กๆข้างผนังอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
     หล่อนจากไปพร้อมกับความโมโหเล็กๆของดิฉันที่ตกใจกับการปรากฏตัวแบบสายฟ้าแลบโดยไม่ส่งเสียงมาก่อนเช่นนี้   สิ่งที่ดิฉันทำได้คือนึกแช่งชักหักกระดูกแม่คนนั้นอยู่พักใหญ่ และแล้วความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวก็เข้ามาจับในหัวใจแทนความโกรธอย่างหาสาเหตุไม่ได้  เริ่มสงสัยว่า ตัวเองเดินอยู่บนชั้นนี้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่เหตุใดจึงไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นขึ้นมาบ้างเลย มองไปข้างหน้าสุดทางเดิน รู้สึกเหมือนทางเดินยาวจนมองหาจุดสิ้นสุดไม่เห็น บอกตัวเองว่า เราต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

     
     ดิฉันพยายามวิ่งสุดชีวิตไปตามทางเดินที่แสนยาวนั้น มองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปที่สนาม อีกด้านหนึ่งของพระราชวัง เห็นเพื่อนสองคนกำลังเดินอยู่ที่ริมสนาม ได้แต่พยายามโบกมือและร้องเรียกชื่อเพื่อน แต่ก็ไม่เป็นผล มีแต่เสียงของตัวเองเท่านั้นที่ก้องอยู่ในทางเดินที่กว้างไกลนั้น ดูเหมือนว่ายิ่งวิ่งทางก็ยิ่งไกล เหนื่อยแทบขาดใจ  ภาวนาให้ถึงจุดหมายเร็วๆเสียที
 
   ในที่สุดก็มาถึงมุมตึกที่ต้องเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อไปสู่บันไดทางลง จุดนี้นับเป็นจุดที่หิน และโหดกว่าที่ผ่านมาเสียอีก เพราะต้องเดินผ่านหน้าเตียงที่พระราชินี ( องค์หนึ่ง) เคยประทับ ดิฉันกั้นใจวิ่งผ่านไปอย่างเร็วสุดชีวิต ความที่วิ่งเร็วมาก จึงเกือบชนเข้ากับเจ้าหน้าที่หญิงท่านหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาดูแลความเรียบร้อย เธอแต่งเครื่องแบบผู้ดูแลสถานที่ เป็นสีน้ำเงินเข้มคล้ายตำรวจ เธอหลบอย่างเร็วก่อนที่จะโดนดิฉันชน พร้อมกับทำหน้าสงสัยที่เห็นคนวิ่งหน้าตื่นมา แต่ดิฉันกลับดีใจที่ได้พบสิ่งมีชีวิตคนแรกบนชั้นสองของพระราชวังแห่งนี้เสียที หลังจากยิ้มทักแบบอายๆเสร็จ ดิฉันก็แทบจะกระโดดลงบันไดเพื่อไปหาเพื่อนให้เร็วที่สุด

   ทันทีที่นั่งจิบชาอุ่นๆใน Tea Room ของพระราชวังฯ ดิฉันก็เริ่มบ่นพึมพำเพราะยังโกรธไม่หาย เรื่องแม่ผู้หญิงเสื้อดำที่ทำให้ตกใจ และถือโอกาสต่อว่าเพื่อนที่ไม่ยอมมองขณะที่ดิฉันร้องเรียกหา อาการที่เป็นนี้ทำให้เพื่อนแปลกใจมาก เพราะตั้งแต่คบกันมาไม่เคยเห็นดิฉันโกรธใครขนาดนี้เลย แต่ทั้งสองคนก็นั่งจิบชาและฟังอย่างสงบ  สำหรับดิฉันแล้ว ความโกรธทำให้ชายามบ่ายกลายเป็นชาบูดๆอย่างน่าเสียดาย (ชาร้อนๆ กับอารมณ์เย็นๆนี่เป็นของคู่กันจริงๆ)


     อาการอารมณ์เสียครั้งนี้เป็นอยู่ไม่นานนัก ทันทีที่เดินพ้นจากรั้วอาคารที่ประทับ ออกไปทางด้านหลังเพื่อขึ้นรถเข้าเมือง Kingston เราต้องผ่านสวนดอกไม้ของพระราชินี  ที่ปลูกปะปนกันหลายชนิดแบบสวนอังกฤษทั่วไป ความงดงามของดอกไม้ที่แข่งกันออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ลืมเรื่องหงุดหงิดใจไปได้อย่างสนิท







     ดังนั้น แทนที่จะรีบเดินออกไปจากรั้ว เรากลับหยุดเดินเพลิดเพลินอยู่ในสวนดอกไม้เหล่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงเวลาเลยว่าจะผ่านมานานเท่าใด ราวกับว่าพวกเราเป็นแม่หนู Alice in Wonderland อย่างนั้นล่ะ  ก็สวนสวยอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ Alice มีความสุขที่จะเดินเที่ยวแม้จะเป็นดินแดนที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนวันนี้ของพวกเรา ในที่สุดการเที่ยวเมือง Kingston ของเราก็เป็นแบบเร็วๆเพราะแม้ฟ้าจะยังไม่มืดมิด แต่เวลาก็ค่ำมากแล้ว

