บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Lily in London ( ตอน 1)



ที่จริงชื่อเรื่องนี้น่าจะเป็น " หญิงชรา (ขาเดี้ยง) พาเที่ยว " จะเหมาะสมมากกว่านะ


      ตั้งใจจะเล่าเรื่องเที่ยวอังกฤษแบบตอนเดียวจบเหมือนกับเรื่องอื่นๆ  แต่รู้สึกเหมือนสังขารจะไม่อำนวย  คราวนี้จึงต้องเปลี่ยนเป็นเล่าทีละเมือง เป็นตอนๆไป (ตามอารมณ์) จะดีกว่า  และก็แปลกใจตัวเองมากที่ พอดูรูปที่ถ่ายมาแล้ว ล้วนมีแต่รูปอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ วิวทิวทัศน์มีน้อยมาก  แล้วจะเอาอะไรมาเล่าให้เพื่อนฟังล่ะเนี่ย  อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว อิฉันจะพยายามหาสาระอื่นๆมาเล่าเพิ่มเติมให้ด้วยนะเจ้าคะ  จะได้ไม่เบื่อเสียก่อน และต้องขอออกตัวนิ๊ดว่า  รูปอาจไม่งดงามเหมือนตอนอื่นๆ เพราะวันแรกที่ไปใช้แต่กล้องปัญญาอ่อน ที่มีน้ำหนักเบา รูปจึงออกมาปัญญาอ่อนไปด้วยค่ะ 

London

เมืองแรก  ก็ต้องเป็นเมืองลอนดอน เพราะเป็นเมืองตั้งต้นของเรา  วันแรกอาการเจ็บหัวเข่าของอิฉัน ที่ระบบจากการนั่งเครื่องบินมากว่า 10 ชั่วโมง ก็ทำให้ฉันอยากนอนเฝ้าโรงแรมเสียจริง ( โรงแรมราคาแพงต้องอยู่ให้คุ้ม)  แต่พอน้องสาวมาชวนให้ไปด้วย โดยยิยอมให้นั่งแท็กซี่แทนรถใต้ดิน ฉันก็ยอมไปแต่โดยดี

ความที่เรานอนอยู่ข้างๆวังของเจ้าหญิงไดอาน่า เราจึงเดินไปเก็บเสียก่อนเป็นที่แรก  สถานที่นั้นคือ Kensington Palace  ซึ่งตั้งอยู่ในสวน Kensington ที่สวยงามมาก 

 เนื่องจากเป็นช่วงเช้า เราจึงตั้งใจจะไปหาอาหารเช้ากินแถวข้างวัง ซึ่งมีร้านชื่อ My old Dutch Restaurants ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโบสถ์ St.Marry แต่พอไปถึงก็ปรากฏว่าร้านยังไม่เปิด เราจึงต้องเดินน้ำลายยึดต่อเข้าไปในพระราชัง Kensington กันเลย  เพราะรู้ว่าในนั้นมี cafe เปิดให้บริการตั้งแต่เช้า 


 ช่วงเช้าอย่างนี้อากาศเย็นมาก ถนนยังเปียกเพราะฝนตกตอนเช้ามืด  แต่เสน่ห์ของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงก็มีสีสันสวยตัดกับสีเขียวของสนามดูสงบและอบอุ่นมาก







Kensington Palace 


 พระราชวัง Kensington สร้างในปี ค.ศ.1689 เพื่อใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้า William lll  อีกแห่งนอกเหนือจากพระราชวังในเมืองลอนดอน  เหตุที่ต้องสร้างพระราชวังแห่งนี้ก็เพราะในขณะนั้น เมืองลอนดอนเป็นเมืองหลวงที่มีผู้พักอาศัยหนาแน่น แต่ละบ้านใช้เผาผิงที่มีควันไฟ ผสมกับหมอกตามธรรมชาติ เมื่อมีมากขึ้นอากาศในกรุงลอนดอนก็ไม่เหมาะกับพระสุขภาพของพระองค์ 

ตำบล Kensington ซึ่งเป็นเพียงท้องทุ่งนา ที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนัก จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม  และหลังจากพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้น ที่นี่จึงกลายเป็นจุดตั้งต้นของประวัติศาสตร์หลายหน้าของประเทศอังกฤษ 


