บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

แป้งร่ำ ทำนาเกลือ



หลังจากทำงานมาค่อนชีวิต ในที่สุดไม่น่าเชื่อว่า  วันนี้ ..วงจรชีวิตของเราก็วนมาบรรจบอีกครั้ง  เราเริ่มจากการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเดียวกันหลายปี  และด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคน  เราจึงต่างก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง   และใน วันที่เด็กหญิงคนเล็กสุดของบ้าน  ได้หมดจากภาระหน้าที่การทำงาน    พระพรหมจึงได้นำเรามาพบกันอีกครั้ง  แม้จะเป็นช่วงเวลาที่แตกต่างจากเมื่อห้าสิบปีที่ผ่านไป  แต่ความสุขสนุกสนานยังคงอยู่รอบตัวเราเช่นเดิม …..ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
 
เราเรียกวันนี้ว่า “ วันคืนสู่เหย้า ศิษย์เก่าป้ารวม”   ป้ารวมเป็นชื่อของป้าสะใภ้  ผู้ซึ่งมีลูกสาวสวย เก่ง ฉลาด หลายคน  โดยทุกคนเป็น ตั้งแต่ครูใหญ่ และครูประจำหลายแผนกวิชาของโรงเรียนอรุณประดิษฐ จังหวัดเพชรบุรี     ในสมัยก่อนบรรดาพ่อแม่ของนักเรียนที่อยู่ห่างไกล  มักจะส่งลูกๆมาพักอยู่กับบรรดาครูเก่งๆเหล่านี้  เพื่อหวังให้ลูกหลานเรียนเก่งไปด้วย

 การพบกันของเราในวันนี้  ฉันได้พบกับบรรดารุ่นพี่หลายคน  โดย 1 ในนั้นเป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง  เธอคือ พี่พรอนงค์ Horikawa นิยมค้า   วันนี้เธอมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง  เธอส่งหนังสือเล่มนั้นให้ฉัน   มันชื่อ  “ แป้งร่ำ ทำนาเกลือ
คงเพราะมันเป็นหนังสือสำหรับเด็ก  ฉันจึงเปิดหนังสือเล่มนั้นอย่างรวดเร็วแบบผ่านๆ  คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรสำหรับฉัน   แต่แล้วฉันก็ถูกหยุดไว้ด้วยรูปภาพ  ซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำที่นุ่มนวล สวยงามแต่สามารถบอกเล่าเรื่องได้อย่างครบครันด้วยตัวของมัน


 
รูปภาพ ทำให้ฉันต้องหยุดทำทุกอย่าง  เพื่ออ่านเนื้อเรื่องที่พิมพ์ด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่นั้น   ฉันรีบอ่านอย่างรวดเร็วด้วยความกระหาย  ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังสือเล่มบางๆเล่มนี้จะบรรจุเนื้อหาของการทำนาเกลือไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยภาษาที่ง่ายๆสำหรับเด็ก นี่แหละคือความสามารถพิเศษของพี่พรอนงค์  คือการทำของยากให้ง่ายและชวนติดตาม  ขนาดคนอายุมากอย่างฉันยังวางไม่ลง  เด็กๆคงอยากอ่านด้วยความตื่นเต้นมากกว่านัก

 
ฉันรีบขอบคุณพี่พรอนงค์ ฯ และด้วยความประหลาดใจ เมื่อพี่พรอนงค์  ได้แนะนำหญิงสาวท่านหนึ่งให้ฉันรู้จัก  ไม่น่าเชื่อว่า เธอคือคนที่วาดรูปในหนังสือนี้ทั้งหมด 
 เธอชื่อ คุณเบ็ญจมาศ  คำบุญมี   ใครจะเชื่อล่ะว่าวันนี้  ผู้หญิงสูงอายุ อย่างฉันจะมานั่งอ่านหนังสือเด็กอย่างเมามัน  และก็เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง   ที่ทั้งสองท่านได้เซ็นชื่อในหนังสือเล่มนั้นให้ อย่างเต็มใจ ( คงแปลกใจที่มีคนสูงวัยชอบอ่านหนังสือเด็ก)
 
ร้านอาหารที่เรานัดพบกันวันนี้ ชื่อร้านทับทิมทอง  อยู่ตรงปากแม่น้ำเพชร พอดี  ฉันก็เพิ่งได้เห็นปากน้ำเพชร เอาก็ตอนอายุ 60 เข้านี่ล่ะ  ดูเวิ้งว้างน่ากลัว เพราะเป็นช่วงน้ำลง  เรือประมงค์ทั้งเล็กและใหญ่ ต้องจอดติดอยู่ชายขอบดินดอนปากแม่น้ำ  ลูกเรือบางคนเดินเข้าฝั่ง  บางคนเดินไปก็แคะหอยแครง หอยแมลงภู่ไปด้วย 

