หลายครั้งที่ฉันตัดสินใจเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยว เพียงเพื่อจะดูบ้านเมืองเก่าๆ บางเมืองให้ความรู้สึก อิน
กับบรรยากาศของเมืองเสียจนหลงคิดว่า ฉันเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนในห้วงหนึ่งของกาลเวลา แต่พอไปเที่ยวเมืองเก่ามาหลายต่อหลายเมือง ก็บรรลุแล้วว่า มันเป็นแค่ความหลงไหลส่วนตัวเท่านั้น ความจริงคือ ฉันมิเคยไปเกิดอยู่ที่แห่งใดเลย
นอกจากที่บ้านของฉัน
อย่างไรก็ตาม
การได้ไปเดินอยู่ในเมืองเก่าที่ยังมีชีวิต
นับเป็นความสุขล้นเปี่ยมที่หายากยิ่ง ไม่ใช่ว่าใครๆก็ไปได้ เพราะแต่ละแห่งช่างอยู่ ห่างไกลเหลือเกิน การไปเที่ยวเมืองเก่าของจีนที่ชื่อ “
เมืองลี่เจียง” ที่เป็นความฝันมาหลายปี ก็กลายเป็นจริงขึ้นมาในปีนี้เอง
แม้เส้นทางที่ไป “เมืองลี่เจียง” จะต้องผ่านสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกหลายแห่ง
แต่ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันมากนัก
ตลอกการเดินทางฉันเฝ้ารอวันที่จะไปให้ถึงเมืองนี้โดยเร็ว และเมื่อมีคนถามถึงแผนการเดินทางครั้งนี้ ฉันกลับตอบไม่ถูกว่าไปที่ไหนบ้าง รู้เพียงว่า
ฉันจะไป ลี่เจียง
ลี่เจียง
(Lijiang) ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน
มีจำนวนประชากรราว 1,100,000 คน ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวน่าซี
เมืองลื่เจียง มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี ในอดีตเป็นตลาดค้าขายสินค้าหลักที่สำคัญ
บนเส้นทางสาย Tea Horse ซึ่งหมายถึง Chinese Tea
& Tibetian horse หมายถึงการนำใบชาจีนบรรทุกบนหลังม้าธิเบต เพื่อนำไปขายยังดินแดนธิเบต
ลี่เจียง
มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก จากการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ในเดือน กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งทำให้เมืองถูกทำลายเป็นพื้นที่ถึงหนึ่งในสาม หลังจากนั้น ความช่วยเหลือหลั่งไหลมาสู่เมืองลี่เจียง
จึงทำให้หลาย ๆ คนรู้จัก เมืองนี้ดี และด้วยความงดงามของ
ธรรมชาติ รวมทั้งศิลปะ วัฒนะธรรม ไม่ว่าจะเป็น ตัวเมืองโบราณต้าเหยียนที่มีอายุกว่า 800 ปี สายน้ำใสบริสุทธิ์ 3 สายที่ไหลผ่านเมือง
และอาคารบ้านเรือนโบราณอายุนับร้อย ๆ ปี หรือวิถีชีวิตผู้คนยังคงดำเนินไปเหมือนเช่นอดีต
จนได้รับการขนานนามว่า เวนิสแห่งตะวันออก และสามารถรักษารูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติมาได้โดยตลอด จึงได้รับการเชิดชูจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลก
ในปี 2540
คำขวัญประจำเมือง
:
ฝนฟ้าหอมอวล ลี่เจียงแห่งฝัน ห้วงยามอ่อนโยน สุขใจที่ลี่เจียง
สถานที่ท่องเที่ยวใน ลี่เจียงที่มีชื่อเสียงคือ
ภูเขาหิมะมังกรหยก
โชว์จางอวี้โหมว
อุทยานน้ำหยก
สระมังกรดำ ( ปกติจะมีน้ำเต็ม แต่ปีนี้โชคร้ายไม่มีน้ำให้ดูจ๊ะ)
ที่ฉันอยากจะบอกคือ แม้ฉันจะได้ไปชมสถานที่เหล่านั้นมาจนหมดแล้วก็ตาม แต่ ....ฉันไม่ได้มาเพื่อสิ่งเหล่านี้
เพราะ คำว่า “ลี่เจียง” ที่อยู่ในความปรารถนาของฉันนั้น มิใช่เมือง ลี่เจียงโดยรวมทั่วไปทั้งหมด
ฉันมาเพียงเพื่อได้เห็น “เมืองโบราณลี่เจียง”