พระราชวังแห่งนี้  เป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องชุด 20 ห้อง  ได้ใช้เป็นที่ประทับของสมาชิกราชวงค์อังกฤษหลายพระองค์   มีเจ้านายชั้นสูงเกิด และได้รับการเลี้ยงดูในพระราชวังนี้หลายพระองค์ หนึ่งในนั้นคือ สมเด็จพระนางเจ้าวิคทอเรีย  โดยได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ของพระองค์ ในวัยแรกเริ่มขึ้นครองราชไว้ที่หน้าพระราชวัง

ในช่วงหลังจากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบท ที่2 (องค์ปัจจุบัน) ขึ้นครองราช พระราชวังนี้ได้เป็นที่ประทับของ เจ้าฟ้าหญิงมากาเร็ตท์ พระขนิษฐา   และในปี ค.ศ.1981 ได้ใช้ส่วนหนึ่งเป็นที่ประทับของ เจ้าฟ้าชายชาลล์ และเจ้าหญิงไดอานา   แม้เจ้าหญิงไดอาน่า จะทรงหย่าขาดจากเจ้าชายชาลล์แล้ว  แต่ก็ยังคงได้ประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้จวบจนวาระสุดท้ายของพระองค์  หลังจากประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์ พระศพของพระองค์ได้ถูกตั้งไว้ในที่ประทับ ก่อนจะเคลื่อนไปยังสุสาน 

ในปี 2011 ได้มีการประกาศว่า พระราชวังแห่งนี้จะเป็นที่ประทับของ the Duke and Duchess of Cambridge คือเจ้าชายวิลเลี่ยม และ เคท มิทเดลตัน โดยจะเข้าประทับในส่วนที่เป็นที่ประทับเดิมของเจ้าฟ้าหญิงมาการ์เรต ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปในปี 2002  ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตกแต่งปรับปรุงโดยทั้งสองพระองค์จะย้ายเข้าในปี 2013 ที่จะถึงนี้ 



 ปัจจุบัน พระราชวังนี้ได้ถูกแบ่งออกให้เป็นส่วนที่ประทับของราชวงค์ และ ส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้าชม โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจัดแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่เคยประทับอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะเรื่องราวของเจ้าหญิงไดอาน่า

 ขณะที่น้องสาวและหลานเข้าไปชมพระราชวัง ฉัน ซึ่งมีอาการเข่าแข็งเนื่องจากอากาศหนาว ไม่สามารถเดินไหวเพราะสถานที่กว้างใหญ่เหลือเกิน ประกอบกับเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว จึงขอนั่งจิบกาแฟกับขนมอร่อยๆในคาเฟของพระราชวังให้อบอุ่นเข้าไว้ก่อน 




ในคาแฟนี้ นอกจากอาหารและเครื่องดื่มแล้ว  
ยังเป็นที่จำหน่ายของที่ระลึกที่น่ารักๆมากมายอีกด้วย 


ฉันก็นั่งจิบกาแฟไปพลางๆ ก่อนที่จะออกไปเดินเล่นในสวนของพระราชวังที่สวยงามมาก 




 
Covent Garden.

เราเดินเล่นอยู่ในสวนกันพักใหญ่  จนรู้สึกหิวเพราะเลยเที่ยงไปมากแล้ว ฉันเสนอให้ทุกคนไปกินอาหารกลางวันแบบอังกฤษแท้ๆกันที่ Covent Garden ซึ่งเป็นร้านที่เคยไปกินกับเพื่อนเมื่อหลายปีก่อน  

ต้องขอเรียนให้ทราบเลยว่า การเที่ยวของเราไม่มีการวางแผนล่วงหน้าเลย เราเที่ยวกันแบบสบายๆไม่เร่งรีบ อยากไปไหนก็ไป แลก็ดีใจที่คิดอย่างนั้น เพราะขณะที่เรานั่งแท็กซี่จาก Kensington Palace เพื่อไปยัง Covent Garden เราผ่านพระราชวัง Buckingham, St.Jame's Park ,Trafalgar Square ก็เห็นว่ามีนักท่องเที่ยวเบียดเสียดกันเดินบ้าง ยืนบ้าง กันอย่างล้นหลาม 

หากเราลงไปเดินแถวนั้นเราคงมองไม่เห็นอะไร บางครั้งการมองดูอยู่ห่างๆ จะเห็นภาพได้ดีกว่ามองใกล้ๆ  เราจึงนั่งรถไปบนถนน The Mall อย่างสง่างาม พร้อมชมวิวสองข้างทางอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ


ในที่สุดเราก็มาถึง Covent Garden 
ตลาดที่ไม่เคยขาดผู้คนที่มาเยี่ยมเยือน





ตลาดนี้ดูๆก็เหมือนตลาดนัดจัตุจักร์บ้านเรา  สินค้าส่วนใหญ่เป็นของขวัญ ของที่ระลึกน่ารักๆ คิดว่าน่าจะนำเข้าจากประเทศแถวบ้านเรานี่ล่ะ

ตลาดมีประวัติยาวนาน ประมาณปี ค.ศ.1654 เดิมเป็นตลาดสดจำหน่ายอาหารและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรม รอบๆตลาดแห่งนี้บนถนน Drury Lane เป็นที่ตั้งของแหล่งบันเทิงในสมัยโบราณ เช่น The Royal Opera House และโรงละคอนเล็กๆมากมาย  จากจุดที่ตั้ง และลักษณะของตลาดแห่งนี้ ได้เกิดนิยายที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง โดยได้สร้างเป็นภาพยนต์ คือ My Fair Lady ซึ่งเป็นเรื่องของแม่ค้าขายดอกไม้ที่ชื่อ อิไลซ่า ที่ได้บังเอิญพบกับศาสตราจารย์ฮิ๊กกิ้น ขณะที่ ฮิ๊กกิ้นเดินออกมาจากโรงละคอน จนทำให้เกิดเป็นเรื่องราวโรแมนติกตามมา 




ภาพในภาพยนต์เป็นบรรยากาศของตลาดในสมัยเริ่มต้น  ปัจจุบันจะมีนักแสดงสมัครเล่นมาเปิดการแสดงหมุนเวียนกันที่ลานหน้าตลาด เพื่อเปิดหมวกรับเงินจากนักท่องเที่ยว  

แต่ในวันที่เราไปเป็นวันที่ทางทหารได้จัดการแสดงเพื่อรวบรวมเงินช่วยทหารผ่านศึก เราจึงช่วยบริจาคเงินด้วย


 กว่าเราจะผ่านตลาดเพื่อเดินไปยังร้านอาหารได้ เราต้องผ่านร้านอาหารมากมาย ล้วนเป็นการทรมาณกระเพาะทั้งสิ้น แต่ก็ต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อหวังกินอาหารที่ชอบที่ร้านเป้าหมายของเรา

ในที่สุดเราก็มาถึงร้านที่เราหมายปอง ร้านนี้ชื่อ The Porters
the traditional English food เป็นร้านอาหารแบบอังกฤษแท้ๆ ที่มีความชำนาญด้านพายประเภทต่างๆ 

 บรรยากาศของร้านอบอุ่นแบบอังกฤษ เราไม่รอช้ารีบสั่งอาหารทันที

อากาศหนาวๆอย่างนี้ ขอHot Tea เท่านั้นจ๊ะ

เพื่อนของหลาน สั่งอาหารพิเศษประจำวัน นั่นคือ Toad in the Hold with onion gravy  เป็นอาหารดั้งเดิมของอังกฤษ  คือไส้กรอกสุดอร่อยเสริฟมาในแป้งพายที่ทำเป็นหลุม ราดด้วยน้ำเกรวี่ เห็นแล้วอยากกินแทนจริงๆ 

 จานนี้มีผักต้มเป็นเครื่องเคียง วิธีเสริฟผักดูน่ารัก 
ไม่ต้องเรียบร้อยนักดูยุ่งๆดี

 ของน้องสาวเป็น Fisherman’s Pie  ที่ประกอบด้วยเนื้อปลาค๊อด ปลาแซลมอน และกุ้ง ปรุงมาในซ๊อสเข้มข้นใส่ผักชีฝรั่ง ปิดหน้าด้วยมันฝรั่งบด โรยด้วยเชดด้าชีส  มีผักต้มเป็นเครื่องเคียง คนสั่งบอกอร่อยมาก

 ของตัวฉันเอง ต้องเป็น Shepherd’s Pie  ที่รอคอยจะมากินอยู่นานเท่านั้น จานนี้มีเนื้อแกะสับ ตุ๋นมาในไวน์แดง มะเขือเศ แครอต และถั่วลันเตา โป๊ะหน้ามาด้วยมันฝรั่งบดที่ Creamy มาก สำหรับเครื่องเคียงเขาให้เลือกว่าจะเอาผักสลัด ผักต้ม หรือมันบด  ปรากฏว่ามีคนชอบกินมันบดหลายคน จึงขอเป็นมันบดมา แม้จะมีอยู่บนหน้าพายแล้วก็ไม่พอกิน  เพราะคนขอกินหลายคนเหลือเกิน


