บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บุกเดี่ยว เที่ยวปาย ตอนที่ 1


              เที่ยวบอกใครต่อใครว่านี่คือความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะไป “ เมืองปาย” ให้ได้สักครั้ง แต่พอไปถึงก็รู้ว่า แท้จริงแล้ว มันคือความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันสิ้นสุดต่างหาก เพราะหากว่ามันคือความฝันอันสูงสุด มันก็ควรจะจบที่เมืองนี้ แต่ดิฉันก็ยังอยากจะหาสถานที่ใหม่ไปอีกไม่สิ้นสุด

      วันนี้จึงขอสารภาพว่า ที่อุตสาห์วิริยะบุกเดี่ยวมาเที่ยวเมืองปาย ก็เนื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั่นเอง  ว่าเหตุใดหนอผู้คนจึงกล่าวขานกันถึงเมืองนี้มากมาย หากหนังสือพิมพ์ หรือแม็กกาซีนฉบับไหนไม่ลงเรื่อง “ เมืองปายก็เป็นอันพับฐานไปอยู่แถวหลังได้ เอาล่ะ… เพื่อไม่ให้ตกกรอบ  ดิฉันจึงลงทุนบากบั่นมา “เมืองปาย”ให้เห็นกับตาเลยว่า จะสวยงามตามคำร่ำลือหรือไม่

      ก่อนเริ่มการเดินทาง ดิฉันได้ศึกษาและทำการบ้านด้วยตัวเองมาก่อนจึงพบว่า การมาเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และก็ไม่ง่ายนัก เพราะจากลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะเห็นว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขา ไม่ใช่ภูเขาธรรมดา แต่เป็นทะเลภูเขาทีเดียว เรียกว่าหาพื้นที่ราบได้ยากมาก ส่วนที่เป็นที่ราบก็ไม่ใช่ที่ราบธรรมดา แต่เป็นที่ราบที่อยู่บนภูเขา เป็นที่ราบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล พูดง่ายๆคือ มีระดับความสูงมากกว่าภาคกลางบ้านเรานั่นเอง

       การเดินทางมาเมืองปาย สามารถมาได้สองทางคือ
      • เส้นทางที่หนึ่ง เดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปแม่ฮ่องสอน จากนั้นต่อรถไป เมืองปาย ระยะทาง 285 กิโลเมตร ใช้เวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง
          • เส้นทางที่สอง เดินทางโดยเครื่องบิน หรือรถไฟ หรือรถทัวร์ ไปเชียงใหม่ จากนั้นต่อรถตู้จากสถานีขนส่ง ( แห่งใหม่) ไปเมืองปาย ระยะทาง 245 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง
 
      จะเห็นว่า เมืองปายตั้งอยู่กึ่งกลาง ระหว่าง แม่ฮ่องสอน กับ เชียงใหม่ ดังนั้นไม่ว่าจะมาทางไหนก็หนีทางคดเคี้ยวบนภูเขาไม่พ้นแน่  เมื่อต้องเลือก  ดิฉันเลือกเส้นทางที่สอง เพราะนอกจากจะระยะทางจะน้อยกว่านิดหน่อยแล้ว ทางยังคดเคี้ยวน้อยกว่า เพียงแค่ 700กว่าโค้งเอง    ในขณะที่เส้นทางจากแม่ฮ่องสอน ได้ข่าวว่า 800โค้งขึ้นไป แถมทางขึ้นเขายังลาดชันกว่านัก สำหรับคนขี้แพ้อย่างดิฉัน  แม้ต่างกันแค่โค้งเดียว ก็มีความหมายมากแล้ว เพราะหนึ่งโค้งที่มากขึ้นนั้น อาจเป็นตัวทำให้ท้องไส้ทนรับความปั่นป่วนไม่ไหวก็ได้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและผู้โดยสารคนอื่น  ดิฉันจึงต้องพยายามหาทางป้องกันตัวเองจากอาการเมารถอย่างสุดชีวิต

       ในการเริ่มต้นเดินทาง  ดิฉันมาถึงเชียงใหม่หนึ่งวันก่อนเดินทางไปปาย เพราะอยากพักให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง แต่เจ้ากรรมที่เมื่อบรรดาเพื่อนนักเรียนเก่าสมัยเมื่อสามสิบกว่าปีรู้เข้า ก็เลยต้องไปสังสรรค์กันหน่อย ทำให้ต้องเข้านอนดึกอีกจนได้ การนอนดึกและตื่นเช้า เป็นการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้มีอาการเมารถได้ง่าย แต่โชคดีที่ในงานสังสรรค์เพื่อนเก่าที่เชียงใหม่คืนนั้น  มีเพื่อนและรุ่นพี่ที่เป็นทั้ง หมอ และ เภสัช จึงแนะนำพร้อมจัดยาป้องกันอาการคลื่นไส้ไว้ให้
 
        ที่พิเศษไปกว่ายาคือ เมื่อคนเชียงใหม่เห็นแจ็คเก็ตตัวเก่งของดิฉันแล้ว ทุกคนก็ร้องเป็นเสียงเดียวว่า หนาวตายแน่เพราะในช่วงต้นปีอย่างนี้ ที่เมืองปายจะหนาวเหน็บจนหูชา ยิ่งเมื่อทุกคนรู้ว่า ดิฉันจะเดินทางคนเดียว ก็ไม่มีใครเห็นด้วยเลย แต่เมื่อหมดปัญญาห้ามจริงๆแล้ว เพื่อนๆก็ต้องทำใจ และเข้าใจดีว่า ตอนเป็นสาว  ดิฉันเคยดื้ออย่างไร ตอนแก่ก็ยิ่งดื้อกว่ามากนัก จึงไม่มีใครกล้าห้ามอีก และเพื่อความสบายใจ เพื่อนจึงนำเสื้อกันหนาวตัวหนาแบบมีฮู๊ดใช้กันลมได้ด้วยมาให้หนึ่งตัว  พร้อมตั้งเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆไว้ในมือถือของดิฉันไว้เป็นเบอร์ Emergency  เผื่อมีเหตุฉุกเฉินและ ต้องการความช่วยเหลือให้โทรหาได้ทันที เห็นน้ำใจเพื่อนๆแล้วเสียดายเวลาที่ห่างหายกันไปจริงๆ
 
              การเดินทางเริ่มขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีเพื่อนรุ่นน้องอาสาตื่นมาส่งที่สถานีขนส่ง แห่งใหม่ ที่ชาวเมืองเชียงใหม่เรียกว่า อาเขตสำหรับรถตู้ไปอำเภอปายเป็นของ บริษัทเปรมประชาขนส่ง จำกัดราคาเที่ยวละ 150 บาท รถเที่ยวแรกจะออกเวลา 6.30 น. ดิฉันจึงต้องไปถึงสถานีขนส่งตั้งแต่เวลา 6.00น. แม้รถที่ไปจะเป็นรถตู้คันเล็ก แต่การซื้อตั๋วง่ายกว่ารถตู้ในกรุงเทพฯ เพราะเขามีผังที่นั่งเป็นตารางให้เลือกเหมือนเครื่องบิน ไม่ต้องแย่งกันนั่งเหมือนรถตู้แถวอนุสาวรีย์ชัย โชคดีที่ไปเร็วจึงสามารถจองที่นั่งแถวหน้าไว้ได้  เหตุที่ต้องเลือกนั่งด้านหน้าเพราะรถจะเหวี่ยงและกระแทกน้อยกว่าด้านหลัง ซึ่งจะช่วยไม่ให้เวียนหัวได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะทานยาป้องกันอาการคลื่นไส้ไว้ก่อนที่รถจะออก ครึ่งชั่วโมง และที่พิเศษสุดคือ ถุงพาสติกพับใส่กระเป๋าเสื้อไว้ เผื่อเหตุฉุกเฉินที่ไม่พึงประสงค์


              6 โมงเช้าในฤดูหนาวอย่างนี้ รถต้องวิ่งออกจากเมืองเชียงใหม่ท่ามกลางความมืด ผ่านอำเภอแม่ริม เพื่อเริ่มต้นเส้นทางสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยการเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 1095 ที่ตลาดแม่มาลัยในช่วงเริ่มฟ้าสาง   เส้นทางสู่แม่ฮ่องสอนทุกเส้นทางมีชื่อเสียงมากในด้านความคดเคี้ยวและขึ้นลงภูเขา จึงไม่แปลกใจเลยที่เมื่อพ้นจากตลาดแม่มาลัย รถของเรา ก็เริ่มเงยหัวปีนเขาและเหวี่ยงเราให้โอนเอนแกว่งไปมาอยู่ในรถอย่างไม่รู้จักหยุดยั้ง
      เพื่อไม่ให้เมารถ ดิฉันพยายามนั่งหลับตาพร้อมหยิบเครื่อง MP3.ขึ้นมายัดใส่หูเปิดเพลงโปรดฟังไปตลอดทางเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเส้นทาง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นวิวข้างทาง  บางโอกาสจึงแอบหรี่ตามองทางบ้าง จึงได้รู้ว่ารถของเรากำลังปีนขึ้นเขาสูงโดยวิ่งอยู่ท่ามกลางหมอกหนาของยามเช้าอยู่นาน ในฤดูหนาวอย่างนี้รถจะไม่เปิดแอร์คอนดิชั่น แต่จะเปิดกระจกให้ลมเข้ามาบ้าง ซึ่งความหนาวเย็นของลมทำให้ดิฉันเริ่มมีอาการคล้ายจะเป็นหวัด  จึงหยิบเสื้อกันหนาวที่เพื่อนให้ขึ้นมาใส่อีกตัว เพราะอยากใส่ฮู๊ดปิดหัวไว้  เห็นเสื้อแล้วถึงกับน้ำตาซึม เพราะแม้จะมีใจเด็ดเดี่ยวแค่ไหน แต่เมื่อมาอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่เคยมาก่อนในชีวิต ก็อดคิดถึงเพื่อนไม่ได้ ถามตัวเองว่า เรามาทำบ้าอะไร อยู่แถวนี้ว๊ะ” 


             หลังจากรถวิ่งมาในกลุ่มเมฆหมอกสักชั่วโมงกว่าๆ ก็มีไออุ่นๆของลำแสงแดดส่องเข้ามาในรถ เมื่อลืมตาขึ้น จึงเห็นว่าเราอยู่บนยอดเขาที่สูงมาก มองลงไปข้างทางเห็นเมฆลอยอยู่ในหุบเขาด้านล่าง ภาพแสงแดดส่องอาบยอดเขาไกลๆเป็นสีทองสวยงามมาก อดไม่ได้ที่จะรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป  สักครู่รถจึงมาถึงที่พักกลางทาง เพื่อให้ผู้โดยสารรับประทานอาหารเช้า และเข้าห้องน้ำ หากมาถึงจุดนี้แสดงว่าเรามาถึงครึ่งทางแล้ว


                ที่พักกลางทางนี้ อยู่บนยอดเขาสูง เป็นที่เดียวที่มีพื้นที่ราบเป็นทางตรงเกิน 100 เมตร เป็นที่ที่ให้ผู้โดยสารสามารถลงมาเดินยืดเส้นยืดสายได้ คนขับรถรีบวิ่งไปสั่งอาหารเช้าทานทันที ผู้โดยสารบางคนรีบวิ่งไปหลังโรงเตี๊ยมเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หายเวียนหัว ส่วนดิฉันก็เดินดูอาหารที่ชาวบ้านทำขาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของปิ้งๆย่างๆ ได้แก่ มันเทศ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง และไส้กรอกย่าง  สำหรับดิฉันแล้ว ในเวลานี้ เอาหูฉลามถ้วยละสามพันมาให้ก็ไม่ทานเด็ดขาด ขออดอาหารทุกชนิด เพื่อเอาชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์ไปเที่ยวเมืองปายจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็รีบเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวรับกับเส้นทางเหวี่ยงมหาสนุกต่อไปอีกชั่วโมงครึ่ง 

      เมื่อรถเริ่มออกจากโรงเตี๊ยมข้างทาง  ก็รู้สึกว่ารถกำลังวิ่งอยู่ในช่วงขาลงเขา ไม่เหมือนกับขามาที่รถจะเร่งขึ้นเขามากว่า แต่ความคดเคี้ยวของเส้นทางก็มิได้เบาบางลงไปเลย เราจึงยังคงแกว่งกันไปมาอยู่ในรถคันนั้น ช่วงเส้นทางนี้เริ่มเห็นว่าสองข้างทางมีแต่ต้นสน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นสนชนิดใด รู้แต่ว่าเป็นต้นสนที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นเท่านั้น เพราะเคยเห็นที่ภูกระดึงมากมาย     
          หลังจากวิ่งลงเขามาได้สักพักเราก็เริ่มลงสู่พื้นที่ราบ คราวนี้ราบจริงๆ แม้จะเป็นพื้นที่ราบบนที่สูงที่ไม่กว้างใหญ่มากนัก แต่ที่ราบนี้ก็เป็นที่ที่ผู้คนสามารถตั้งเมืองเล็กๆเพื่อทำมาหากินได้  ยิ่งเมื่อมีแม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองด้วยแล้ว พื้นที่นี้ก็เปรียบได้กับสวรรค์บนดินดีๆนี่เอง

                 เราผ่านสะพานเหล็กที่ทหารญี่ปุ่นสร้างไว้ เมื่อปี พศ.2485 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อข้ามแม่น้ำปายไปยังประเทศพม่า สะพานนี้ถือเป็นสัญญาลักษณ์ของเมืองปายก็ว่าได้ หากเห็นสะพานนี้แปลว่า มาถึงเมืองปายแล้ว แค่เห็นสะพานเก่าที่สวยเหมือนในรูปก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาก ช่วงรถผ่านทุ่งนาข้าวแม้จะเป็นหน้าแล้งที่ไม่เห็นข้าวสีเขียวทั้งหุบเขา แต่กระนั้นก็ยังมีน้ำตกหลายแห่ง และในลำธารยังมีน้ำไหลผ่าน อันเป็นเสน่ห์ของทุ่งนาเมืองปายให้ดูงดงามอยู่ดี  ช่วงนี้ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ถือกล้องไว้ในมือตลอดเวลา เพราะกลัวจะพลาดวิวสวยๆข้างทางนั่นเอง 

              ประมาณ 10 โมงเช้ารถก็มาถึงสถานีขนส่งอำเภอปาย ซึ่งที่จริงก็คือบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆค่อนข้างเก่า ความจริงแล้ว หากจะพูดถึงสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ เกือบทุกแห่งจะเล็กและเก่าทั้งเมือง ( เพราะเมืองเล็ก) หากมีอาคารที่สร้างใหม่ ทางผู้บริหารเมืองนี้เขาก็จะขอร้องไม่ให้สร้างให้แปลกประหลาดจนเสียสภาพแวดล้อมของเมือง ดังนั้นทุกร้านทุกบ้านที่นี่จึงสร้างคล้ายๆกันจนดูกลมกลืน ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ดีมาก 