 
อาหารร้านทับทิมทอง รสชาติดีทุกอย่าง โดยเฉพาะ ผัดใบชะคราม ที่มีรสเค็มตามธรรมชาติเพราะขึ้นตามนาเกลือ   แต่พอนำมาแกงส้มกับปลาทูสด  รสเค็มก็จะหายไป  ยิ่งถ้าแกงคั่วกับปูทะเล หรือหอยแครงแล้ว  ฉันก็ได้แต่อุทานว่า  “ อุแม่เจ้า ทำไมหนอฉันจึงเพิ่งมาพบเจ้า  ช่างอร่อยล้ำเหลือเกิน ”

 
ขณะที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น  พี่ยักษ์ พี่ชายคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นว่า  
 “ เดี๋ยวก่อนกลับ อย่าลืมมาเอา “ ดอกเกลือ” ที่พี่ไปด้วยนะ   เอามาให้คนละถุง ” 


 
ดอกเกลือ” ฉันเห็นคำนี้ในหนังสือ “ แป้งร่ำทำนาเกลือ”เมื่อตะกี้นี่นา  ฉันรีบเปิดอ่านซ้ำในหน้าที่กล่าวถึงคำๆนี้อีกครั้ง   และพอรู้ว่า  “ ดอกเกลือ” เป็นเกลือคุณภาพดีที่เฉพาะเจ้าของนาเกลือเท่านั้นจะมีไว้ใช้บริโภคเอง  ฉันจึงรีบบอกพี่ยักษ์ด้วยความโลภว่า 
 “ หนูขอสองถุงไม่ได้หรือจ๊ะ
พี่ยักษ์ รีบสวนกลับมาอย่างรวดเร็วว่า
อยากได้มากก็มาทำนาเกลือเองซิ  มีที่นาอยู่หลายแปลง อยากได้แปลงไหน เลือกเอาเลย ”  
ฉันได้แต่ร้องจ๊ากกกก….. 
 “ พี่จ๋า    หนูไม่ใช่ แป้งร่ำนะ จะได้มาทำนาเกลือ  ” 

พี่ๆทุกคนต่างก็หัวเราะกับคำตอบของฉัน  ดูเอาเถอะ ขนาดน้องอายุ 60 แล้ว พี่ๆ หรือเจ้ๆ ก็ยังมองฉัน อย่างเอ็นดูเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กสุดของบ้านอยู่เช่นเดิม 

บรรยากาศอบอุ่นของวันนี้ ทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆ เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว  ขณะฉันยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่เพิ่งจบ ชั้นประถมปีที่สี่มาหมาดๆ  อาจเป็นเพราะเตี่ย กับแม่ของฉันมองเห็นแววไม่เอาไหนของฉันก็เป็นได้  ฉันจึงถูกส่งให้มาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านป้ารวม   เพื่อให้มีคนคอยดูแลควบคุมเรื่องการเรียนของฉันอย่างใกล้ชิด   เวลานั้น ผู้ดูแลฉันหลายคนเป็นทั้งครูและพี่สาว  บ้านหลังนี้เปรียบเสมือนโรงเรียนประจำหลังเล็กๆ  ที่บรรดาพ่อแม่ พาลูกมาฝากให้ครูช่วยอบรมสั่งสอน ทั้งในเวลาเรียน และหลังเลิกเรียน
ในช่วงเวลานั้น  ฉันมีพี่ชายและพี่สาวจริงๆไปอยู่ด้วยกัน  เมื่อรวมกับรุ่นพี่คนอื่นทั้งชายหญิงแล้ว  บ้านหลังนั้นจึงมีนักเรียนอยู่ประมาณ 10 คน  ฉันเป็นเด็กรุ่นที่เล็กที่สุดในบ้าน   แม้จะอายุน้อยกว่าคนอื่น แต่ยังจดจำบรรยากาศเก่าๆนั้นได้ไม่เคยลืม 
ครอบครัวป้ารวม กับครอบครัวของฉัน  เกี่ยวข้องกัน เนื่องจาก ย่าของเราเป็นพี่น้องคลานตามกันมา  ลูกๆของป้ารวม กับฉันจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน   ฉันเรียกพี่ๆผู้หญิงว่า  เจ้ ( เรามีเชื้อสายไหหลำ) ส่วนพี่ผู้ชายก็เรียกพี่ แบบไทย  เจ้ๆของฉันเป็นคนสวย และเก่งจนฉันแอบจดจำเป็นไอดอลตั้งแต่เล็ก  คิดตลอดเวลาว่า สักวันเมื่อฉันโตขึ้น  ฉันจะต้องเก่ง สวย และ เปรี้ยวจี๊ดแบบนี้….  แบบนี้….
แม้จะสวย....แต่ ขอโทษเถอะ  เจ้ๆ ช่างดุ อะไรอย่างนี้หนอ
 ถึงกระนั้น  ฉันก็ยังมีความเป็นเด็กตัวเล็กไว้ป้องกันตัว  ทุกวันนี้เจ้ๆ  จึงมักเล่าเรื่องความซน และอภิสิทธิ์ที่ฉันได้รับจากป้ารวม   ที่ไม่ต้องถูกทำโทษ ( มากนัก) เมื่อทำความผิด 

 พี่ยักษ์  ( พยัคฆ์) พี่ชายคนหนึ่ง ในลูก 7 คนของป้ารวม  ใครๆได้ยินชื่อเป็นต้องกลัวไปก่อน  แม้ว่าชื่อของพี่จะเขียนว่า พยัคฆ์  ที่แปลว่าเสือ  แต่ในความรู้สึกของเด็กๆอย่างเราสมัยนั้น  มักจะคิดว่าพี่เป็น ยักษ์ อยู่ตลอด  ทั้งที่แท้จริงแล้ว พี่ยักษ์ใจดีมาก  วันๆเอาแต่นั่งอ่านหนังสือ  ไม่ค่อยพูด ค่อยจากับใคร 
 
ชีวิตประจำวันของเราในเวลานั้น   ทุกเช้าพวกเราเด็กๆ จะเดินจากบ้านป้ารวม ไปโรงเรียนกันเป็นแถว  ใครถึงโรงเรียนตัวเองก่อนก็แยกทางไป  คนสุดท้ายที่เดินไกลสุด  คือคนที่ต้องเดินไปโรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ  ซึ่งอยู่ติดกับเขาวัง   ส่วนฉัน อยู่ตรงกลางทางที่ต้องแยกออกจากกลุ่ม  แถวบริเวณตรงหน้าสำนักงานที่ดินจังหวัด  เพื่อข้ามถนนที่มีต้นมะฮอกกานีต้นสูงใหญ่  ไปยังบ้านพักของมิสเตอร์บรู๊ก  ที่ใช้เป็นที่เรียนของฉัน

จำได้ว่า ความที่ฉันมาถึงห้องเรียนเช้าที่สุดทุกวัน  ฉันจึงต้องอยู่คนเดียวที่ห้องเรียนใต้ถุนบ้านมิสเตอร์บรู๊ก เป็นเวลานานมาก  กว่าเพื่อนๆคนอื่นจะมาถึง  ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวนั้น กิจวัตรประจำของฉันคือ  การไปปีนต้นลั่นทมข้างรั้วโรงเรียน  แล้วแอบขึ้นไปร้องไห้คิดถึงบ้านบนต้นลั่นทม  กิจกรรมนี้ จำได้ว่าเป็นอยู่นานทีเดียว
 
กลับมาพูดถึงเรื่อง ”ดอกเกลือ”   
พี่สาวของฉันเล่าว่า  เนื่องจากบ้านของเราสองครอบครัว  อยู่คนละอำเภอ  ย่าของฉันอยู่อำเภอท่ายาง เรามีอาชีพทำสวนทำนา  แต่ย่าของเจ้ๆ  อยู่อำเภอบ้านแหลม ติดชายทะเล จึงทำนาเกลือ
สมัยเป็นหนุ่ม พี่ยักษ์  มีหน้าที่ขนกระสอบดอกเกลือ  มาให้บ้านย่าของฉัน ไว้ใช้ในการทำอาหารเป็นประจำ   นั่นหมายความว่า ฉันกินอาหารที่ปรุงรสด้วยดอกเกลือมาตั้งแต่เล็กแล้วนั่นเอง  แต่ช่างไม่รู้จักสังเกตสังกาเอาเสียเลยว่า  ไอ้เจ้าไหเกลือที่วางไว้บนหิ้งในครัวนั้น  มันต่างกับเกลือเม็ดในยุ้งเกลือข้างบ้านอย่างไร  
อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้รสอาหารบ้านเราต่างจากบ้านอื่น และปัจจุบัน ฉันยังติดและคิดถึงรสกลมกล่อมของอาหารประจำครอบครัวก็ด้วยเจ้าดอกเกลือนี้ กระมัง
คิดถึงเรื่องนี้แล้ว อยากจะแปลงร่างเป็น “ แป้งร่ำ” เสียจริง  นี่แหละหนา มีของดีอยู่ใต้จมูกทุกวัน  แต่ไม่เคยคิดเรียนรู้    วันนี้ พี่ยักษ์ ไม่ได้แบกกระสอบ ดอกเกลือมาให้เหมือนก่อน   แค่มีมาฝากถุงเดียวก็มีค่าอย่างยิ่งแล้ว  