 หลานชายเป็น Steak Eater จึงสั่ง Fillet Steak เป็นเสต็กเนื้อสก๊อตอย่างดี หนัก 8 ออนซ์  เนื้อนี้ได้รับการบ่ม ( ใช้คำว่า well hung )มาเป็นเวลา 28 วันซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะทำให้เนื้อนี้มีเอ็นไซม์ที่นุ่มที่สุด  จานนี้เสริฟมาบนเขียงไม้ มีซ็อสเสต็กให้เลือกว่าจะเอาแบบไหนระหว่าง ซ๊อสของทางร้าน , Bearnaise หรือ Garlic Butter ซึ่งหลานก็ขอลองซ๊อสพิเศษของทางร้าน และด้วยความอยากรู้ ฉันจึงไม่รีรอที่จะขอชิมสักชิ้น และก็อร่อยสมใจ


 ของหวานเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้  เพราะร้านนี้มีชื่อเรื่อง Pudding ที่เป็นของโปรดของฉันมาก วันนี้ฉันกินคนเดียวจึงขอลอง Steamed Syrup Sponge ที่ยังไม่เคยกินมาก่อน ที่ต้องเลือกจานนี้ก็เพราะเขาเขียนไว้ในเมนูว่า Wickedly delicious แปลเป็นไทยคงจะประมาณว่า " อร่อยชั่วร้าย" หรือเบาๆหน่อยก็ " อร่อยอย่างวายร้าย" แต่นึกถึงคำชมที่เคยได้ยินนักชิมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทยอุทานเวลาเจอของอร่อยว่า " อร่อยบัดซบ "  และเมื่อลองชิมพุดดิ้งที่นึ่งมาร้อนๆ ราดด้วยน้ำเชื่อมและซ๊อสคัสตาดแล้ว พูดได้คำเดียวว่า " อร่อยทะลุโลกจริงๆ"


หลังจากอาหารกลางวัน เด็กๆก็ไม่ยอมไปไหนแล้ว 
ยังคงเดินดูของและช๊อปปิ้งต่อ

สำหรับฉันก็ใช้มุขเดิม ที่นั่งรอเพราะเคยมาดูจนเบื่อ 
จึงหาร้านกาแฟเล็กๆปักหลักนั่งรอ และมองคนเดินผ่านไปมาก็สนุกดี


        เนื่องจากการมาอังกฤษครั้งนี้ เราพักข้างวังที่เคยเป็นประทับของเจ้าหญิงไดอาน่า และมาชมเรื่องราวของท่านใพระราชวัง Kensington เป็นที่แรก ดังนั้นก่อนจะจบการเดินชมเมืองของวันแรก เราจึงตัดสินใจจะตามรอยไปกินอาหารค่ำกันที่ร้านโปรดของเจ้าหญิงไดอาน่า ใกล้ที่พัก ที่ชื่อ Da Mario กัน