               ลงจากรถ รู้สึกหิวจนแทบจะกินวัวได้ทั้งตัว ( เพราะตั้งแต่ตื่นมาไม่กล้าทานอะไรเลยกลัวเมารถ) มองไปทางซ้ายและขวา หาร้านกาแฟ เห็นมีหลายร้านโดยทุกร้านจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งรับประทานอาหารเช้า กันแน่นขนัด มอเตอร์ไซต์รับจ้างหญิงนางหนึ่งรีบเดินมาถามว่าจะใช้บริการเธอหรือไม่  ดิฉันก็ไม่รอช้า บอกให้เธอพาไปร้านกาแฟสักแห่งเพราะกำลังจะหิวตายเนื่องจากขาดกาแฟมานาน ซึ่งเธอก็รีบบอกเลยว่า

 ไป๋ฮ้านตี่เปิ้นถ่ายหนังก่อเจ๊า เฮื่อง  ฮักจัง เจ๊า
       หล่อนหมายถึงร้านที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง รักจัง  นั่นเอง  ไอ้เราก็ไม่เคยดูกะเขาเสียด้วย เลยตอบตกลงจะพาไปไหนก็ไป ซึ่งความจริงก็แค่สองร้อยเมตรจากสถานีรถโดยสาร นั่นเอง  ดิฉันจ่ายเงินค่าโดยสารแต่โดยดี เพราะแม้จะเดินมาได้ แต่หากไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็คงใช้เวลานานเป็นแน่

             ร้านกาแฟที่ว่านี้ ชื่อ “ All About Coffee” เป็นบ้านเล็กและเก่าอายุมากว่าร้อยปี จัดร้านเป็นแบบบ้านน่ารัก เหมือนชื่อหนัง อาหารเช้าวันนั้น ด้วยความหิวมากเลยสั่ง กาแฟดำกับ  “ French Toast” ชิ้นยักษ์ขนาดฝรั่ง ที่ทำด้วยขนมปังโฮลวีท ชุบไข่ทอด ทานกับน้ำผึ้ง ซึ่งแม้จะใหญ่แค่ไหน  ดิฉันก็จัดการเรียบร้อยไม่เหลือติดจานเลย เป็นอันว่าอาหารมื้อแรกที่เมืองปายนี้ สอบผ่าน เพราะชอบมาก

            จากการคุยกับชาวบ้านแถวนั้น ทำให้รู้ว่าที่เมืองปายนี้ ประชากรดั้งเดิมส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่ ดังจะเห็นได้จากสถาปัตยกรรมหลายแห่งในเมืองที่มีลักษณะเป็นแบบไทยใหญ่ คือมีหลังคาหลายชั้น เช่นที่วัดต่างๆในตัวเมืองนี้
     ต่อมาจึงมีชาวเมืองอื่นย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำหากินเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการเกษตร เช่นการทำนาข้าว สวนส้ม และ ทำไร่ถั่วเหลือง พื้นที่หลายแห่งมีน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่เหมาะในการใช้อาบเพื่อสุขภาพ จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ จึงทำให้เมืองเริ่มขยายตัวออกไป แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและผู้คนต่างมีอัธยาศัยดี เป็นเหตุผลหนึ่งที่นำพานักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามายังเมืองปาย เนื่องจากพอใจในความสงบสุขของเมืองในหุบเขาแห่งนี้
     หากจะมีใครพูดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเมืองนี้ก็เพื่อมาหาแหล่งยาเสพติด เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นเส้นทางของยาเสพติด ก็อาจเป็นไปได้ แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราคงไม่สามารถไปสัมผัสกับเรื่องนี้ได้ จึงไม่ขอพูดถึง


                 ในช่วงแรกที่นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเมืองนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่พักหนีอากาศหนาว มาอยู่ที่นี่อย่างสงบเป็นเวลานานๆครั้งละหลายเดือน และส่วนใหญ่จะกลับมาทุกปี นักท่องเที่ยวต่างชาติเหล่านี้จะพักอยู่ตามบ้านพักริมแม่น้ำในตัวเมือง ตลอดแนวแม่น้ำปาย
       แต่ปัจจุบัน เมืองปายเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองเหนือไปแล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยจึงไหลทะลักเข้ามามากมาย จึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวกรุงเดินกันขวักไขว่เต็มเมือง สถานที่พักที่เคยเป็นของชาวต่างชาติก็เต็มไปด้วยชาวไทย ส่วนบรรดาฝรั่งก็หนีขึ้นไปพักบนเขาเพื่อแสวงหาความสงบต่อไป ดูๆแล้วช่างเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของไทยอื่นๆ เช่นเกาะพงัน เกาะช้าง และเกาะอื่นๆในทางใต้ของเรา ที่นำการท่องเที่ยวไปสู่ท้องถิ่นโดยนักท่องเที่ยวฝรั่ง
       เนื่องจากเมืองปาย ตั้งอยู่ในที่ราบในหุบเขา ที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง ดังนั้นในช่วงหน้าฝน น้ำจากเขาจึงไหลลงมารวมกันที่แอ่งกลางหุบ อันเป็นที่ตั้งของเมืองนี้   จึงทำให้เกิดน้ำท่วมในฤดูฝนเกือบทุกปี  บ้านและรีสอร์ทต่างๆ มักมีเวลาทำมาหากินเพียงแค่ในช่วงฤดูหนาว เพราะในช่วงที่น้ำหลากมา กระแสน้ำจะแรงมาก จนสามารถพัดพาบ้านพักริมน้ำให้หายไปได้ สำหรับบ้านที่แข็งแรงก็ต้องปิดเป็นช่วงเวลายาวเพื่อทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านพัก ที่เสียหาย จึงไม่แปลกที่สะพานข้ามแม่น้ำ และบ้านกระต๊อบริมน้ำจึงเป็นบ้านที่สร้างแบบไม่แข็งแรง เนื่องจากต้องสร้างใหม่หลังความเสียหายทุกปี
       ปัจจุบัน คนในเมืองก็เปลี่ยนจากคนดั้งเดิมมาเป็นคนภาคกลางที่เข้ามาซื้อบ้านและร้านค้า เพื่อปักหลักทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งตลาดสดกลางเมือง ที่เคยเป็นแหล่งชุมชนค้าขาย  เป็นตลาดเช้าที่มีชื่อเสียงของเมือง ก็ถูกซื้อไปเพื่อสร้างศูนย์การค้าเสียแล้ว ชาวบ้านหลายท่านแม้จะคุ้นเคยกับบรรยากาศของการท่องเที่ยว แต่ก็อดเสียดายบรรยากาศเมืองเก่าอันสุขสงบของเขาไม่ได้   ฟังเขาบ่นแล้วก็รู้สึกเสียดายแทนไปด้วยเช่นกัน



            หลังจากคุยกันจนหมดกาแฟไปหลายถ้วย  ดิฉันก็มีแรงเดินรอบเมือง โดยไม่ลืมแวะซื้อไปรษณียบัตรจากร้านสบายดี แกลลอรี่ ( และแน่นอนว่าเป็นฉากในหนังด้วยเช่นกัน) ที่อยู่ตรงข้ามกับร้านกาแฟ   ร้านนี้เป็นร้านขายไปรษณียบัตรและมีตู้ส่งจดหมายตั้งไว้บริการลูกค้าที่หน้าร้าน โดยไม่รั้งรอ  ดิฉันจึงซื้อไปรษณียบัตรเพื่อส่งให้ใครสักคนจากเมืองนี้ ตามประเพณีปฏิบัติของผู้มาเยือน แต่ความที่ไม่รู้จะส่งให้ใคร เลยต้องส่งให้ตัวเองเสียเลย พร้อมขอแผนที่แจกฟรีฉบับย่อๆมาด้วย เพื่อหาที่ตั้งของสถานที่สำคัญที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มก่อน เนื่องจากไม่กล้าพกเงินติดตัวมามาก พกบัตรฯมากดเงินเอาแถวนี้ปลอดภัยกว่า      
     เดินตามแผนที่มาไม่ถึงสิบนาที ก็ถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาปาย รีบวิ่งไปกดเงินทันที แต่ในขณะกำลังกดเงินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดิฉันมาจากภายในธนาคารฯ  เมื่อหันมาดูอย่างตกใจ ก็พบกับชายหนุ่มหน้าเข้ม มาดสุขุมนุ่มลึก คนหนึ่งเดินมาหาพร้อมยกมือไหว้ทักทาย เห็นพ่อหนุ่มคนนี้แล้วเหมือนเจอชายในฝัน นี่ขนาดอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไกลจนสุดชายแดน ก็ยังมาเจอคนรู้จักกันอีก รู้สึกใจชื้นขึ้นอีกเป็นกอง
     อาจเป็นเพราะทำบุญมามากเป็นแน่ พอจะต้องลำบากสักหน่อยก็มีคนมาช่วยไว้ได้ทันเวลา เพราะชายหนุ่มผู้นั้นคือเพื่อนของน้องๆในที่ทำงานของดิฉันนั่นเอง เราเคยพบกันในกรุงเทพฯหลายครั้งเขาจึงจำได้ และที่นับว่าประเสริฐที่สุดคือ วันนี้เขาย้ายมาเป็นผู้จัดการธนาคารที่เมืองปายแห่งนี้นี่เอง ในที่สุดสถานะของดิฉัน ก็เปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวโนเนมแบกเป้มาใบเดียว  กลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของผู้จัดการทันที (โก้ไม่หยอก)
       ผู้จัดการท่านนี้ชื่อคุณวีระชาติ หรือคุณหนุ่ม ซึ่งเมื่อได้ยินว่าดิฉันมาคนเดียวก็ถึงกับหัวเราะชอบใจ ที่เห็นหญิงสูงอายุสะพายเป้มาเที่ยวอย่างกล้าหาญ แต่ถึงกระนั้นคุณหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยให้ไปเที่ยวคนเดียวอย่างที่ตั้งใจไว้  โดยอาสาพาไปชมรอบเมืองปาย และหาที่พักสำหรับคืนนั้นให้ด้วย
      ในทางที่ถูกแล้ว การมาเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง เราควรจะจองที่พักมาก่อน เพื่อเป็นการประกันว่า เมื่อมาถึงแล้วจะได้มีที่พักพิงแน่นอน  แต่ดิฉันประมาทในเรื่องนี้จึงต้องมาตระเวนหาไปหลายแห่งกว่าจะได้ห้องพัก เพราะช่วงต้นปีซึ่งเป็นฤดูหนาว จะเป็นช่วง High Season ของที่นี่ ที่พักจึงมักจะเต็มหมด  ความที่ไปคนเดียวจึงต้องหาโรงแรมที่อยู่ในเมืองที่สามารถเดินไปกลับ ระหว่างที่พักและตลาดได้  ที่พักที่เราไปดูในวันนั้นจึง มีตั้งแต่แบบกระต๊อบและกระท่อม ไปจนถึงโรงแรมแบบสองชั้นในเมือง แถวริมน้ำปาย ราคาตั้งแต่ 150 บาท จนถึง 3,000 บาท

