เที่ยวบอกใครต่อใครว่านี่คือความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะไป “ เมืองปาย” ให้ได้สักครั้ง แต่พอไปถึงก็รู้ว่า แท้จริงแล้ว มันคือความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันสิ้นสุดต่างหาก เพราะหากว่ามันคือความฝันอันสูงสุด มันก็ควรจะจบที่เมืองนี้ แต่ดิฉันก็ยังอยากจะหาสถานที่ใหม่ไปอีกไม่สิ้นสุด
วันนี้จึงขอสารภาพว่า ที่อุตสาห์วิริยะบุกเดี่ยวมาเที่ยวเมืองปาย ก็เนื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั่นเอง ว่าเหตุใดหนอผู้คนจึงกล่าวขานกันถึงเมืองนี้มากมาย หากหนังสือพิมพ์ หรือแม็กกาซีนฉบับไหนไม่ลงเรื่อง “ เมืองปาย” ก็เป็นอันพับฐานไปอยู่แถวหลังได้ เอาล่ะ… เพื่อไม่ให้ตกกรอบ ดิฉันจึงลงทุนบากบั่นมา “เมืองปาย”ให้เห็นกับตาเลยว่า จะสวยงามตามคำร่ำลือหรือไม่
ก่อนเริ่มการเดินทาง ดิฉันได้ศึกษาและทำการบ้านด้วยตัวเองมาก่อนจึงพบว่า การมาเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และก็ไม่ง่ายนัก เพราะจากลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะเห็นว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขา ไม่ใช่ภูเขาธรรมดา แต่เป็นทะเลภูเขาทีเดียว เรียกว่าหาพื้นที่ราบได้ยากมาก ส่วนที่เป็นที่ราบก็ไม่ใช่ที่ราบธรรมดา แต่เป็นที่ราบที่อยู่บนภูเขา เป็นที่ราบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล พูดง่ายๆคือ มีระดับความสูงมากกว่าภาคกลางบ้านเรานั่นเอง
การเดินทางมาเมืองปาย สามารถมาได้สองทางคือ
• เส้นทางที่หนึ่ง เดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปแม่ฮ่องสอน จากนั้นต่อรถไป เมืองปาย ระยะทาง 285 กิโลเมตร ใช้เวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง
• เส้นทางที่สอง เดินทางโดยเครื่องบิน หรือรถไฟ หรือรถทัวร์ ไปเชียงใหม่ จากนั้นต่อรถตู้จากสถานีขนส่ง ( แห่งใหม่) ไปเมืองปาย ระยะทาง 245 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง
จะเห็นว่า เมืองปายตั้งอยู่กึ่งกลาง ระหว่าง แม่ฮ่องสอน กับ เชียงใหม่ ดังนั้นไม่ว่าจะมาทางไหนก็หนีทางคดเคี้ยวบนภูเขาไม่พ้นแน่ เมื่อต้องเลือก ดิฉันเลือกเส้นทางที่สอง เพราะนอกจากจะระยะทางจะน้อยกว่านิดหน่อยแล้ว ทางยังคดเคี้ยวน้อยกว่า เพียงแค่ 700กว่าโค้งเอง ในขณะที่เส้นทางจากแม่ฮ่องสอน ได้ข่าวว่า 800โค้งขึ้นไป แถมทางขึ้นเขายังลาดชันกว่านัก สำหรับคนขี้แพ้อย่างดิฉัน แม้ต่างกันแค่โค้งเดียว ก็มีความหมายมากแล้ว เพราะหนึ่งโค้งที่มากขึ้นนั้น อาจเป็นตัวทำให้ท้องไส้ทนรับความปั่นป่วนไม่ไหวก็ได้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและผู้โดยสารคนอื่น ดิฉันจึงต้องพยายามหาทางป้องกันตัวเองจากอาการเมารถอย่างสุดชีวิต
ในการเริ่มต้นเดินทาง ดิฉันมาถึงเชียงใหม่หนึ่งวันก่อนเดินทางไปปาย เพราะอยากพักให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง แต่เจ้ากรรมที่เมื่อบรรดาเพื่อนนักเรียนเก่าสมัยเมื่อสามสิบกว่าปีรู้เข้า ก็เลยต้องไปสังสรรค์กันหน่อย ทำให้ต้องเข้านอนดึกอีกจนได้ การนอนดึกและตื่นเช้า เป็นการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้มีอาการเมารถได้ง่าย แต่โชคดีที่ในงานสังสรรค์เพื่อนเก่าที่เชียงใหม่คืนนั้น มีเพื่อนและรุ่นพี่ที่เป็นทั้ง หมอ และ เภสัช จึงแนะนำพร้อมจัดยาป้องกันอาการคลื่นไส้ไว้ให้
ที่พิเศษไปกว่ายาคือ เมื่อคนเชียงใหม่เห็นแจ็คเก็ตตัวเก่งของดิฉันแล้ว ทุกคนก็ร้องเป็นเสียงเดียวว่า “ หนาวตายแน่” เพราะในช่วงต้นปีอย่างนี้ ที่เมืองปายจะหนาวเหน็บจนหูชา ยิ่งเมื่อทุกคนรู้ว่า ดิฉันจะเดินทางคนเดียว ก็ไม่มีใครเห็นด้วยเลย แต่เมื่อหมดปัญญาห้ามจริงๆแล้ว เพื่อนๆก็ต้องทำใจ และเข้าใจดีว่า ตอนเป็นสาว ดิฉันเคยดื้ออย่างไร ตอนแก่ก็ยิ่งดื้อกว่ามากนัก จึงไม่มีใครกล้าห้ามอีก และเพื่อความสบายใจ เพื่อนจึงนำเสื้อกันหนาวตัวหนาแบบมีฮู๊ดใช้กันลมได้ด้วยมาให้หนึ่งตัว พร้อมตั้งเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆไว้ในมือถือของดิฉันไว้เป็นเบอร์ Emergency เผื่อมีเหตุฉุกเฉินและ ต้องการความช่วยเหลือให้โทรหาได้ทันที เห็นน้ำใจเพื่อนๆแล้วเสียดายเวลาที่ห่างหายกันไปจริงๆ
การเดินทางเริ่มขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีเพื่อนรุ่นน้องอาสาตื่นมาส่งที่สถานีขนส่ง แห่งใหม่ ที่ชาวเมืองเชียงใหม่เรียกว่า “ อาเขต” สำหรับรถตู้ไปอำเภอปายเป็นของ “ บริษัทเปรมประชาขนส่ง จำกัด” ราคาเที่ยวละ 150 บาท รถเที่ยวแรกจะออกเวลา 6.30 น. ดิฉันจึงต้องไปถึงสถานีขนส่งตั้งแต่เวลา 6.00น. แม้รถที่ไปจะเป็นรถตู้คันเล็ก แต่การซื้อตั๋วง่ายกว่ารถตู้ในกรุงเทพฯ เพราะเขามีผังที่นั่งเป็นตารางให้เลือกเหมือนเครื่องบิน ไม่ต้องแย่งกันนั่งเหมือนรถตู้แถวอนุสาวรีย์ชัย โชคดีที่ไปเร็วจึงสามารถจองที่นั่งแถวหน้าไว้ได้ เหตุที่ต้องเลือกนั่งด้านหน้าเพราะรถจะเหวี่ยงและกระแทกน้อยกว่าด้านหลัง ซึ่งจะช่วยไม่ให้เวียนหัวได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะทานยาป้องกันอาการคลื่นไส้ไว้ก่อนที่รถจะออก ครึ่งชั่วโมง และที่พิเศษสุดคือ “ ถุงพาสติก” พับใส่กระเป๋าเสื้อไว้ เผื่อเหตุฉุกเฉินที่ไม่พึงประสงค์
เพื่อไม่ให้เมารถ ดิฉันพยายามนั่งหลับตาพร้อมหยิบเครื่อง MP3.ขึ้นมายัดใส่หูเปิดเพลงโปรดฟังไปตลอดทางเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเส้นทาง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นวิวข้างทาง บางโอกาสจึงแอบหรี่ตามองทางบ้าง จึงได้รู้ว่ารถของเรากำลังปีนขึ้นเขาสูงโดยวิ่งอยู่ท่ามกลางหมอกหนาของยามเช้าอยู่นาน ในฤดูหนาวอย่างนี้รถจะไม่เปิดแอร์คอนดิชั่น แต่จะเปิดกระจกให้ลมเข้ามาบ้าง ซึ่งความหนาวเย็นของลมทำให้ดิฉันเริ่มมีอาการคล้ายจะเป็นหวัด จึงหยิบเสื้อกันหนาวที่เพื่อนให้ขึ้นมาใส่อีกตัว เพราะอยากใส่ฮู๊ดปิดหัวไว้ เห็นเสื้อแล้วถึงกับน้ำตาซึม เพราะแม้จะมีใจเด็ดเดี่ยวแค่ไหน แต่เมื่อมาอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่เคยมาก่อนในชีวิต ก็อดคิดถึงเพื่อนไม่ได้ ถามตัวเองว่า “ เรามาทำบ้าอะไร อยู่แถวนี้ว๊ะ”
หลังจากรถวิ่งมาในกลุ่มเมฆหมอกสักชั่วโมงกว่าๆ ก็มีไออุ่นๆของลำแสงแดดส่องเข้ามาในรถ เมื่อลืมตาขึ้น จึงเห็นว่าเราอยู่บนยอดเขาที่สูงมาก มองลงไปข้างทางเห็นเมฆลอยอยู่ในหุบเขาด้านล่าง ภาพแสงแดดส่องอาบยอดเขาไกลๆเป็นสีทองสวยงามมาก อดไม่ได้ที่จะรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป สักครู่รถจึงมาถึงที่พักกลางทาง เพื่อให้ผู้โดยสารรับประทานอาหารเช้า และเข้าห้องน้ำ หากมาถึงจุดนี้แสดงว่าเรามาถึงครึ่งทางแล้ว
ที่พักกลางทางนี้ อยู่บนยอดเขาสูง เป็นที่เดียวที่มีพื้นที่ราบเป็นทางตรงเกิน 100 เมตร เป็นที่ที่ให้ผู้โดยสารสามารถลงมาเดินยืดเส้นยืดสายได้ คนขับรถรีบวิ่งไปสั่งอาหารเช้าทานทันที ผู้โดยสารบางคนรีบวิ่งไปหลังโรงเตี๊ยมเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หายเวียนหัว ส่วนดิฉันก็เดินดูอาหารที่ชาวบ้านทำขาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของปิ้งๆย่างๆ ได้แก่ มันเทศ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง และไส้กรอกย่าง สำหรับดิฉันแล้ว ในเวลานี้ เอาหูฉลามถ้วยละสามพันมาให้ก็ไม่ทานเด็ดขาด ขออดอาหารทุกชนิด เพื่อเอาชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์ไปเที่ยวเมืองปายจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็รีบเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวรับกับเส้นทางเหวี่ยงมหาสนุกต่อไปอีกชั่วโมงครึ่ง
เมื่อรถเริ่มออกจากโรงเตี๊ยมข้างทาง ก็รู้สึกว่ารถกำลังวิ่งอยู่ในช่วงขาลงเขา ไม่เหมือนกับขามาที่รถจะเร่งขึ้นเขามากว่า
แต่ความคดเคี้ยวของเส้นทางก็มิได้เบาบางลงไปเลย เราจึงยังคงแกว่งกันไปมาอยู่ในรถคันนั้น
ช่วงเส้นทางนี้เริ่มเห็นว่าสองข้างทางมีแต่ต้นสน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นสนชนิดใด รู้แต่ว่าเป็นต้นสนที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นเท่านั้น
เพราะเคยเห็นที่ภูกระดึงมากมาย
หลังจากวิ่งลงเขามาได้สักพักเราก็เริ่มลงสู่พื้นที่ราบ
คราวนี้ราบจริงๆ แม้จะเป็นพื้นที่ราบบนที่สูงที่ไม่กว้างใหญ่มากนัก แต่ที่ราบนี้ก็เป็นที่ที่ผู้คนสามารถตั้งเมืองเล็กๆเพื่อทำมาหากินได้ ยิ่งเมื่อมีแม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองด้วยแล้ว
พื้นที่นี้ก็เปรียบได้กับสวรรค์บนดินดีๆนี่เองเราผ่านสะพานเหล็กที่ทหารญี่ปุ่นสร้างไว้ เมื่อปี พศ.2485 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อข้ามแม่น้ำปายไปยังประเทศพม่า สะพานนี้ถือเป็นสัญญาลักษณ์ของเมืองปายก็ว่าได้ หากเห็นสะพานนี้แปลว่า มาถึงเมืองปายแล้ว แค่เห็นสะพานเก่าที่สวยเหมือนในรูปก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาก ช่วงรถผ่านทุ่งนาข้าวแม้จะเป็นหน้าแล้งที่ไม่เห็นข้าวสีเขียวทั้งหุบเขา แต่กระนั้นก็ยังมีน้ำตกหลายแห่ง และในลำธารยังมีน้ำไหลผ่าน อันเป็นเสน่ห์ของทุ่งนาเมืองปายให้ดูงดงามอยู่ดี ช่วงนี้ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ถือกล้องไว้ในมือตลอดเวลา เพราะกลัวจะพลาดวิวสวยๆข้างทางนั่นเอง
ประมาณ 10 โมงเช้ารถก็มาถึงสถานีขนส่งอำเภอปาย ซึ่งที่จริงก็คือบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆค่อนข้างเก่า ความจริงแล้ว หากจะพูดถึงสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ เกือบทุกแห่งจะเล็กและเก่าทั้งเมือง ( เพราะเมืองเล็ก) หากมีอาคารที่สร้างใหม่ ทางผู้บริหารเมืองนี้เขาก็จะขอร้องไม่ให้สร้างให้แปลกประหลาดจนเสียสภาพแวดล้อมของเมือง ดังนั้นทุกร้านทุกบ้านที่นี่จึงสร้างคล้ายๆกันจนดูกลมกลืน ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ดีมาก
ลงจากรถ รู้สึกหิวจนแทบจะกินวัวได้ทั้งตัว ( เพราะตั้งแต่ตื่นมาไม่กล้าทานอะไรเลยกลัวเมารถ) มองไปทางซ้ายและขวา หาร้านกาแฟ เห็นมีหลายร้านโดยทุกร้านจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งรับประทานอาหารเช้า กันแน่นขนัด มอเตอร์ไซต์รับจ้างหญิงนางหนึ่งรีบเดินมาถามว่าจะใช้บริการเธอหรือไม่ ดิฉันก็ไม่รอช้า บอกให้เธอพาไปร้านกาแฟสักแห่งเพราะกำลังจะหิวตายเนื่องจากขาดกาแฟมานาน ซึ่งเธอก็รีบบอกเลยว่า
“ ไป๋ฮ้านตี่เปิ้นถ่ายหนังก่อเจ๊า เฮื่อง
ฮักจัง เจ๊า ”
หล่อนหมายถึงร้านที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง “ รักจัง” นั่นเอง ไอ้เราก็ไม่เคยดูกะเขาเสียด้วย เลยตอบตกลงจะพาไปไหนก็ไป ซึ่งความจริงก็แค่สองร้อยเมตรจากสถานีรถโดยสาร นั่นเอง ดิฉันจ่ายเงินค่าโดยสารแต่โดยดี เพราะแม้จะเดินมาได้ แต่หากไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็คงใช้เวลานานเป็นแน่
หล่อนหมายถึงร้านที่ถ่ายภาพยนต์เรื่อง “ รักจัง” นั่นเอง ไอ้เราก็ไม่เคยดูกะเขาเสียด้วย เลยตอบตกลงจะพาไปไหนก็ไป ซึ่งความจริงก็แค่สองร้อยเมตรจากสถานีรถโดยสาร นั่นเอง ดิฉันจ่ายเงินค่าโดยสารแต่โดยดี เพราะแม้จะเดินมาได้ แต่หากไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็คงใช้เวลานานเป็นแน่
ร้านกาแฟที่ว่านี้ ชื่อ “ All About Coffee” เป็นบ้านเล็กและเก่าอายุมากว่าร้อยปี จัดร้านเป็นแบบบ้านน่ารัก เหมือนชื่อหนัง อาหารเช้าวันนั้น ด้วยความหิวมากเลยสั่ง กาแฟดำกับ “ French Toast” ชิ้นยักษ์ขนาดฝรั่ง ที่ทำด้วยขนมปังโฮลวีท ชุบไข่ทอด ทานกับน้ำผึ้ง ซึ่งแม้จะใหญ่แค่ไหน ดิฉันก็จัดการเรียบร้อยไม่เหลือติดจานเลย เป็นอันว่าอาหารมื้อแรกที่เมืองปายนี้ สอบผ่าน เพราะชอบมาก
จากการคุยกับชาวบ้านแถวนั้น
ทำให้รู้ว่าที่เมืองปายนี้ ประชากรดั้งเดิมส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่ ดังจะเห็นได้จากสถาปัตยกรรมหลายแห่งในเมืองที่มีลักษณะเป็นแบบไทยใหญ่
คือมีหลังคาหลายชั้น เช่นที่วัดต่างๆในตัวเมืองนี้
ต่อมาจึงมีชาวเมืองอื่นย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำหากินเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการเกษตร เช่นการทำนาข้าว สวนส้ม และ ทำไร่ถั่วเหลือง พื้นที่หลายแห่งมีน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่เหมาะในการใช้อาบเพื่อสุขภาพ จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ จึงทำให้เมืองเริ่มขยายตัวออกไป แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและผู้คนต่างมีอัธยาศัยดี เป็นเหตุผลหนึ่งที่นำพานักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามายังเมืองปาย เนื่องจากพอใจในความสงบสุขของเมืองในหุบเขาแห่งนี้
หากจะมีใครพูดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเมืองนี้ก็เพื่อมาหาแหล่งยาเสพติด เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นเส้นทางของยาเสพติด ก็อาจเป็นไปได้ แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราคงไม่สามารถไปสัมผัสกับเรื่องนี้ได้ จึงไม่ขอพูดถึง
ต่อมาจึงมีชาวเมืองอื่นย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำหากินเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการเกษตร เช่นการทำนาข้าว สวนส้ม และ ทำไร่ถั่วเหลือง พื้นที่หลายแห่งมีน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่เหมาะในการใช้อาบเพื่อสุขภาพ จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ จึงทำให้เมืองเริ่มขยายตัวออกไป แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและผู้คนต่างมีอัธยาศัยดี เป็นเหตุผลหนึ่งที่นำพานักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามายังเมืองปาย เนื่องจากพอใจในความสงบสุขของเมืองในหุบเขาแห่งนี้
หากจะมีใครพูดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเมืองนี้ก็เพื่อมาหาแหล่งยาเสพติด เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นเส้นทางของยาเสพติด ก็อาจเป็นไปได้ แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราคงไม่สามารถไปสัมผัสกับเรื่องนี้ได้ จึงไม่ขอพูดถึง
ในช่วงแรกที่นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเมืองนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่พักหนีอากาศหนาว มาอยู่ที่นี่อย่างสงบเป็นเวลานานๆครั้งละหลายเดือน
และส่วนใหญ่จะกลับมาทุกปี นักท่องเที่ยวต่างชาติเหล่านี้จะพักอยู่ตามบ้านพักริมแม่น้ำในตัวเมือง
ตลอดแนวแม่น้ำปาย
แต่ปัจจุบัน เมืองปายเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองเหนือไปแล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยจึงไหลทะลักเข้ามามากมาย จึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวกรุงเดินกันขวักไขว่เต็มเมือง สถานที่พักที่เคยเป็นของชาวต่างชาติก็เต็มไปด้วยชาวไทย ส่วนบรรดาฝรั่งก็หนีขึ้นไปพักบนเขาเพื่อแสวงหาความสงบต่อไป ดูๆแล้วช่างเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของไทยอื่นๆ เช่นเกาะพงัน เกาะช้าง และเกาะอื่นๆในทางใต้ของเรา ที่นำการท่องเที่ยวไปสู่ท้องถิ่นโดยนักท่องเที่ยวฝรั่ง
เนื่องจากเมืองปาย ตั้งอยู่ในที่ราบในหุบเขา ที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง ดังนั้นในช่วงหน้าฝน น้ำจากเขาจึงไหลลงมารวมกันที่แอ่งกลางหุบ อันเป็นที่ตั้งของเมืองนี้ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมในฤดูฝนเกือบทุกปี บ้านและรีสอร์ทต่างๆ มักมีเวลาทำมาหากินเพียงแค่ในช่วงฤดูหนาว เพราะในช่วงที่น้ำหลากมา กระแสน้ำจะแรงมาก จนสามารถพัดพาบ้านพักริมน้ำให้หายไปได้ สำหรับบ้านที่แข็งแรงก็ต้องปิดเป็นช่วงเวลายาวเพื่อทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านพัก ที่เสียหาย จึงไม่แปลกที่สะพานข้ามแม่น้ำ และบ้านกระต๊อบริมน้ำจึงเป็นบ้านที่สร้างแบบไม่แข็งแรง เนื่องจากต้องสร้างใหม่หลังความเสียหายทุกปี
ปัจจุบัน คนในเมืองก็เปลี่ยนจากคนดั้งเดิมมาเป็นคนภาคกลางที่เข้ามาซื้อบ้านและร้านค้า เพื่อปักหลักทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งตลาดสดกลางเมือง ที่เคยเป็นแหล่งชุมชนค้าขาย เป็นตลาดเช้าที่มีชื่อเสียงของเมือง ก็ถูกซื้อไปเพื่อสร้างศูนย์การค้าเสียแล้ว ชาวบ้านหลายท่านแม้จะคุ้นเคยกับบรรยากาศของการท่องเที่ยว แต่ก็อดเสียดายบรรยากาศเมืองเก่าอันสุขสงบของเขาไม่ได้ ฟังเขาบ่นแล้วก็รู้สึกเสียดายแทนไปด้วยเช่นกัน
แต่ปัจจุบัน เมืองปายเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองเหนือไปแล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยจึงไหลทะลักเข้ามามากมาย จึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวกรุงเดินกันขวักไขว่เต็มเมือง สถานที่พักที่เคยเป็นของชาวต่างชาติก็เต็มไปด้วยชาวไทย ส่วนบรรดาฝรั่งก็หนีขึ้นไปพักบนเขาเพื่อแสวงหาความสงบต่อไป ดูๆแล้วช่างเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของไทยอื่นๆ เช่นเกาะพงัน เกาะช้าง และเกาะอื่นๆในทางใต้ของเรา ที่นำการท่องเที่ยวไปสู่ท้องถิ่นโดยนักท่องเที่ยวฝรั่ง
เนื่องจากเมืองปาย ตั้งอยู่ในที่ราบในหุบเขา ที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง ดังนั้นในช่วงหน้าฝน น้ำจากเขาจึงไหลลงมารวมกันที่แอ่งกลางหุบ อันเป็นที่ตั้งของเมืองนี้ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมในฤดูฝนเกือบทุกปี บ้านและรีสอร์ทต่างๆ มักมีเวลาทำมาหากินเพียงแค่ในช่วงฤดูหนาว เพราะในช่วงที่น้ำหลากมา กระแสน้ำจะแรงมาก จนสามารถพัดพาบ้านพักริมน้ำให้หายไปได้ สำหรับบ้านที่แข็งแรงก็ต้องปิดเป็นช่วงเวลายาวเพื่อทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านพัก ที่เสียหาย จึงไม่แปลกที่สะพานข้ามแม่น้ำ และบ้านกระต๊อบริมน้ำจึงเป็นบ้านที่สร้างแบบไม่แข็งแรง เนื่องจากต้องสร้างใหม่หลังความเสียหายทุกปี
ปัจจุบัน คนในเมืองก็เปลี่ยนจากคนดั้งเดิมมาเป็นคนภาคกลางที่เข้ามาซื้อบ้านและร้านค้า เพื่อปักหลักทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งตลาดสดกลางเมือง ที่เคยเป็นแหล่งชุมชนค้าขาย เป็นตลาดเช้าที่มีชื่อเสียงของเมือง ก็ถูกซื้อไปเพื่อสร้างศูนย์การค้าเสียแล้ว ชาวบ้านหลายท่านแม้จะคุ้นเคยกับบรรยากาศของการท่องเที่ยว แต่ก็อดเสียดายบรรยากาศเมืองเก่าอันสุขสงบของเขาไม่ได้ ฟังเขาบ่นแล้วก็รู้สึกเสียดายแทนไปด้วยเช่นกัน
หลังจากคุยกันจนหมดกาแฟไปหลายถ้วย ดิฉันก็มีแรงเดินรอบเมือง โดยไม่ลืมแวะซื้อไปรษณียบัตรจากร้านสบายดี
แกลลอรี่
( และแน่นอนว่าเป็นฉากในหนังด้วยเช่นกัน) ที่อยู่ตรงข้ามกับร้านกาแฟ
ร้านนี้เป็นร้านขายไปรษณียบัตรและมีตู้ส่งจดหมายตั้งไว้บริการลูกค้าที่หน้าร้าน
โดยไม่รั้งรอ
ดิฉันจึงซื้อไปรษณียบัตรเพื่อส่งให้ใครสักคนจากเมืองนี้ ตามประเพณีปฏิบัติของผู้มาเยือน
แต่ความที่ไม่รู้จะส่งให้ใคร เลยต้องส่งให้ตัวเองเสียเลย พร้อมขอแผนที่แจกฟรีฉบับย่อๆมาด้วย
เพื่อหาที่ตั้งของสถานที่สำคัญที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มก่อน
เนื่องจากไม่กล้าพกเงินติดตัวมามาก พกบัตรฯมากดเงินเอาแถวนี้ปลอดภัยกว่า
เดินตามแผนที่มาไม่ถึงสิบนาที
ก็ถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาปาย รีบวิ่งไปกดเงินทันที แต่ในขณะกำลังกดเงินอยู่นั้น
ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดิฉันมาจากภายในธนาคารฯ เมื่อหันมาดูอย่างตกใจ ก็พบกับชายหนุ่มหน้าเข้ม มาดสุขุมนุ่มลึก
คนหนึ่งเดินมาหาพร้อมยกมือไหว้ทักทาย เห็นพ่อหนุ่มคนนี้แล้วเหมือนเจอชายในฝัน นี่ขนาดอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไกลจนสุดชายแดน
ก็ยังมาเจอคนรู้จักกันอีก รู้สึกใจชื้นขึ้นอีกเป็นกอง
อาจเป็นเพราะทำบุญมามากเป็นแน่ พอจะต้องลำบากสักหน่อยก็มีคนมาช่วยไว้ได้ทันเวลา เพราะชายหนุ่มผู้นั้นคือเพื่อนของน้องๆในที่ทำงานของดิฉันนั่นเอง เราเคยพบกันในกรุงเทพฯหลายครั้งเขาจึงจำได้ และที่นับว่าประเสริฐที่สุดคือ วันนี้เขาย้ายมาเป็นผู้จัดการธนาคารที่เมืองปายแห่งนี้นี่เอง ในที่สุดสถานะของดิฉัน ก็เปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวโนเนมแบกเป้มาใบเดียว กลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของผู้จัดการทันที (โก้ไม่หยอก)
อาจเป็นเพราะทำบุญมามากเป็นแน่ พอจะต้องลำบากสักหน่อยก็มีคนมาช่วยไว้ได้ทันเวลา เพราะชายหนุ่มผู้นั้นคือเพื่อนของน้องๆในที่ทำงานของดิฉันนั่นเอง เราเคยพบกันในกรุงเทพฯหลายครั้งเขาจึงจำได้ และที่นับว่าประเสริฐที่สุดคือ วันนี้เขาย้ายมาเป็นผู้จัดการธนาคารที่เมืองปายแห่งนี้นี่เอง ในที่สุดสถานะของดิฉัน ก็เปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวโนเนมแบกเป้มาใบเดียว กลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของผู้จัดการทันที (โก้ไม่หยอก)
ผู้จัดการท่านนี้ชื่อคุณวีระชาติ หรือคุณหนุ่ม ซึ่งเมื่อได้ยินว่าดิฉันมาคนเดียวก็ถึงกับหัวเราะชอบใจ
ที่เห็นหญิงสูงอายุสะพายเป้มาเที่ยวอย่างกล้าหาญ แต่ถึงกระนั้นคุณหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยให้ไปเที่ยวคนเดียวอย่างที่ตั้งใจไว้
โดยอาสาพาไปชมรอบเมืองปาย และหาที่พักสำหรับคืนนั้นให้ด้วย
ในทางที่ถูกแล้ว การมาเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง เราควรจะจองที่พักมาก่อน เพื่อเป็นการประกันว่า เมื่อมาถึงแล้วจะได้มีที่พักพิงแน่นอน แต่ดิฉันประมาทในเรื่องนี้จึงต้องมาตระเวนหาไปหลายแห่งกว่าจะได้ห้องพัก เพราะช่วงต้นปีซึ่งเป็นฤดูหนาว จะเป็นช่วง High Season ของที่นี่ ที่พักจึงมักจะเต็มหมด ความที่ไปคนเดียวจึงต้องหาโรงแรมที่อยู่ในเมืองที่สามารถเดินไปกลับ ระหว่างที่พักและตลาดได้ ที่พักที่เราไปดูในวันนั้นจึง มีตั้งแต่แบบกระต๊อบและกระท่อม ไปจนถึงโรงแรมแบบสองชั้นในเมือง แถวริมน้ำปาย ราคาตั้งแต่ 150 บาท จนถึง 3,000 บาท
ในทางที่ถูกแล้ว การมาเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง เราควรจะจองที่พักมาก่อน เพื่อเป็นการประกันว่า เมื่อมาถึงแล้วจะได้มีที่พักพิงแน่นอน แต่ดิฉันประมาทในเรื่องนี้จึงต้องมาตระเวนหาไปหลายแห่งกว่าจะได้ห้องพัก เพราะช่วงต้นปีซึ่งเป็นฤดูหนาว จะเป็นช่วง High Season ของที่นี่ ที่พักจึงมักจะเต็มหมด ความที่ไปคนเดียวจึงต้องหาโรงแรมที่อยู่ในเมืองที่สามารถเดินไปกลับ ระหว่างที่พักและตลาดได้ ที่พักที่เราไปดูในวันนั้นจึง มีตั้งแต่แบบกระต๊อบและกระท่อม ไปจนถึงโรงแรมแบบสองชั้นในเมือง แถวริมน้ำปาย ราคาตั้งแต่ 150 บาท จนถึง 3,000 บาท
แต่เรื่องห้องส้วมนี่ซิ ยามค่ำคืนขืนออกมาเข้าห้องน้ำมีหวังโดนเสือคาบไปกินแน่
อีกทั้งผนังห้องที่ทำด้วยไม้ไผ่สาน ไม่สามารป้องกันอากาศหนาวเย็นที่จะแทรกซึมเข้าไปในบ้านได้อย่างง่ายดาย เครื่องนอนและผ้าห่มก็ไม่เพียงพอสำหรับอากาศเยี่ยงนี้
หากนอนที่นี่คงแข็งตายเป็นแน่ ส่วนทางเดินเท้าจากตัวเมืองมาที่พัก ต้องเดินข้ามสะพานไม้ไผ่แคบๆ
หากกลับมาในยามค่ำคืนมีหวังตกน้ำแน่นอน เมื่อคิดแบบสมองคอมพิวเตอร์เสร็จแล้วก็รีบลาเจ้าของบ้าน
เพื่อไปดูที่อื่นต่อไป แต่ไม่ต้องตกใจว่าเจ้าของจะเสียดายเรานะ เพราะยังมีฝรั่งเข้าคิวรออยู่อีกหลายคน
บ้านแบบนี้เป็นที่นิยมของฝรั่ง เพราะถูกดี สามารถอยู่ได้เป็นเดือน
คราวนี้มาถึงกระท่อม เรียกว่าดีขึ้นมาหน่อย กระท่อมเหล่านี้ราคาจะสูงขึ้นมามาก ต่ำสุดประมาณคืนละ 1,000 บาท ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำสักหน่อย ส่วนใหญ่กระท่อมเหล่านี้จะสร้างด้วยปีกไม้ เพื่อให้เข้ากับธรรมชาติที่สุด แต่ละรีสอร์ทจะมีบ้านไม่มากนัก เพราะมีเนื้อที่น้อย หลายแห่งที่ไปดูจะเต็มตลอด ผู้ที่พักกระท่อมแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และฝรั่งที่มีฐานะและอยู่ไม่นานนัก
คราวนี้มาถึงกระท่อม เรียกว่าดีขึ้นมาหน่อย กระท่อมเหล่านี้ราคาจะสูงขึ้นมามาก ต่ำสุดประมาณคืนละ 1,000 บาท ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำสักหน่อย ส่วนใหญ่กระท่อมเหล่านี้จะสร้างด้วยปีกไม้ เพื่อให้เข้ากับธรรมชาติที่สุด แต่ละรีสอร์ทจะมีบ้านไม่มากนัก เพราะมีเนื้อที่น้อย หลายแห่งที่ไปดูจะเต็มตลอด ผู้ที่พักกระท่อมแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และฝรั่งที่มีฐานะและอยู่ไม่นานนัก
กระท่อมที่ดิฉันเกือบจะตกลงพัก อยู่ติดแม่น้ำก็จริง แต่ทัศนะวิสัยไม่ดี เพราะตั้งอยู่ติดกับสะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำ
ขนาดช่วงเวลาที่เราไปดูบ้านยังได้ยินเสียงคนเดินข้ามสะพาน ดังกร๊อบแกร๊บๆๆๆ ตลอดเวลา หากในช่วงกลางคืนคงไม่ได้นอนแน่ เพราะนักท่องเที่ยวที่พักฝั่งตรงข้าม
คงเดินไปมาตลอดทั้งคืน และเหตุผลที่สำคัญ เมื่อมองด้วยสายตาของคนชอบถ่ายรูปแล้ว บ้านที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำอย่างนี้
จะเห็นวิวได้แค่หน้าบ้านตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถมองวิวได้รอบทิศเป็นแน่ เรียกว่าโลกทัศน์แคบไปหน่อย
ว่าแล้วก็กราบลาเจ้าของบ้านพร้อมกับไปหาที่อื่นต่อไป
หาที่พักกันเกือบจะหมดเมืองแล้ว
ในที่สุดก็มาพบกับโรงแรมใหม่แห่งหนึ่งอยู่เกือบสุดปลายถนนหลักของตัวเมือง รู้สึกถูกใจ
เพราะดูเป็นบ้านที่แข็งแรงแน่นหนาดี ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยววัยดึกอย่างเรามาก แถมมีสนามที่โล่งระหว่างหน้าห้องที่พักกับริมแม่น้ำ
สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง อุปกรณ์ภายในห้องดูน่าใช้ ผนังห้องสามารถกันอากาศหนาวได้
เครื่องนอนดูอบอุ่นดี แถมยังตั้งอยู่ฝั่งเดียวกับตลาด สามารถเดินกลับที่พักได้อย่างปลอดภัย
คิดได้ดังนั้นจึงตกลงใจอยู่ที่นี่เลย
หลังจากหาที่พักให้ดิฉันได้แล้ว ดูเหมือนคุณหนุ่มฯจะโล่งอกมาก เพราะตระเวนกันจนเหนื่อย
แถมหิวข้าวมาก เธอจึงชวนไปทานอาหารจีนยูนนาน ที่หมู่บ้านชาวจีนบนเขานอกเมืองปาย แค่ได้ยินว่าเป็นอาหารจีนยูนนานก็ตาโตแล้ว
ไม่ใช่แค่อาหาร แต่ได้ยินว่าที่หมู่บ้านนั้นเป็นหมู่บ้านของชาวจีน ที่มีวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างไปจากชาวเมืองเหนือ
ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มพลุ่งพล่านอยู่ในใจอีกแล้ว
คุณหนุ่มฯขับรถพาไปหมู่บ้านจีนยูนนาน ผ่าน “วัดน้ำฮู
” ที่มีพระประธานคือ “หลวงพ่ออุ่นเมือง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณที่มีน้ำซึมขังอยู่ในช่องพระเศียรตลอดเวลา จนชาวบ้านลือว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
วันนั้นเราไม่ได้แวะเข้าไปกราบพระ เพราะเห็นมีรถจอดเต็มลานวัด แสดงว่ามีคนมาชมมาก
ประกอบกับความหิวทำให้เรารีบตั้งหน้าตั้งตาไปร้านอาหารก่อน คุณหนุ่มฯ
เป็นเจ้าบ้านที่แสนดี เห็นดิฉันเริ่มงอแงด้วยความหิวจึงคว้าโทรศัพท์ โทรฯไปสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าก่อนเลย
หมู่บ้านจีนนี้ ชื่อ “หมู่บ้านสันติชล” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อน แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมาเป็นชาวไทยโดยสมบูรณ์ และเปิดหมู่บ้านเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีอาหารจีนยูนนาน เป็นสินค้าที่นำชื่อเสียงมาให้หมู่บ้าน จนสามารถทำรายได้ให้แก่ชาวจีนในหมู่บ้านนี้เป็นอย่างมาก หากท่านใดจะไปทานอาหารควรไปก่อน หรือหลังช่วงเที่ยงจะดีมาก เนื่องจากมีคนมารับประทานมากนั่นเอง
ที่นี่ อาคารทุกหลังถูกสร้างแบบจีนโบราณ คือสร้างด้วยดินเหนียว ล้อมลานกว้างหน้าบ้าน ข้างร้านอาหารด้านหนึ่งมีบ้านตัวอย่างไว้ให้ชม อีกด้านจะเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งก็เป็นบ้านดินเช่นกัน สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้ามาจากเมืองจีน ที่ขายดีมากคือใบชา และอุปกรณ์การชงชานั่นเอง ที่น่าสนใจคือ “ ชิงช้าสี่คน” ที่สร้างจากแนวความคิดเรื่องแรงโน้มถ่วง เพราะหากผู้ที่เล่นชิงช้าทั้งสี่คนมีน้ำหนักเท่ากัน ชิงช้าจะหมุนไปได้เอง ความแปลกและสนุกของชิงช้านี้ จึงถูกใช้เป็นสัญญาลักษณ์ของหมู่บ้านในแผนที่เมืองปายทุกฉบับ