Da Mario   เมื่อสองปีที่แล้วฉันเขียนถึงร้านนี้ไว้ว่า

        ร้านเล็กๆร้านหนึ่งตรงหัวมุมตึก ใกล้ Kensington Garden มองเข้าไปในร้านมีเพียงสามสี่โต๊ะ แต่ละโต๊ะมีลูกค้าที่ค่อนข้างสูงอายุนั่งรับประทานด้วยความสงบ คิดไปว่า หากร้านที่มีลูกค้าน้อยอย่างนี้ เป็นไปได้ว่าอาหารอาจจะไม่อร่อยก็ได้ แต่ด้วยความที่บรรยากาศของร้านที่ดูขรึม แต่อบอุ่นเหมือนบ้าน ทำให้ใจเกิดชอบขึ้นมาทันที จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านโดยมิได้ดูเมนูกันก่อนเลย
      และก็รู้สึกสบายใจอย่างมากกับห้องโถงของร้านที่ไม่ใหญ่โตนัก ด้านข้างมองเห็นครัวที่มิได้ปิดกั้นการปรุงอาหารไว้เป็นความลับ บริกรสาวเดินเข้ามาหาเราด้วยอาการยิ้มแย้ม และบอกว่าที่นั่งชั้นนี้เต็มต้องลงไปทานด้านล่างซึ่งเป็นห้องใต้ดิน เราก็ตกลงตามนั้น  ขณะเดินลงบันไดไปชั้นล่าง เหลือบเห็นรูปวาดขนาดใหญ่ที่ผนังใกล้ทางลง ซึ่งเป็นภาพของเจ้าหญิงไดอานา แต่ก็คิดไปว่าไม่น่าแปลกอะไร เพราะร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากที่ตั้งของพระราชวังเคนซิงตัน  ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงไดอานา ขณะมีพระชนม์ชีพ
      แต่สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจคือ ภายในห้องใต้ดินของร้านนี้ มิได้มีขนาดเล็กเหมือนชั้นบนดิน แต่กลับใหญ่โตและตกแต่งด้วยบรรยากาศของบ้านชาวอิตาเลี่ยนในชนบท มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน และเสียงคุยภาษาอิตาเลี่ยนแว่วมาจากหลายโต๊ะ ทุกโต๊ะเต็มไปด้วยลูกค้าที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม เราสองคนเริ่มหลงรักร้านนี้เสียแล้ว
      และทันที่ที่นั่งโต๊ะเรียบร้อยดิฉันก็รีบหยิบเมนูขึ้นมาเพื่อดูชื่อร้านก่อน ออกจะขำตัวเองที่เข้าร้านมาโดยไม่รู้ชื่อร้าน ในที่สุดเราก็รู้แล้วว่า ร้านนี้เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน (ที่ชอบ) ชื่อ Da Mario น่าจะแปลว่า ร้านของนายมาริโอ้
      เราเอาแต่ชื่นชมกับความสวยงามของโต๊ะ ที่ปูด้วยกระเบื้องเคลือบสไตล์ชนบทสีสันสวยงาม จนไม่จำเป็นต้องมีผ้าปูโต๊ะ แอบมองไปทุกโต๊ะสังเกตว่าแต่ละโต๊ะ ปูกระเบื้องเช่นกัน แต่สี และลายไม่เหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกัน และเป็นเอกลักษณ์ของร้านอาหารอิตาเลี่ยนคือเสียงคุยและอาการที่สนุกสนานไม่ เหมือนร้านอาหารชาติอื่น กระซิบบอกเพื่อนว่า นี่ล่ะชาวอิตาเลี่ยนแท้ๆ นึกเจ็บใจตัวเองจริงๆที่ไม่หยิบกล้องติดมาด้วย ทำให้ไม่มีรูปบรรยากาศที่ประทับใจมาให้เพื่อนๆดู
      แม้จะงานยุ่งแค่ไหน แต่บริกรที่เดินผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว จะแวะทักทายอย่างเป็นกันเองแบบสนุกสนานกับทุกโต๊ะรวมทั้งโต๊ะของเราด้วย และเมื่อมาถึงการสั่งอาหาร วันนี้เราสั่งกันหลายอย่าง โดยสั่ง Bruschetta Lido มาเป็น starter ตามด้วยจานหลักคือ Grill Gamberoni
      จากการแนะนำของบริกร ทำให้เราได้รู้ว่าร้าน Da Mario นี้เป็นร้านโปรดของเจ้าหญิงไดอานา ซึ่งทุกครั้งที่เสด็จมาร้านนี้ คุณ Mario เจ้าของร้านจะทำ Pizza ถวายเป็นพิเศษ ซึ่งพระองค์ท่านชื่นชอบPizza จานนี้มาก ทางร้านจึงตั้งชื่อว่า Pizza Diana น่าเสียดายที่หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไม่กี่ปี คุณ Mario ก็จากโลกนี้ไปเช่นกัน (เราคิดเองว่า ป่านนี้คงไปทำ Pizza ถวายเจ้าหญิงฯได้บ่อยๆแล้ว) ดังนั้นอาหารจานที่ต้องสั่งคือ Pizza Diana จานเด่นนี้ด้วย
      เมื่ออาหารทยอยมาเสิร์ฟ จานแรกก็ทำให้เราประทับใจแล้ว นั่นคือ Bruschetta Lido ที่ดูเหมือนธรรมดา แต่รสชาติและหน้าตาไม่ธรรมดาเลย ทางร้านใช้ขนมปังฝรั่งเศส ที่ปิ้งมาจนกรอบเกรียม โรยหน้ามาด้วยสลัดพริกหวานย่าง คลุกเคล้ากับน้ำสลัดบัลซามิก มีชีสที่ทำจากนมแพะ บิเป็นชิ้นเล็กๆวางบนสลัด เวลารับประทานพร้อมๆกันจะ มีรสหวานอมเปรี้ยวและหอม ชีสมาก เป็นจานที่ประทับใจจนอยากทำเองบ้าง  เพื่อนบอกว่า คุณเชฟคง แค่โยน เกลือกับพริกไทยลงไปในน้ำมัน มะกอก ผสมน้ำส้มบัลซามิโก ก็อร่อยแล้ว เพราะรสมือของเขาคงที่เป็นมาตรฐาน แต่สำหรับเราผู้ซึ่งไม่ชำนาญและอ่อนประสบการณ์ในการโยน คงยากสักหน่อยที่จะทำให้อร่อยแบบนี้