    ดูเหมือนว่าประสบการณ์เรื่องการมาเที่ยว Hampton Court Palace ของเราจะถูกลืมไปเสียสนิท   หากแต่ว่าในอาทิตย์ต่อมา เพื่อนร่วมเที่ยวของดิฉันทั้งสองคนก็รื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ อีกครั้ง   บรรยากาศการคุยกันวันนี้มิใช่แค่การปลุกความทรงจำที่ตกตะกอนให้ฟุ้งขึ้นมาเท่านั้น  แต่ดูคล้ายการสอบสวน วิเคราะห์ และสรุปผลแบบระทึกใจยิ่งกว่าการดูหนังนักสืบมากกว่า

   หนึ่งในสองสาวอารัมภบทขึ้นมาว่า เรื่องที่ดิฉันไปพบกับหญิงลึกลับบนชั้นสองของ Hampton Court Palace เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั้น พวกเขารับฟังอย่างตกใจพอสมควร แต่ไม่กล้าพูดอะไรต่อในวันนั้น เพราะยังหาข้อสรุปไม่ได้  หากแต่พวกเขายังเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจตลอดสัปดาห์ โดยพยายามหาข้อสรุปด้วยการไปสอบถามผู้ดูแล และพนักงานตลอดจนชาวบ้านแถวนั้น ตามรายละเอียดลักษณะของหญิงคนที่ดิฉันพบว่า
1.สวมชุดยาวแบบโบราณสีดำล้วน
      2.เกล้าผมเป็นมวย ผมน้ำตาลสีเข้ม
      3.ผู้หญิงคนนี้เดินหันหลังให้ และเดินเร็วมาก
      4.เธอหายเข้าไปในประตูเล็กๆ ที่ไม่ทันสังเกตว่าอยู่ตรงไหน
      5.แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงผ้ากระโปรงของเธอ ซึ่งยาวและบานมากน่าจะมีเสียงผ้าเสียดสีกัน( พวกเขาตั้งใจสรุปว่า หล่อนไม่ได้เดิน)
 
        ข้อสรุปจากการไปสอบถามคนในท้องที่มาคือ พนักงานหญิงที่แต่งกายแบบโบราณ ส่วนใหญ่จะยืนโชว์ ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปอยู่แถวสนามหญ้าบริเวณหน้าอาคารเท่านั้น  ดังนั้นในเวลาที่ดิฉันขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้ปิด จะไม่มีพนักงานเหล่านี้ขึ้นไปบนอาคาร
       สรุปคือ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พนักงานของวังจ๊ะ

ทั้งสองคนบอกดิฉันเพียงแค่นี้ ที่เหลือปล่อยให้คิดเอาเอง แต่ไม่ต้องพูดต่อก็พอจะเข้าใจได้ว่าหล่อนเป็นใคร  


ดิฉันมีความคิดแย้งขึ้นมาแบบเข้าข้างตัวเองว่า ข้อสรุปของเธออาจเป็นหลักการทั่วไป  ซึ่งในวันนั้นอาจเป็นโอกาสพิเศษที่พนักงานคนใดคนหนึ่งอาจจะขึ้นมาในเวลานั้นก็ได้   และไม่เชื่อเด็ดขาดว่า ภาพที่เห็นจะเป็นภาพหลอน อันเนื่องมาจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่เป็นใจ พูดตรงๆคือ เรื่องจะให้คิดหรือเชื่อว่าโดนผีหลอกนั้น ยังยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครหลอกดิฉันได้ แม้จะไม่ได้ห้อยพระก็ตาม อีกทั้งยังมั่นใจในสภาพจิตที่เข้มแข็งของตัวเองอีกด้วย


        แม้การสนทนาในวันนั้นจะยังหาข้อยุติไม่ได้ หรืออีกทีคือ ดิฉันยังปากแข็งไม่ยอมรับข้อสรุปของเพื่อนมากกว่า แต่หัวข้อนี้ก็ไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกเลย ดูเหมือนทุกคนตั้งใจที่จะให้มันหายไปในอากาศ แต่ดิฉันรู้ดีว่าพวกเราทั้งสามคนยังคงเก็บเรื่องนี้แอบไว้ในใจ โดยเฉพาะตัวเอง  ที่รู้สึกเหมือนมีผู้หญิงคนนั้นนอนสงบนิ่งอยู่ในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอคอยว่าวันหนึ่งที่จะผงาดขึ้นมาเตือนความทรงจำอีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว….. และมันก็เป็นเช้าวันนี้เองที่ดิฉันปล่อยให้เธอขึ้นมา
         เช้าวันนี้ ฝนยังตกพรำๆไม่หยุด อากาศช่างเย็นสบายน่านอนตื่นสายกว่าทุกวันเสียจริง แต่ดิฉันนอนหลับตาไม่ลงเสียแล้ว 

ช่วยบอกฉันหน่อยเถอะ “ Who Are You ? ”