 
ดอกเกลือ คืออะไร  มาเรียนรู้กับแป้งร่ำ เอ๊ย Lily เลยจ๊ะ

 "ดอกเกลือ" หรือที่คนฝรั่งเศสเรียกว่า Fleur de Sel
เป็นเกลือป่นตามธรรมชาติ คุณภาพสูง ราคาแพง เพราะมีปริมาณน้อย และสะอาด เพราะเป็นเกลือที่ลอยขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำไม่ได้สัมผัสกับพื้นดิน   ชาวนาเกลือในประเทศไทยได้ผลิตดอกเกลือมานานนับร้อยปีมาแล้ว โดยเฉพาะที่ จังหวัดสมุทรสงคราม หรือที่ อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
กระบวนการเกิด “ดอกเกลือ”
เริ่มในช่วงเช้าขณะพระอาทิตย์ส่องแสงอ่อน ๆ น้ำทะเลในผืนนาเกลือจะถูกแดดและลมพัดให้แห้งจนได้ความเค็มประมาณ 20-25 ดีกรี  สิ่งแวดล้อมและอุณหภูมินี้ น้ำทะเลที่ชาวนาเกลือนำมาขังไว้จะเกิดเกสรเกลือ หรือ เกลือแรกเริ่มตกผลึก ที่ชาวนาเกลือเรียกว่า ดอกเกลือ 

ดอกเกลือนี้ จะเป็นผงเล็กๆ ลอยจับตัวกันเป็นแพอยู่เหนือน้ำในผืนนาเกลือ หากมีลมพัดมา ดอกเกลือนั้นมักจะลอยมาอยู่ตามขอบคันนา  ดังนั้นชาวนาเกลือจึงต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบช้อนดอกเกลือขึ้นมา ก่อนที่แสงแดด และสายลมจะทำให้ดอกเกลือจมลงด้านล่าง

กล่าวกันว่า ดอกเกลือที่ เก็บได้ในเวลาเช้าตรู่นี้จะมีไอโอดีนสูง มีสีสันขาวเป็นประกายแวววาว รสชาติเค็มอมหวาน เป็นดอกเกลือที่สะอาด เพิ่งเกิดใหม่ๆ ไม่ได้สัมผัสกับพื้นดิน หรือตากลม ตากฝุ่นอยู่นาน มีแร่ธาตุต่างๆสูงมาก จึงมีคุณภาพสูง อีกทั้งเพราะมีปริมาณน้อย ราคาจึงแพง

โดยปกติแล้วเกลือแกงบริโภค หากขายปลีกจะตกอยู่ที่ กิโลกรัมละ 4-5 บาท แต่หากเป็นดอกเกลือนี้จะราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 10 - 15 บาท   ส่วนราคาของ Fleur de Sel ของฝรั่งเศส  ราคาแพงเป็นหนึ่งร้อยเท่าของเกลือป่นผ่านกรรมวิธีที่ใช้บนโต๊ะอาหาร และ แพงเป็นสิบเท่าของเกลือทะเลธรรมดาๆ

ดอกเกลือ จึงเปรียบเสมือนอัญมณีที่ล้ำค่าของชาวนาเกลือ ซึ่งเป็นที่หวงแหนมาก เพราะมีน้อย ชาวนาเกลือจึงเก็บดอกเกลือไว้ใช้เองทั้งบริโภค และประทินผิวพรรณเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านของชาวนาเกลือ เก็บไว้ล้างแผลบ้าง เก็บไว้แจกจ่ายญาติพี่น้อง

ชาวนาเกลือ จะใช้ดอกเกลือ ในการทำกับข้าวแทนการใช้น้ำปลา และนำมาคลุกปลาย่าง เนื้อย่าง  ส่วน
พ่อครัวฝรั่งเศสชอบใช้ ดอกเกลือ ในการโรยหน้าอาหาร ก่อนเสิร์ฟ เพื่อเพิ่มรสชาติ

 
นอกจากดอกเกลือแล้ว  การแยกจำแนกเกลือที่ได้จากการทำนาเกลือ ซึ่งจะเกิดขึ้นตามขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำนาเกลือ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน
  1. เกลือขาว เกลือที่อยู่ส่วนบน ของกองเกลือขึ้นไป เพราะมีความขาวสะอาดกว่าที่อยู่ส่วนฐาน นิยมนำนำไปใช้เพื่อใช้ปรุงอาหาร
  2. เกลือกลาง เกลือที่อยู่ส่วนกลาง จะมีสีที่เข้มกว่าเกลือขาว นำไปใช้ ในการดองผัก และใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ
  3. เกลือดำ เกลือที่อยู่ส่วนล่าง ของกองเกลือเนื่องด้วยมีการปนของดินจากพื้นท้องนาเกลือ เกลือส่วนนี้จะถูกนำไปขาย เพื้อเป็นส่วนประกอบของปุ๋ย หรือชาวเกษตรกรนำไปบรรจุใส่ถุง ฝังลงโคนต้นไม้ผล ในช่วงผลไม้ออกดอก เพื่อให้ผลที่ได้มีความหวานมากยิ่งขึ้น
  4. เกสรเกลือตัวผู้ เกิดจากการตกผลึก มีลักษณะผลึกเป็นเกล็ด ๆ ยาวแหลม ใช้ในการทำ "สปาผิว" หรือใช้เป็นส่วนผสมของยา โดยเฉพาะยาสีฟัน
  5. เกสรเกลือตัวเมีย เกิดจากการตกผลึก เช่นกัน แต่จะมีลักษณะผลึกทรงเหลี่ยมแบน ใช้ในการดองผัก ดองน้ำปลา
  6. ดีเกลือ เป็นเกลือที่มีความเข้มข้นสูง กว่า 27 ดีกรี และจะตกผลึกในช่วงกลางคืนที่มีอากาศเย็นลง ชาวนาเกลือจะเก็บดีเกลือในช่วงเช้า ก่อนที่ความร้อนจะละลายดีเกลือ ไปกับน้ำ ใช้ในส่วนประกอบของยาระบาย และใช้ในส่วนผสมการแข็งตัวของเต้าหู้
  7. เกลือจืด เป็นเกลือที่มีความเค็มต่ำ ซึ่งมักทำในช่วงฤดูฝน เมื่อเกลือมีน้ำจืดเจือปน และตกผลึกพอที่จะร่อนแยกเอาเฉพาะเกลือจืดเท่านั้น ใช้ในอุตส่าหกรรมยิบซั่ม หรือสมัยก่อนอาจจะคุ้นเคยกับกระปุกออมสินโบราณ 
  8. ขี้แดดนาเกลือ เผ็นผิวดินสุดท้ายหลังจากการทำนาเกลือ เมื่อนาเกลือแห้งและเริ่มร่อนเป็นแผ่น นิยมไปใส่เป็นปุ่ยในไร่สวนผลไม้ต่าง ๆ   

สุดท้ายนี้ น้องขอขอบคุณ
เจ้เค่ย.      คุณกาญจนา รงคะประยูร
เจ้เนี้ยว.    คุณจารีต องคะสุวรรณ
เจ้เหน่ง.    คุณศิรี  ศิริผันแก้ว
พี่ปิ้ด.       คุณอุไรวรรณ จันทร์ผ่อง
พี่ยักษ์      คุณพยัคฆ์ วรศิริ
พี่ปื้ด.       คุณสมยศ สรรพอุดม

ที่ช่วยดูแลหนู ในช่วงเด็กมาด้วยดี ความสำเร็จในชีวิตของน้องคนนี้  
ส่วนหนึ่ง มาจากการสั่งสอนอบรมจากทุกท่านค่ะ

                     Lily Huahin
 

กลับเมืองเพชร กันเถอะ คิดถึงบ้านแล้ว



ขอขอบคุณรูป และข้อมูลจาก 
http://ladluang.blogspot.com/2009/06/blog-post_7740.html

4 ความคิดเห็น:

  1. like like like Ka
    อ่านเพลินได้ความรู้ตามไปด้วย แต่จะรู้ได้ไงว่าเป็นดีเกลือก็ไปช้อนตอนเช้าเหมือนกัน สีสันรูปทรงมันต่างกันตรงไหนถ้าไม่ชิมว่ามันเค็มกว่ากัน

    ตอบลบ
  2. ดอกเกลือ จะลอยอยู่บนผิวน้ำ เกล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆคล้ายเกลือป่น สีขาวสะอาดไม่มีดินปน
    ว่างๆ ....ช่วยเดินมาที่บ้านเจ้นะ จะแบ่งให้ชิมสักชาม

    ตอบลบ
  3. ดอกเกลือ ต้องลอง ต้องลอง

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ9 สิงหาคม 2566 เวลา 21:06

    ยังไม่ได้อ่านเลย

    ตอบลบ