  วันนี้ฉันก็ยังคงอยากกินอาหารอร่อยเมนูเก่าที่เคยสั่ง


Grill Gamberoni กุ้งใหญ่ย่างกับเนยปรุงรสด้วยเครื่องเทศเล็กน้อย  ยังอร่อยเหมือนเดิม


วันนี้ไม่มี Pizza Diana เพราะจะมีเฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์เท่านั้น เราจึงสั่ง Pizza MARIO มาแทนซึ่งก็อร่อยไม่แพ้กัน ชอบตรงที่เขาใช้ Mascarpone cheese โรยหน้ามากับ  Mozzarella เครื่องปรุงอื่นๆก็เป็น ซ๊อสมะเขือเทศ ซ๊อสพริกฝรั่ง เห็ด มะกอกดอง และใบโหระพาฝรั่ง อร่อยมากค่ะ                                                                                

อีกจานที่ตามรอยเดิมคือ BRUSCHETTA LIDO MAPPATELLA เป็นขนมปังแบบธัญพืชแบบบ้านนอกเหนียวๆ ย่างจนเกรียมนิดหน่อย โรยหน้าด้วยชีสจากนมแพะ พริกหวานหลากสีย่างหวานอร่อย และโป๊ะหน้ามาด้วยผักสลัดผสมน้ำสลัดแบบอิตาเลี่ยน น้ำส้มบัลซามิคที่โรยมา เก่าแก่มาก ทั้งเหนียวและหวานอมเปรี้ยวหอมติดจมูก ดิฉันกวาดซะจานสะอาดไปเลย


มื้อนี้มีหลานสาวมาเพิ่มอีกคน จึงสั่งอาหารเพิ่มอีก เป็น  GAMBERONI  ALLA BRACE ที่ปรุงด้วยกุ้งKing Prawns ย่างเตาถ่านปรุงด้วยน้ำมันมะกอก เครื่องเทศ และผักสลัดทั้งผักสดและผักย่าง ไม่เหลือค่ะ
กลัวหลานไม่อิ่ม เลยสั่งสปาเก็ตตี้มาเพิ่มอีก จานนี้คือ
SPAGHETTI SAPORE DI MARE  หรือสปาเก็ตตี้ทะเล ที่อุดมไปด้วยอาหารทะเลหลากชนิด แต่อาจเป็นเพราะอิ่มจึงทำให้รู้สึกเหมือนว่าซ๊อสจานนี้ออกจะเบาบางไปสักหน่อย แต่หลานๆก็กินกันดี 

วันนี้เรากินกันทั้งวัน จนฉันไม่เหลือที่ว่างให้ขนมจึงของดสักมื้อ ทั้งๆที่ Tiramisu ของที่นี่เขาอร่อยมาก แต่ขอเอาชีวิตรอดไปก่อนเถอะ พุงจะระเบิดแล้วค่ะ

 กลับถึงที่พัก กำลังจะเข้านอนก็ต้องแปลกใจที่เห็นกล่องคุ๊กกี้วางไว้ในห้อง ไม่มีชื่อว่าใครเป็นผู้ซื้อมา เดาว่าน่าจะเป็นหลานชายที่อยากให้ป้าชิมของอร่อยๆแบบที่เขาชอบ เอาว๊ะ.....กลัวคนซื้อจะเสียใจ กินสักสองชิ้นก่อนนอน เดี๋ยวค่อยกลับไปลดน้ำหนักที่บ้าน 

ราตรีสวัสค่ะ พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันต่อน๊าาา 

1 ความคิดเห็น: