บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Lily en Londres (2)


   ขึ้นหัวเรื่องเป็นภาษาฝรั่งเศสแบเก๋ๆว่า Lily en Londres  ก็แปลว่า Lily in London นั่นแหละ วันนี้จะมาเล่าถึงการเดินเที่ยวในกรุงลอนดอนของคุณนายLily  ต่อ  โดยจะเล่ารวบ 2 วันเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากบางช่วงดิฉันก็ปล่อยให้น้องสาว และหลานไปเที่ยวกันเอง  เพราะดูสภาพแล้ว ฉันเดินไม่ไหวแน่ จึงขอนอนรอที่โรงแรมตลอดช่วงเช้า


ดังนั้น ในช่วงเช้าของวันที่ 2 คนอื่นๆจึงไปเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวใหญ่ๆภาคบังคับที่สำคัญ คือHouse of Parliament , Westminster Bridge และ London Eye โดยนัดกันว่าหลังเที่ยงฉันจะไปรอทานข้าวกลางวันกันที่ห้าง Harrods
 

และเมื่อถึงเวลา คุณนายLily จึงแต่งตัวไปรอที่ห้างนั้นทันที  ความที่หลานผิดเวลามาก ฉันจึงต้องหาอาหารกลางวันทานไปก่อน  โดทานที่ร้านคาเฟเจ้าประจำข้างๆห้างนั่นเอง  แต่พอหลานมาถึงเขาก็ยืนยันที่จะกินสเต็กของห้างHarrods ซึ่งเป็นสเต็กที่มีคุณภาพแห่งหนึ่งทีเดียว ฉันก็ได้แต่สละสิทธิ์ เพราะอิ่มแล้วจึงเดินช๊อปรอไปพลางๆ




 The Steak House at Harrods ตั้งอยู่ในบริเวณขายอาหารชั้น G ลูกค้าที่จะรับประทานต้องไปเข้าคิวรับหมายเลขก่อน ต่อจากนั้นก็เดินไปเลือกเนื้อในตู้แช่  พนักงานจะตัดเนื้อตามที่เราเลือกแล้วชั่งน้ำหนัก  พร้อมถามรายละเอียดว่า จะให้ปรุงแบบสุกแค่ไหน Rare ,Medium หรือ Well done  และเราต้องการซ๊อสสเต็กแบบไหน  เมื่อได้รายละเอียดความต้องการของลูกค้าแล้วพนักงานจะวางบัตรหมายเลขของเราไว้ในจานเนื้อเพื่อเตรียมปรุง  แต่อย่าหวังนะว่าจะทำให้เดี๋ยวนั้น เขาต้องรอให้ที่นั่งซึ่งเป็นเคาน์เตอร์ว่างเสียก่อน  จึงจะเรียกคิวลูกค้าให้มานั่งและเริ่มการปรุงตามที่เราสั่ง สิริรวมเวลาแล้วประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะได้นั่ง แต่เมื่อถามถึงเหตุผลของความวิริยะอุตสาหะในการรอ ก็ได้รับคำตอบว่าอร่อยเป็นที่พอใจ ส่วนราคาก็สูงตามระเบียบ


 เสร็จจากอาหารกลางวัน กลุ่มของเราก็เดินดูสินค้ากันตลอดบ่าย  ความที่ยังปวดเข่า ฉันจึงใช้มุขเดิมคือขอนั่งรอตามระเบียบ  ห้าง Harrods ดีตรงที่ทุกชั้นจะมีร้านชา กาแฟ ไว้บริการทุกชั้น มีเรื่องขำส่วนตัวของฉันคือ  ขณะเดินหาที่นั่งพัก ฉันก็ถามพนักงานว่า  

Where is the coffee shop?  พนักงานตอบมาว่า 
Sorry Madame , we don’t have coffee shop ,
we have Tea Room sir .This way Madame .  
พนักงานผายมือเชิญฉันไปทางร้านชาอย่างสุภาพ  ฉันนึกขำตัวเอง  มาเมืองอังกฤษที่คนเขาดื่มชากันทั้งประเทศ  ดันมาถามหาค๊อฟฟี่ช๊อบ

 
 แต่โชคไม่เป็นของฉันเลย เพราะร้านชามีลูกค้ายืนรอคิวแถวยาวมาก ในที่สุดฉันก็ต้องระเห็จมานั่งกินไอติมอยู่กับเด็กๆที่ร้าน Ice Cream Parlour แทน เห็นภาพตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กแล้วนึกว่าตัวเองอยู่ในดิสนี่ย์แลนด์




ราใช้เวลาที่ห้าง Harrods ตลอดบ่าย ได้ยินเสียงนักช๊อปชาวไทยซื้อของกันอย่างเมามัน โชคดีที่ฉันเข่าเจ็บ เลยไม่ต้องแย่งซื้อของกับใคร  ก่อนค่ำ หลังจากช๊อปเสร็จเราก็เริ่มหิวกันอีกแล้ว  วันนี้หลานตั้งใจพาไปกินเป็ดย่าง  หลายคนที่มาลอนดอน ต้องไปกินเป็ดย่างที่ร้าน Four Seasons ถือเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ แต่วันนี้หลานบอกให้ลองชิมร้านอื่นที่อร่อยเท่ากัน หรือมากกว่าร้านแรก ซึ่งเรื่องลองชิมร้านใหม่ๆนี่นับเป็นเรื่องถนัด เราจึงรีบไปตามที่หลานแนะนำ


 ร้านนี้ชื่อร้าน Magic Wok ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถใต้ดิน Bayswater ถนน Queensway ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกับร้าน Four Seasons นั่นล่ะ เราเดินผ่านหน้าร้าน Four Season ไปประมาณ 3 ห้องก็ถึงร้าน Magic Wok


 ร้าน Magic Wok ตั้งขึ้นทีหลังร้าน Four Seasons เพราะเจ้าของร้านนี้เคยเป็นเชฟ ร้าน Four Seasons ดังนั้นเมนูจึงคล้ายๆกัน  รวมถึงรสชาติก็ใกล้เคียง หรือบางอย่างอร่อยกว่า ภายในร้านเห็นลูกค้าชาวไทยหลายโต๊ะ  หลานบอกว่าร้านนี้เป็นที่นิยมของเหล่านักเรียนไทย  ส่วนนักท่องเที่ยวไปกินร้านข้างๆ


 มาร้านนี้ก็เพื่อจะมากินเป็ดย่าง ขืนไม่สั่งคงผิดประเพณี ดังนั้นจานแรกของเราจึงเป็นเป็ดที่รสชาติเดียวกับของร้าน Four Seasons เปี๊ยบ


 อีกจานที่ต้องสั่งคือหมูแดง อร่อยอ่ะ



 หลานชอบกินหมูสามชั้นมาก พยายามสั่งหมูสามชั้นที่อบมาในผักกาดแห้ง แต่พูดเท่าไรพนักงานก็ไม่เข้าใจ และในเมนูก็ไม่เห็นมีเขียนไว้  ฉันฟังหลานพูดก็เดาเอาว่า น่าจะเป็นอะไร จึงบอกพนักงานเป็นภาษาจีนว่า "เคาหยก" คราวนี้พนักงานร้องฮ้อ ! เข้าใจแล้ว และเราก็ได้จานนี้มาสมใจ  อร่อยมากค่ะ


 อีกจานที่ชอบมากคือ ปลาหมีกสดทอดผัดพริกเกลือ 
รสเค็มเผ็ด กรอบกำลังดี สุดยอดค่ะ


 ขาดไม่ได้คือผักคะน้าผัดกระเทียม


 เครื่องเคียงที่ช่วยให้เพื่อนของหลานรู้สึกหายคิดถึงบ้าน เพราะวันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ไม่ได้กินอาหารรสเผ็ดๆแบบอาหารไทย


       รับประทานอาหารเสร็จ เมื่อคิดเงินค่าอาหารแล้ว ปรากฏว่าราคาถูกกว่าที่เราคาดไว้อย่างมาก  เราจึงอารมณ์ดีออกจากร้านเพื่อมาดูของที่ระลึกของลอนดอน  ซึ่งมีร้านจำหน่ายในบริเวณนั้นทั้งสองฝากถนนมากกว่า  20ร้าน และก็ต้องตกใจเมื่อเห็นราคาของในร้าน เพราะดูแล้วถูกกว่าของที่หลานๆซื้อแถวสถานที่ท่องเที่ยวอย่างมาก  เรียกว่าเป็นราคาเหมาโหลขายส่งก็ว่าได้  หลานและน้องสาวที่ซื้อของที่ระลึกเมื่อช่วงเช้าถึงกับออกอาการเสียดายอย่างมาก 
     จึงขอแนะนำท่านที่จะมาเที่ยวอังกฤษว่า  หากมีเวลาให้มาเดินซื้อของฝากแถวนี้จะถูกกว่ามาก


 วันที่สามของเราในลอนดอน  เรามีเวลาอีกครึ่งวันสำหรับการท่องเที่ยว  บังเอิญเป็นวันเสาร์ที่รู้ว่าจะมีตลาดนัดขายของที่ถนน Portobello เราจึงไม่รอช้าที่จะไปทันที  เพราะโอกาสที่จะได้เดินตลาดนี้มีไม่มากนัก


 ตลาด Portobello ตั้งอยู่ในเขตฝั่งตะวันตกของกรุงลอนดอน เป็นตลาดกลางแจ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับชาวลอนดอนและนักท่องเที่ยว


ถนน Portobello ตัดผ่านใจกลางของเขต Notting Hill ซึ่งเป็นพื้นที่ยอดนิยมของกรุงลอนดอนโดยทุกคนรู้จักถนนนี้จากภาพยนต์เรื่อง Notting Hill  และนำมาซึ่งคำถามที่ พ่อค้า แม่ค้าบนถนนนี้ต้องพบแทบทุกสัปดาห์ไปคือ คำถามที่เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆในฉากของภาพยนตร์เรื่องนั้น เช่น: ประตูสีฟ้าอยู่ตรงไหน , ร้านขายหนังสือท่องเที่ยว (ที่พระเอกทำงานอยู่) อยู่ที่ไหน , ผับ, รั้วสวน ( ที่พระเอกชวนนางเอกปีน)  และอื่น ๆอยู่ที่ไหน


 ความจริงแล้ว ตลาด Portobello  ควรถูกเรียกว่าถนน Portobello จึงจะถูก  เพราะตลาดนี้ตั้งอยู่บนถนนที่ทอดยาวประมาณสองกิโลเมตร  ในบ่ายวันเสาร์ที่มีผู้คนแออัด คุณจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานขณะที่เดินไปตั้งแต่ต้นถนนจนถึงท้ายถนน


 ประวัติของ  Portobello เดิมเป็นฟาร์มซึ่งได้รับการตั้งชื่อตามเมืองท่าชื่อ Puerto Bello ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน  ชาวเมืองลอนดอนได้ตั้งชื่อบริเวณนี้เพื่อเป็นเกียรติ์แก่ พลเรือเอกเวอร์นอน ผู้ที่เข้าตีและยึดเมือง Puerto Bello ได้ในปี 1739



 หลังจากนั้น บริเวณนี้ได้มีการสร้างบ้านเรือน ตึกแถวร้านค้าเสื้อผ้าขึ้นมามากมาย ปัจจุบันยังมีPub ที่ตั้งชื่อว่า Portobello Gold และ Portobello Star  ตั้งอยู่เพื่อระลึกถึงช่วงเวลาที่ พลเรือเอกเวอร์นอน ได้มุ่งหน้านำกองทัพออกทะเล  และหนึ่งในพื้นที่จำหน่ายวัตถุโบราณก็เป็นที่รู้จักกันในนาม Admiral Vernon
 
 ประวัติศาสตร์ล่าสุดของถนนี้ที่ผ่านมา  คือการเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill  หลังจากออกฉาย หนังเรื่องนี้ก็ได้นำทางให้ผู้คนมาเที่ยวตลาดนี้  เนื่องจากทุกคนอยากเห็นสถานที่จริงที่เคยเห็นในหนัง


 ในทุกวันเสาร์ ถนนนี้จะปิดให้กลายเป็นตลาด  โดยมีสินค้าเด่นเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องร้านขายเสื้อผ้ามือสองและของเก่า แต่ปัจจุบันมีสินค้าขายแทบทุกอย่าง  ดูๆแล้วคล้ายตลาดนัดบ้านเรา เพียงแต่ว่าสินค้าที่นี่  หากเป็นของเก่าก็เก่าจริง แต่สินค้าทำใหม่ก็มีมาก หลายอย่างน่าจะไปจากแถวๆบ้านเรา




 นอกจากเสื้อผ้า สินค้าวินเทจ แล้ว จำพวกถ้วยชา กาแฟ ทั้งใหม่และเก่าจะมีมากมายให้เลือก  ความที่ตลาดนี้ไม่จัดโซนให้ชัดเจน  อารมณ์ดูสินค้าที่วางขายจึงกระโดดไปกระโดดมา  บางช่วงเป็นถ้วยชมของเก่า ผ้าลูกไม้ กระดุม แต่ก็ตัดสลับด้วยหน้ากากกันควันพิษ หรือกล้องถ่ายรูปของคุณผู้ชาย

 









 

แต่ที่ดูเหมือนว่าจะจัดโซนได้ดีคือ ร้านขายต้นไม้ที่อยู่ท้ายซอย กับโซนร้านขายผลไม้ อาหาร และขนมที่น่ากินมาก  มียกเว้นร้านเดียวที่อยู่ระหว่างถนนคือร้านคัพเค้กของ The Hummingbird Bakery ที่มีชื่อเสียงมากร้านหนึ่งของลอนดอน  แต่วันที่ฉันไปเป็นช่วงใกล้เที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่คนหนาแน่นมาก ฉันไม่สามารถแม้จะฝ่าฟันผู้คนเข้าประตูไปได้ เลยอดไป...
  


 
 

 
 
 

 สรุป  โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบตลาดนี้มากทีเดียว ปล่อยให้ฉันเดินทั้งวันก็ไม่เบื่อ  เพราะบรรยากาศของที่นี่ทำให้ฉันมีความสุขมาก  เหตุผลคือ

1.คนขายส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษสูงอายุคนที่ดูดีมีมารยาท จะเห็นเจ้าของร้านที่เป็นต่างชาติน้อยมาก 

2.ของที่นำมาขายส่วนใหญ่เป็นของเก่าที่เก็บสะสม หรือเสาะหามาขาย  หากเป็นของใหม่ก็ไม่ใช่ของล้ำสมัยจนเกินไป

3.สินค้าที่นำมาขายส่วนใหญ่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ดูเหมือนไร้ค่าในสายตาคนอื่น  คนที่ไม่ชอบก็อาจจะมองข้าม หรือมองไม่เห็นคุณค่าและความงามที่ซ่อนอยู่ การมาเลือก ริ้อ ค้น ของเก่าเก็บแบบนี้ ช่างมีความสุขเสียจริง  ( เอ๊ะ...นี่เราผิดปกติไม๊เนี่ย)


     
 บรรยากาศของตลาด จากหนังเรื่อง Notting Hill

 เราเดินตลาดอยู่จนเลยเที่ยงวันอันเป็นเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการเดินทาง  เมื่อกลับมาถึงโรงแรมก็รีบเช็คเอ๊าท์ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Cambridge  แต่ความที่เราทุกคนต่างก็หิวโซ  เพราะเดินช๊อปแบบไม่ยอมกินอะไรกันเลย  หากออกไปกินข้าวตามร้านข้างนอกคงสียเวลามาก หลานจึงแนะนำให้กินในโรงแรมกันเลย

       เห็นทางโรงแรมโฆษณาร้านอาหารสิงค์โปร์ โดยชูข้าวมันไก่ไหหลำ เป็นดารานำ  ฉันก็อดขำตัวเองไม่ได้ที่ไม่ว่าจะไปไหน  ก็หนีข้าวมันไก่ไม่พ้นสักที  แต่ก็เต็มใจที่จะกิน เนื่องจากอยากรู้ว่า ข้าวมันไก่ไหหลำ ที่กินในลอนดอนมันจะอร่อยสักแค่ไหน 

ร้านที่เราเข้าไปทานนี้ชื่อว่า Bugis Street เป็นชื่อที่คุ้นมากเพราะเคยไปเดินที่ถนนนี้บ่อยๆ  ร้านนี้เป็นร้านสัญชาติสิงคโปร์ มีหลายสาขาในอังกฤษ  
 
 อาหารที่เราสั่ง  แน่นอนว่าต้องมี ข้าวมันไก่ 


 ข้าวมันไก่ร้านนี้ จะบอกว่าไม่อร่อยก็ดูว่าจะใจร้ายเกินไป  คงต้องให้แต้มต่อว่าเป็นข้าวมันไก่ที่อยู่ต่างแดน จะอร่อยเหมือนกินแถวเอเชียคงยาก   

พูดถึงข้าว ก็นับว่าใช้ได้ทีเดียว มีความหอมของน้ำซุป หรือน้ำต้มไก่ตามสมควร ตัวข้าวที่หุงมาสวยเป็นตัวดี 

แต่ที่ต้องบ่นคือ ไก่เมืองอังกฤษที่เขาใช้ไก่พันธุ์เนื้อของเขา  ( แน่จริงควรจะสั่งไก่ไปจากสิงคโปร์)  ที่อังกฤษ ไก่ดูจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ราคาถูกที่สุด ไก่พันธุ์นี้จะมีเนื้อส่วนหน้าอกมาก  มากจนน่าเบื่อ  เวลาซื้อแซนด์วิชไก่กิน  จะพบกับเนื้อไก่ชิ้นโตๆ แห้งๆ จนกินไม่ลง