ร้านอาหาร ถูกสร้างอยู่กลางลานบ้าน มีโต๊ะอาหารทำด้วยไม้แบบจีนอยู่ไม่กี่ตัว แต่ละตัวปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีแดงตามแบบฉบับจีน เก้าอี้เป็นม้ายาวไม่มีพนัก เห็นแล้วทำให้คิดเหมือนว่ากำลังนั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมกลางทางแบบในหนังจีนยังไงยังงั้น หลังร้านจะเห็นสวนผักที่ทางร้านปลูกไว้เพื่อเก็บมาทำอาหารขาย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก
เมื่อเรานั่งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว อาหารที่สั่งไว้ล่วงหน้าก็มาถึงเช่นกัน วันนี้คุณหนุ่มฯสั่ง ขาหมู หมั่นโถว ทั้งชนิดนึ่งและทอด ซึ่งเป็นของเด่นประจำร้านมาให้ลองชิมเป็นอย่างแรก ขาหมูตำหรับยูนนานนี้ แปลกว่าขาหมูที่ขายอยู่ในตลาดบ้านเรา เพราะน้ำเกรวี่จะมีสีแดง ซึ่งมาจากเครื่องเทศตามสูตรของเขา ส่วนรสชาติจะไม่หวานเหมือนขาหมูทั่วไป การเสริฟก็ตักใส่ชามมาล้วนๆ โดยไม่มีผักลวกเป็นเครื่องเคียง จานนี้แม้จะอร่อยและหอมเครื่องเทศ แต่ความมันของหนังหมู ก็ทำให้ดิฉันต้องยั้งมือไว้บ้าง
มาถึงจานที่สองซึ่งเป็นอาหารคุณภาพ คือ “ยอดถั่วลันเตาผัดกับเกลือ ” ความหวานของผักกับความเค็มนิดหน่อยของเกลือ แถมไม่มีน้ำมันมากทำให้ดิฉันตักบ่อยเป็นพิเศษ
แต่เมื่อ “ ไก่ผัดพริก”มาถึง ดิฉันก็ถึงกับอดใจไม่อยู่ เพราะไก่ดำที่ตุ๋นให้นุ่มแล้วนำมาผัดกับพริกแห้ง ขิงแก่ กระเทียมและผลไม้แห้งจากเมืองจีนที่มีรสเปรียว ทำให้ต้องยกนิ้วให้อาหารจานนี้ไปเลย อร่อยจริงๆ อยากจะถามสูตร แต่คงทำตามไม่ได้เนื่องจากไม่ทราบว่าจะหาซื้อผลไม้แห้งมาจากไหนได้
อีกจานที่เด็ดจริงๆคือ “ ลาบยูนนาน” ทำด้วยการสับหมูกับผักกาดดอง จากนั้นนำมาผัดกับพริกป่น ต้นหอมและกระเทียม อร่อยมากอีกจาน ที่จริงอยากจะสั่งให้มากกว่านี้ แต่ไปกันสองคนก็แทบจะรับประทานกันไม่หมด จึงนำมาเล่าให้ฟังได้เพียงแค่นี้
เสร็จจากการรับประทานเราก็เดินไปชมร้านจำหน่ายของที่ระลึก เพื่อซื้อไปฝากคนที่ไม่ ได้มา ซื้อของเสร็จขณะที่จะกลับ
ก็เห็นนักท่องเที่ยว กำลังใช้บริการขี่ม้าชมเมือง ซึ่งเป็นบริการให้เช่าม้าพาชมหมู่บ้านของเขาในราคาไม่แพง
แต่หลังการรับประทานอาหารมาแบบเต็มที่อย่างนี้ ดิฉันขอไม่ใช้บริการขี่ม้าเด็ดขาด เพราะสงสารม้าที่จะเดินไม่ไหวนั่นเอง
กลับมาถึงเวียงปาย คุณหนุ่มฯก็ขอตัวไปทำงาน และรับแขกต่อ ซึ่งดิฉันก็ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลไว้ณ.ที่นี้ แม้จะไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนก็ยังช่วยดูแลไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย วันหลังคงได้กลับไปรบกวนอีก
กลับมาถึงเวียงปาย คุณหนุ่มฯก็ขอตัวไปทำงาน และรับแขกต่อ ซึ่งดิฉันก็ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลไว้ณ.ที่นี้ แม้จะไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนก็ยังช่วยดูแลไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย วันหลังคงได้กลับไปรบกวนอีก
เราเพิ่งมาถึงแค่ช่วงอาหารกลางวันเท่านั้น
เรื่องเมืองปายยังอยู่อีกยาวมาก โปรดติดตามตอนต่อไป รับรองว่า โหด มัน ฮา แน่นอน …
รูปเยอะกว่าและน่าอ่านกว่าในหนังสืออีกนะคะป้า
ตอบลบหลานสาว
บางสถานที่บางเรื่องได้อ่านชมแล้วก็หายอยากไม่อยากไปแล้วแต่เรื่องนี้บุกเดี่ยวเที่ยวปายอร่อยมากกก..ค่ะที่เคยคิดไว้นานแล้วจะไปจะไป ไปแน่ค่ะคราวนี้ รอเก็บข้อมูลจากคุณป้าต่อไปค่ะ
ตอบลบสวยมากเลย นะถ้าไปจริงๆๆอะ แต่เราไม่รู้จะไปกับใครดีไปคนเดียวดีกว่าเนอะ
ตอบลบเป็นครั้งแรกค่ะ ที่เคยได้อ่านบล็อค..เพราะนู่กำลังจะฉายเดี่ยว แบกเป้เที่ยวปายเช่นกันค่ะ ก็เลยเจอโดยบังเอิญ..ขอบคุณนะค่ะ ที่ช่วยสร้างกำลังใจให้นู่ ตอนแรกก็กลัวๆอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้พร้อมลุยแล้วค่ะ..จะทำตามคำแนะนำของคุณป้าลิลลี่เลยค่ะ โดยเฉพาะไอศครีม da vinci ^^
ตอบลบ