             เราเริ่มที่กระต๊อบเล็กๆที่เจ้าของยกมาตั้งไว้บนริมฝั่งแม่น้ำ ที่ราคาคืนละ 150 บาท เห็นแล้วต้องขอยอมแพ้ เพราะกระต๊อบที่ว่านี้ ขนาดเล็กมากมีที่ให้แค่ได้นอน หากเป็นฝรั่งตัวโตขายาว มีสิทธิ์ว่าส่วนขาคงโผล่มานอกกระต๊อบแน่ แถมห้องน้ำยังอยู่นอกบ้านเป็นห้องน้ำรวมอีกด้วย ไอ้เรื่องอาบน้ำน่ะ ไม่เกี่ยงงอนแน่ เพราะอากาศหนาวสะบัดแบบนี้จะมีใครกล้าอาบน้ำสักกี่คน  ดิฉันก็ไม่อาบแน่นอน
    แต่เรื่องห้องส้วมนี่ซิ ยามค่ำคืนขืนออกมาเข้าห้องน้ำมีหวังโดนเสือคาบไปกินแน่ อีกทั้งผนังห้องที่ทำด้วยไม้ไผ่สาน ไม่สามารป้องกันอากาศหนาวเย็นที่จะแทรกซึมเข้าไปในบ้านได้อย่างง่ายดาย   เครื่องนอนและผ้าห่มก็ไม่เพียงพอสำหรับอากาศเยี่ยงนี้ หากนอนที่นี่คงแข็งตายเป็นแน่ ส่วนทางเดินเท้าจากตัวเมืองมาที่พัก ต้องเดินข้ามสะพานไม้ไผ่แคบๆ หากกลับมาในยามค่ำคืนมีหวังตกน้ำแน่นอน เมื่อคิดแบบสมองคอมพิวเตอร์เสร็จแล้วก็รีบลาเจ้าของบ้าน เพื่อไปดูที่อื่นต่อไป  แต่ไม่ต้องตกใจว่าเจ้าของจะเสียดายเรานะ เพราะยังมีฝรั่งเข้าคิวรออยู่อีกหลายคน บ้านแบบนี้เป็นที่นิยมของฝรั่ง เพราะถูกดี สามารถอยู่ได้เป็นเดือน
    คราวนี้มาถึงกระท่อม เรียกว่าดีขึ้นมาหน่อย กระท่อมเหล่านี้ราคาจะสูงขึ้นมามาก ต่ำสุดประมาณคืนละ 1,000 บาท ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำสักหน่อย ส่วนใหญ่กระท่อมเหล่านี้จะสร้างด้วยปีกไม้ เพื่อให้เข้ากับธรรมชาติที่สุด แต่ละรีสอร์ทจะมีบ้านไม่มากนัก เพราะมีเนื้อที่น้อย หลายแห่งที่ไปดูจะเต็มตลอด ผู้ที่พักกระท่อมแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และฝรั่งที่มีฐานะและอยู่ไม่นานนัก
               กระท่อมที่ดิฉันเกือบจะตกลงพัก  อยู่ติดแม่น้ำก็จริง แต่ทัศนะวิสัยไม่ดี เพราะตั้งอยู่ติดกับสะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำ ขนาดช่วงเวลาที่เราไปดูบ้านยังได้ยินเสียงคนเดินข้ามสะพาน ดังกร๊อบแกร๊บๆๆๆ ตลอดเวลา  หากในช่วงกลางคืนคงไม่ได้นอนแน่ เพราะนักท่องเที่ยวที่พักฝั่งตรงข้าม คงเดินไปมาตลอดทั้งคืน และเหตุผลที่สำคัญ เมื่อมองด้วยสายตาของคนชอบถ่ายรูปแล้ว บ้านที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำอย่างนี้ จะเห็นวิวได้แค่หน้าบ้านตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถมองวิวได้รอบทิศเป็นแน่ เรียกว่าโลกทัศน์แคบไปหน่อย ว่าแล้วก็กราบลาเจ้าของบ้านพร้อมกับไปหาที่อื่นต่อไป
             หาที่พักกันเกือบจะหมดเมืองแล้ว ในที่สุดก็มาพบกับโรงแรมใหม่แห่งหนึ่งอยู่เกือบสุดปลายถนนหลักของตัวเมือง รู้สึกถูกใจ เพราะดูเป็นบ้านที่แข็งแรงแน่นหนาดี ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยววัยดึกอย่างเรามาก แถมมีสนามที่โล่งระหว่างหน้าห้องที่พักกับริมแม่น้ำ สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง อุปกรณ์ภายในห้องดูน่าใช้ ผนังห้องสามารถกันอากาศหนาวได้ เครื่องนอนดูอบอุ่นดี แถมยังตั้งอยู่ฝั่งเดียวกับตลาด สามารถเดินกลับที่พักได้อย่างปลอดภัย คิดได้ดังนั้นจึงตกลงใจอยู่ที่นี่เลย  
      หลังจากหาที่พักให้ดิฉันได้แล้ว ดูเหมือนคุณหนุ่มฯจะโล่งอกมาก เพราะตระเวนกันจนเหนื่อย แถมหิวข้าวมาก เธอจึงชวนไปทานอาหารจีนยูนนาน ที่หมู่บ้านชาวจีนบนเขานอกเมืองปาย แค่ได้ยินว่าเป็นอาหารจีนยูนนานก็ตาโตแล้ว ไม่ใช่แค่อาหาร แต่ได้ยินว่าที่หมู่บ้านนั้นเป็นหมู่บ้านของชาวจีน ที่มีวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างไปจากชาวเมืองเหนือ ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มพลุ่งพล่านอยู่ในใจอีกแล้ว
              คุณหนุ่มฯขับรถพาไปหมู่บ้านจีนยูนนาน ผ่าน “วัดน้ำฮู ” ที่มีพระประธานคือ “หลวงพ่ออุ่นเมือง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณที่มีน้ำซึมขังอยู่ในช่องพระเศียรตลอดเวลา จนชาวบ้านลือว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ วันนั้นเราไม่ได้แวะเข้าไปกราบพระ เพราะเห็นมีรถจอดเต็มลานวัด แสดงว่ามีคนมาชมมาก ประกอบกับความหิวทำให้เรารีบตั้งหน้าตั้งตาไปร้านอาหารก่อน คุณหนุ่มฯ เป็นเจ้าบ้านที่แสนดี เห็นดิฉันเริ่มงอแงด้วยความหิวจึงคว้าโทรศัพท์ โทรฯไปสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าก่อนเลย