เมืองเก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของโลกสมัยใหม่ และรายล้อมด้วยธรรมชาติ เต็มเปี่ยมไปด้วยตำนานแห่งขุนเขาและท้องทุ่ง เท่านั้น
เมืองโบราณลี่เจียง มีชื่อ อย่างเป็นทางการว่า เมืองเก่าต้าเหยียน ตั้งอยู่ในอำเภอปกครองตนเองชนชาติน่าซีแห่งลี่เจียง
ในมณฑลยูนนาน เป็นเมืองที่เริ่มสร้างตั้งแต่ปลายราชวงศ์ซ่งและต้นราชวงศ์หยวน (ช่วงปลายศตวรรษที่ 13) ผู้ที่ทำให้เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งคือ “ กุบ ไบข่าน”
กษัตริย์องค์แรกของราชวงค์หยวน ในยุคนั้น
เมืองลี่เจียงนับเป็นศูนย์กลางการค้า
ตลอดจนศิลปและวัฒนธรรม
โดยเฉพาะด้านการเดินทาง เมืองนี้นับเป็นประตูสู่ดินแดนห่างไกล เช่น
ธิเบต อินเดีย และตะวันออกไกล
ตัวเมืองโบราณลี่เจียง อยู่บนที่ราบสูงยูนนานและกุ้ยโจวที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกิน 2400 เมตร มีพื้นที่กว้าง 3.8 ตารางกิโลเมตร
เป็นตลาดและเมืองสำคัญที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบัน มีชาวเมืองกว่า 6,200
ครอบครัว รวม 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวน่าซี
มีชาวเมือง ร้อยละ 30 ยังคงประกอบอาชีพผลิตเครื่องศิลปหัตถกรรมที่มีมาแต่ดั้งเดิมและการค้า
เช่น เครื่องทองเครื่องเงิน หนังสัตว์ สิ่งทอและ ผลิตเหล้า
ลี่เจียงเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 800 ปี โดยสามารถรักษารูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติมาได้โดยตลอด ลี่เจียงเป็นเมืองที่มีชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มอาศัยอยู่
จึงเป็นแหล่งรวมสุดยอดสถาปัตยกรรมของชนชาติฮั่น ชนเผ่าไป๋ อี๋ และทิเบต ทั้งยังสะท้อนถึงสีสันของชนเผ่าน่าซีอีกด้วย
สิ่งก่อสร้างสมัยโบราณ เช่น ซุ้มประตู สระน้ำตันฉือ ตำหนักใหญ่ ฯลฯ รายเรียงตามเส้นผ่าศูนย์กลางของเมืองจากตะวันออกสู่ตะวันตก
โดยทางตอนเหนือของเมืองเป็นย่านการค้า
ลักษณะเด่นของเมืองลีเจี่ยงคือ "น้ำมีเมืองยัง
เมืองยังน้ำอยู่" สายน้ำในเมืองเก่าลี่เจียง มาจากสระมังกรดำ ( Heilongtan- บ่อเฮยหลงถัน ) ไหลตามลำธารคดเคี้ยวสู่บ้านเรือนทุกหลังจากเหนือจรดใต้
ความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินริมสองฝั่งน้ำ 3
สายที่ไหลผ่านเมืองลี่เจียง
มีคนเปรียบว่าเสมือนสายน้ำหมึกสีหยกที่วาดลงบนผืนแผ่นภาพที่งดงาม
แม่น้ำเหล่านี้มีสะพานหินและสะพานไม้ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างไม่ซ้ำแบบกัน
เป็นทางที่เชื่อมเชื่อมถนนและตรอกซอยน้อยใหญ่ ประกอบกันขึ้นเป็นทิวทัศน์ของเมืองเหนือน้ำที่มีเอกลักษณ์
สิ่งนี้จึงเป็นความลี้ลับที่เมืองโบราณแห่งนี้สามารถรักษาพลังชีวิตอัน คึกคักไว้ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่นับว่าแปลกกว่า
เมืองโบราณอื่นคือ เมืองลี่เจียงเป็นเมืองที่ไม่มีกำแพงปกป้องเมือง
แต่ก็ยังสามารถรักษาเมืองให้มีสภาพเดิมมาได้จนทุกวันนี้
สถาปัตยกรรม
จากการผสมผสานด้านวัฒนธรรมระหว่าง
ชนชาติหลายเผ่าพันธุ์
โดยเฉพาะจากชนกลุ่มใหญ่ในดินแดน คือ ชนเผ่า น่าซี จึงส่งผลให้เกิดศิลปสถาปัตยกรรม
วัฒนธรรมร่วมกัน มีทั้ง สถาปัตยกรรมแบบ ฮั่น
ไบ๋ และธิเบต
รวมกันอยู่ในสิ่งก่อสร้าง สท้อนออกมาให้เห็นในลักษณะอาคารบ้านเรือนของชาวลี่เจียง ซึ่งดูโดดเด่นสวยงามแตกต่างจากเมืองอื่น เราเรียกอาคารเหล่านี้ว่าเป็น บ้านแบบน่าซี
แผนผังของเมืองโบราณลี่เจียง เป็นแบบฟรีสไตล์
และปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
บ้านเรือนที่พักอาศัยถูกสร้างอยู่ติดกันเป็นห้องแถว มีหลากหลายรูปแบบตามใจเจ้าของ ถนนส่วนใหญ่เล็ก แคบ และวกวน
หากมิใช่ชาวเมืองที่คุ้นเคย
อาจหลงทางในเมืองนี้ได้
ชาวน่าซี ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการตกแต่งลวดลายสิ่งก่อสร้าง บ้านเรือนมักสร้างด้วยท่อนไม้ซุง
และกระเบื้องเผา ภายในบ้าน เสา คาน ประตู หรือผนังห้องจะถูกแกะสลัก
หรือวาดภาพไว้อย่างงดงาม
ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่เกี่ยวกับธรรมชาติ
นอกจากบ้านห้องแถวที่เป็นแหล่งค้าขายแล้ว บ้านพักอาศัยจะมีกำแพงล้อมรอบ
มีสวนกลางบ้านที่ร่มรื่น
นับเป็นบ้านที่งดงามเหมาะสมสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ภายในเมืองโบราณลี่เจียง มีคฤหาสน์ใหญ่ที่งดงามหลายแห่ง แห่งหนึ่งคือคฤหาสน์มู่ฝู่ ซึ่งเดิมเป็นศาลาว่าการของเจ้าผู้ครองแคว้นตระกูลมู่ในเมืองลี่เจียง
ที่สร้างขึ้นเมื่อสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ.1271-ค.ศ.1368)
ต่อมาในปี 1998 ได้สร้างใหม่ ทั้งเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์เมืองลี่เจียง คฤหาสน์นี้มีพื้นที่กว้าง
46 โหม่ว ภายในคฤหาสน์มีห้องทั้งใหญ่และน้อยรวม 162 ห้อง ภายในคฤหาสน์ยังมีแผ่นป้ายคำขวัญที่จักรพรรดิสมัยต่าง ๆ
พระราชทานมาแขวนไว้ 11 แผ่น แสดงถึงประวัติการเปลี่ยนแปลงของตระกูลมู่จากความเจริญสูงสุด
สู่ความเสื่อมโทรมของยุคสมัย
น้ำคือหัวใจของเมืองลี่เจียง
ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนชาวเมืองโบราณลี่เจียง
ขึ้นอยู่กับลำน้ำที่ไหลผ่าน ดูเหมือนว่า
แม่น้ำคือเส้นเลือดของพวกเขา
จุดเริ่มต้นของลำน้ำเหล่านี้ คือสระมังกรดำ (บ่อเฮยหลงถัน)
ซึ่งรับน้ำมาจากขุนเขามังกรหยก
จากแหล่งน้ำนี้เอง ลำน้ำเล็กๆก็แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย โดยถนนทุกเส้น
บ้านทุกหลังในเมืองเก่าลี่เจียง จะมีสายน้ำไหลผ่านหน้าบ้าน แต่ละบ้านจะสร้างท่อส่งน้ำเข้าใช้ในบ้าน
ดูเหมือนใยแมงมุม หรือร่างแหที่ไขว้ไปมา
ต้นหลิวถูกปลูกกระจายทั่วไปในเมืองแทบทุกถนน โดยเฉพาะที่ริมคลองส่งน้ำ เป็นภาพที่งดงาม
ให้ความรู้สึกที่อ่อนพลิ้วไหวคล้ายรูปภาพวาดขนาดยักษ์ที่ถูกเขียนขึ้น และสิ่งที่สวยงามที่จะสามารถพบเห็นได้ตลอดสายน้ำคือ สะพานหลายหลากรูปแบบ ที่งามแตกต่างกันไป ถึง 354 สะพาน เฉลี่ยแล้วแต่ละตารางกิโลเมตรมี
93 สะพาน สะพานมีหลายรูปแบบ
แต่ละสะพานมีลักษณะโดดเด่นไม่สามารถเลียนแบบได้
สะพานที่มีชื่อเสียงคือ สะพานสั่วฉุ้ย สะพานต้าสือ สะพานว่านเชียน สะพานหนานเหมิน
สะพานหม่าอัน และ สะพานหรินโซ่ว ต่างก็เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเมื่อสมัย ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง(ศตวรรษที่ 14-ศตวรรษที่ 19) ในสะพานเหล่านี้
สะพานต้าสือที่ห่างจาก ถนนสื้อฟางไปทางตะวันออก 100 เมตร
เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุด
วัฒนธรรมการใช้น้ำในการอุปโภค และ
บริโภคของผู้คนในเมืองนี้ มีมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเมือง
จนถึงปัจจุบัน ที่ทุกบ้านจะสร้างท่อส่งน้ำ
หรือประตูน้ำเข้าบ้าน ตามหลักการของวิทยาการ
โดยจะสร้างไว้ 3 ท่อ จากต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ท่อที่1
มาจากต้นน้ำใช้เป็นน้ำสำหรับบริโภค
ท่อที่ 2 มาจากกลางน้ำ เป็นน้ำสำหรับใช้อาบชำระร่างกาย
และพืชผักผลไม้ที่นำมาทำอาหาร
ท่อที่ 3 ไว้ใช้ซักล้างเครื่องนุ่งห่ม
นอกจากจะใช้ประโยชน์จากน้ำในชีวิตประจำวันของชาวเมืองแล้ว ลำน้ำยังสร้างความสวยงาม สงบ ร่มเย็นให้แก่ตัวเมืองอีกด้วย
แม้เคยมีคำกล่าวชมเมืองซูโจว (ทางภาคกลาง
) ว่า “
ฟ้ามีสวรรค์ โลกมนุษย์มีซูโจว ” แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองลี่เจียง แล้ว เมื่องนี้ยังสวยเกินกว่าเมืองซูโจว
มากมายนัก
ถนนสายลี่เจียง
จากทางเข้าเมือง ( ไม่มีกำแพงเมือง ) เมื่อข้ามสะพานเข้ามา
จะพบกับลานกว้าง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของถนนหลัก 4
สายซึ่งแผ่ขยายเส้นทางออกไปตามลำน้ำ
จากถนนเส้นหลักทั้ง 4 จะมีตรอกซอกซอยแอบอยู่ทั้งสองข้างถนน
มากจนไม่สามารถนับได้ เป็นที่แปลกใจ
ที่แต่ละซอยสามารถโยงใยทะลุถึงกันได้ทุกมุมเมือง
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่แปลกเลย
ที่คนต่างถิ่นจะหลงทิศหลงทางในเมืองนี้
แต่มีคนให้หลักว่า หากจะกลับออกมาจากเมือง
ให้มองหาลำน้ำ และเดินทวนกระแสน้ำขึ้นมา ก็จะมาถึงปากทางเข้าเมือง ซึ่งมีกังหันใหญ่ที่คอยทดน้ำเข้าเมือง
อย่างง่ายดาย
ถนนหนทางในเมืองลี่เจียงสร้างขึ้นตามเชิงเขาและริมน้ำ
ปูผิวถนนด้วยแผ่นหินสีดำ ที่ไม่เฉอะแฉะในฤดูฝน
และไม่มีฝุ่น ในฤดูแล้ง ก้อนหินที่ปูถนนนี้สกัดจากภูเขาในดินแดนของลี่เจียง
เป็นก้อนหินที่แข็งแกร่ง
ทำให้เมืองนี้ยังคงมีบรรยากาศที่มีเสน่ห์ของเมืองเก่าที่ลึกลับไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
การทำความสะอาดถนนจะมีขึ้นทุกวัน
ด้วยการเปิดประตูน้ำที่ส่งน้ำจากคลอง มาล้างถนนในช่วงดึกของทุกคืน งานนี้ดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรของคนเมืองนี้มาช้านาน
และยังคงสืบทอดกันมายังคนรุ่นใหม่ ถนนที่มีชื่อเสียงของเมืองคือ
ถนนซื่อฟัง ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเป็นตัวแทนถนนโบราณในเมือง ลี่เจียง
ฉันโชคดีที่มีโอกาสใช้เวลาสั้นๆที่เมืองนี้ ฉันชอบความรู้สึกในยามที่ฉันเดินบนถนนของเมืองลี่เจียง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองในสมัยก่อน เห็นขบวนม้าบรรทุกสินค้าเดินช้าๆเป็นแถว ขบวนแล้วขบวนเล่า
ต่างข้ามสะพานหินที่แข็งแรง มุ่งหน้าเข้าสู่เมือง
บนถนนสายแคบๆที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ เรียงรายด้วยร้านค้าใหญ่น้อย แออัดไปด้วยผู้คน
วันนี้ ในยามเช้าตรู่ บนถนนสายแคบๆที่ไร้ผู้คน ฉันมองเห็นภาพขบวนสินค้าผ่านไป
เสียงเกือกม้าสัมผัสกับก้อนหินดังกึกก้องไปไกล ฉันก้มลงสัมผ้สก้อนหินบนถนน วันแล้ววันเล่าที่ก้อนหินเหล่านี้ นอนสงบนิ่งรับใช้ชาวเมืองลี่เจียง จากก้อนหินสี่เหลี่ยมที่หยาบและคม
กลายมาเป็นก้อนหินที่เรียบเลื่อม
เพราะสึกกร่อนจากการใช้งานมานานมากกว่า 800 ปี
ขณะเดินคนเดียวบนถนนที่เงียบสงบ บรรยากาศทำให้ เพลงๆหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ฉันไม่อยากจะปลุกเมืองนี้ให้ตกใจตื่น จึงเดินร้องเพลงให้ตัวเองฟังเบาๆ
Hello
darkness, my old friend,
I've come with talk with you
again
Because a vision softly creeping,
Because a vision softly creeping,
left its seeds while I was
sleeping
And the vision that was planted in my brain, still remains
Within the sound of silence
In restless dreams I walked alone,
And the vision that was planted in my brain, still remains
Within the sound of silence
In restless dreams I walked alone,
narrow streets of cobblestone
Neath the halo of a streetlamp,
Neath the halo of a streetlamp,
I turned my collar to the
cold and damp
When my eyes were stabbed by the flash of a neon light, split the night
And touched the sound of silence
And in the naked light I saw,
When my eyes were stabbed by the flash of a neon light, split the night
And touched the sound of silence
And in the naked light I saw,
ten thousand people, maybe
more
People talking without speaking,
People talking without speaking,
people hearing without
listening
People writing songs that voices never shared, and no one dared
To stir the sound of silence
Fool, said I, you do not know,
People writing songs that voices never shared, and no one dared
To stir the sound of silence
Fool, said I, you do not know,
silence, like a cancer, grows
Hear my words and I might teach you,
Hear my words and I might teach you,
take my arms then I might
reach you
But my words, like silent raindrops fell,
But my words, like silent raindrops fell,
and echoed in the wells of
silence
And the people bowed and prayed to the neon god they'd made
And the sign flashed out its warning in the words that it was forming
And the sign said the words of the prophets are written on the subway walls
And tenement halls, and whispered in the sounds of silence
And the people bowed and prayed to the neon god they'd made
And the sign flashed out its warning in the words that it was forming
And the sign said the words of the prophets are written on the subway walls
And tenement halls, and whispered in the sounds of silence
เพลง : The Sound Of Silence
ชาวเมืองลี่เจียง กล่าวว่า “ หากได้มาลี่เจียงแม้เพียงครั้งเดียว เมืองนี้จะเข้าไปอยู่ในใจคุณจนตลอดชีวิต ” และแน่นอนว่า ฉันคงต้องยอมรับคำพูดนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง ขอสารภาพว่า
ขณะนั่งอยู่บนเครื่องบินเที่ยวกลับเมืองไทย ฉันก็เริ่มคิดหาเหตุผลที่จะมา
“ลี่เจียง” และ ทุกครั้งที่ดูรูป
“ลี่เจียง” ฉันยังคงได้ยินเสียงคร่ำครวญของกาลเวลา ที่เรียกหาให้กลับไปอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
หลงเสน่ห์ลีเจียง...เพียงเข้ามาเห็นและไ้ด้อ่านนึกตามภาพบรรยายอารมณ์ก็คล้อยตาม อยากไป อยากไป ภาษาสวยภาพงามอ่านแล้วมีความสุขจริงๆเมื่อไรจะได้ไปบ้างหนอ...
ตอบลบเอาเวสป้า ไปตึ๊ง..เป็นค่าตั๋วเด่ ....ฮา ฮา
ตอบลบ