การใช้เนื้อไก่พันธุ์เนื้อมาทำข้าวมันไก่  หากรู้จักวิธีหั่นให้ความหนาของชิ้นเนื้อลดลงกว่าปกติ  ก็จะช่วยได้บ้าง เรื่องการหั่นไก่วางบนข้าวมันไก่นี่ ไม่มีประเทศไหนเก่งเท่าคนไทยอีกแล้ว เพราะสามารถหั่นได้บางติดเขียงเลย  ไม่รู้ว่าเป็นข้าวมันไก่   หรือ ข้าวมันวิญญาณไก่กันแน่  ที่เห็นหั่นไก่พอดีกินต้องเป็นร้านข้าวมันไก่ที่สิงคโปร์ เพราะหั่นมาพอดี  เนื้อไม่หนา ไม่บางเกิน เมื่อราดซ๊อสซีอิ้วมาก็ชุ่มฉ่ำพอดี

และร้านนี้ก็ราดซ๊อสมาตามแบบสิงคโปร์  ที่จริงขึ้นชื่อในเมนูว่า “ข้าวมันไก่สิงคโปร์ ”ซะก็หมดเรื่อง ไม่น่าบอกว่าเป็น Hainanese Rice เลย  หากคนจีน หรือคนไหหลำมากินเขาจะงงที่ราดซ๊อสมาบนเนื้อไก่ทำไม  เพราะบ้านเขาไม่มีซ๊อสราด กินไก่ต้มใหม่ๆกันเลย อร่อยกว่ามาก


 ดูน้ำจิ้ม นี่มันของสิงคโปร์ชัดๆ ไม่ใช่ไหหลำ



 Singapore Laksa  เป็นก๋วยเตี๋ยวแกงแบบมาเลย์ และสิงคโปร์ ที่ฉันไม่ค่อยชอบรสของมันเลย  หากเป็นก๋วยเตี๋ยวแกงบ้านเราจะอร่อยกว่ามาก 




 Char Kway Teow หรือก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้ว  แต่เขาใช้เส้นเล็กแบบเส้นจันทร์บ้านเราผัด เลยดูคล้ายผัดไทยไปเลย รสชาติพอแก้ขัดได้ยามหิว




เราสั่งอีกจานคือ ผักบุ้งผัดไฟแดง (ลืมถ่ายรูป) เป็นอีกครั้งที่ตอนสั่งจานนี้ หลานพยายามบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า Chinese morning Glory แต่พนักงานไม่รู้จัก ฉันจึงลองพูดว่า Kang Kung เท่านั้นพนักงานก็ร้องอ๋อ เข้าใจ   ประโยชน์ของการเที่ยวมากก็ดีอย่างนี้แหละ ได้รู้จักคำต่างภาษามาบ้าง โดยเฉพาะคำที่เกี่ยวกับอาหาร ซึ่งจะช่วยไม่ให้อดตายได้
 มื้อนี้แม้ฉันจะบ่น (ในใจ) ว่าคุณภาพแค่พอกินได้ แต่ในสภาวะที่อยู่ต่างถิ่น ได้กินอาหารรสแค่นี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว  เพราะเพื่อนของหลาน  ดูว่ามีความสุขเอามากๆที่ได้กินข้าวเป็นมื้อที่สอง หลังจากกินอาหารฝรั่งมาหลายวัน


และเราก็จบช่วงเวลาของเราในเมืองลอนดอนกันที่ร้านอาหารสิงคโปร์นี้ เพราะทันทีที่รับประทานกันเสร็จเราก็รีบเผ่นออกจากเมืองเพื่อไป Cambridge     แต่เดี๋ยวก่อน ......เรายังมีภาระที่ต้องไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ระหว่างทางกันอีก


 หมู่บ้านนั้นชื่อ  Bicester Village  เป็นเมืองที่มี Outlet ขายสินค้าแบรนด์แนมทุกยี่ห้อ เรารีบทำเวลาแวะเยี่ยมญาติผู้ใหญ่หลายท่าน อาทิเช่น ป้าดา (Prada) ลุงเบอรี่ (Burberry) น้ามัล ( Mulberry) และคุณปู่เวอร์ ( Versace) และพี่โป (Polo)กันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะเดินทางไปค้างคืนที่ Cambridge โดยถึงโรงแรมช่วงดึก

 วันนี้คงต้องขอตัวพักผ่อนก่อนเพราะเยี่ยมญาติกันเหนื่อยมาก แล้วจะมาเล่าต่อในตอนต่อไปนะคะ กู๊ดไนท์ค่ะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น