             หมู่บ้านจีนนี้ ชื่อ หมู่บ้านสันติชลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อน แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมาเป็นชาวไทยโดยสมบูรณ์ และเปิดหมู่บ้านเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีอาหารจีนยูนนาน เป็นสินค้าที่นำชื่อเสียงมาให้หมู่บ้าน จนสามารถทำรายได้ให้แก่ชาวจีนในหมู่บ้านนี้เป็นอย่างมาก หากท่านใดจะไปทานอาหารควรไปก่อน หรือหลังช่วงเที่ยงจะดีมาก เนื่องจากมีคนมารับประทานมากนั่นเอง



                 ที่นี่ อาคารทุกหลังถูกสร้างแบบจีนโบราณ คือสร้างด้วยดินเหนียว  ล้อมลานกว้างหน้าบ้าน ข้างร้านอาหารด้านหนึ่งมีบ้านตัวอย่างไว้ให้ชม อีกด้านจะเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งก็เป็นบ้านดินเช่นกัน สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้ามาจากเมืองจีน ที่ขายดีมากคือใบชา และอุปกรณ์การชงชานั่นเอง ที่น่าสนใจคือ ชิงช้าสี่คนที่สร้างจากแนวความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วง เพราะหากผู้ที่เล่นชิงช้าทั้งสี่คนมีน้ำหนักเท่ากัน ชิงช้าจะหมุนไปได้เอง ความแปลกและสนุกของชิงช้านี้    จึงถูกใช้เป็นสัญญาลักษณ์ของหมู่บ้านในแผนที่เมืองปายทุกฉบับ


              ร้านอาหาร ถูกสร้างอยู่กลางลานบ้าน มีโต๊ะอาหารทำด้วยไม้แบบจีนอยู่ไม่กี่ตัว แต่ละตัวปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีแดงตามแบบฉบับจีน เก้าอี้เป็นม้ายาวไม่มีพนัก เห็นแล้วทำให้คิดเหมือนว่ากำลังนั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมกลางทางแบบในหนังจีนยังไงยังงั้น หลังร้านจะเห็นสวนผักที่ทางร้านปลูกไว้เพื่อเก็บมาทำอาหารขาย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก 


              เมื่อเรานั่งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว อาหารที่สั่งไว้ล่วงหน้าก็มาถึงเช่นกัน วันนี้คุณหนุ่มฯสั่ง    ขาหมู หมั่นโถว ทั้งชนิดนึ่งและทอด ซึ่งเป็นของเด่นประจำร้านมาให้ลองชิมเป็นอย่างแรก ขาหมูตำหรับยูนนานนี้ แปลกว่าขาหมูที่ขายอยู่ในตลาดบ้านเรา เพราะน้ำเกรวี่จะมีสีแดง ซึ่งมาจากเครื่องเทศตามสูตรของเขา ส่วนรสชาติจะไม่หวานเหมือนขาหมูทั่วไป การเสริฟก็ตักใส่ชามมาล้วนๆ โดยไม่มีผักลวกเป็นเครื่องเคียง จานนี้แม้จะอร่อยและหอมเครื่องเทศ แต่ความมันของหนังหมู ก็ทำให้ดิฉันต้องยั้งมือไว้บ้าง


              มาถึงจานที่สองซึ่งเป็นอาหารคุณภาพ คือ ยอดถั่วลันเตาผัดกับเกลือ ความหวานของผักกับความเค็มนิดหน่อยของเกลือ แถมไม่มีน้ำมันมากทำให้ดิฉันตักบ่อยเป็นพิเศษ
     แต่เมื่อ ไก่ผัดพริกมาถึง  ดิฉันก็ถึงกับอดใจไม่อยู่ เพราะไก่ดำที่ตุ๋นให้นุ่มแล้วนำมาผัดกับพริกแห้ง ขิงแก่ กระเทียมและผลไม้แห้งจากเมืองจีนที่มีรสเปรียว ทำให้ต้องยกนิ้วให้อาหารจานนี้ไปเลย อร่อยจริงๆ   อยากจะถามสูตร แต่คงทำตามไม่ได้เนื่องจากไม่ทราบว่าจะหาซื้อผลไม้แห้งมาจากไหนได้


               อีกจานที่เด็ดจริงๆคือ “ ลาบยูนนาน” ทำด้วยการสับหมูกับผักกาดดอง จากนั้นนำมาผัดกับพริกป่น ต้นหอมและกระเทียม อร่อยมากอีกจาน ที่จริงอยากจะสั่งให้มากกว่านี้ แต่ไปกันสองคนก็แทบจะรับประทานกันไม่หมด จึงนำมาเล่าให้ฟังได้เพียงแค่นี้ 


         เสร็จจากการรับประทานเราก็เดินไปชมร้านจำหน่ายของที่ระลึก  เพื่อซื้อไปฝากคนที่ไม่ ได้มา ซื้อของเสร็จขณะที่จะกลับ ก็เห็นนักท่องเที่ยว กำลังใช้บริการขี่ม้าชมเมือง ซึ่งเป็นบริการให้เช่าม้าพาชมหมู่บ้านของเขาในราคาไม่แพง   แต่หลังการรับประทานอาหารมาแบบเต็มที่อย่างนี้  ดิฉันขอไม่ใช้บริการขี่ม้าเด็ดขาด  เพราะสงสารม้าที่จะเดินไม่ไหวนั่นเอง
     กลับมาถึงเวียงปาย คุณหนุ่มฯก็ขอตัวไปทำงาน และรับแขกต่อ ซึ่งดิฉันก็ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลไว้ณ.ที่นี้ แม้จะไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนก็ยังช่วยดูแลไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย วันหลังคงได้กลับไปรบกวนอีก


  เราเพิ่งมาถึงแค่ช่วงอาหารกลางวันเท่านั้น เรื่องเมืองปายยังอยู่อีกยาวมาก โปรดติดตามตอนต่อไป รับรองว่า โหด มัน ฮา แน่นอน


4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2555 เวลา 09:57

    รูปเยอะกว่าและน่าอ่านกว่าในหนังสืออีกนะคะป้า

    หลานสาว

    ตอบลบ
  2. บางสถานที่บางเรื่องได้อ่านชมแล้วก็หายอยากไม่อยากไปแล้วแต่เรื่องนี้บุกเดี่ยวเที่ยวปายอร่อยมากกก..ค่ะที่เคยคิดไว้นานแล้วจะไปจะไป ไปแน่ค่ะคราวนี้ รอเก็บข้อมูลจากคุณป้าต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ27 ธันวาคม 2555 เวลา 11:35

    สวยมากเลย นะถ้าไปจริงๆๆอะ แต่เราไม่รู้จะไปกับใครดีไปคนเดียวดีกว่าเนอะ

    ตอบลบ
  4. เป็นครั้งแรกค่ะ ที่เคยได้อ่านบล็อค..เพราะนู่กำลังจะฉายเดี่ยว แบกเป้เที่ยวปายเช่นกันค่ะ ก็เลยเจอโดยบังเอิญ..ขอบคุณนะค่ะ ที่ช่วยสร้างกำลังใจให้นู่ ตอนแรกก็กลัวๆอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้พร้อมลุยแล้วค่ะ..จะทำตามคำแนะนำของคุณป้าลิลลี่เลยค่ะ โดยเฉพาะไอศครีม da vinci ^^

    ตอบลบ