เที่ยวอีสาน ตอนที่ – 2
“ โฮบบายละเงี๊ยด”
เมื่อลงมาจาก “ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง” ใช้เวลาไม่นานนักเราก็มาถึง “ ปราสาทเมืองต่ำ” ซึ่งเป็นที่ที่เราจะรับประทานอาหารค่ำ ท่ามกลางบรรยากาศอันสุดยอดแห่งความอลังการณ์ “ ปราสาทเมืองต่ำ” นี้เป็นปราสาทขนาดเล็กกว่าปราสาทหินเขาพนมรุ้ง แต่เราไม่ค่อยได้เห็นตัวปราสาทมากนัก เพราะเรามาในช่วงกลางคืน และเพื่อให้เข้าบรรยากาศ ทางผู้จัดงานได้แจก “ เสื้อม่อฮ่อม” สีน้ำเงินแบบพื้นบ้านให้กับทุกคนในคณะเพื่อใส่มาร่วมงาน
การจัดงานคืนนี้จัดในแบบบรรยากาศขอมโบราณ ด้วยการนำแขกบ้านแขกเมืองเข้าสู่บรรยากาศของท้องถิ่นตั้งแต่ก้าวแรกที่คณะของเรามาถึงบริเวณงาน ด้วยการจัดขบวนนักรบโบราณมาคอยต้อนรับ โดยใช้แสงจากการจุดไต้และคบเพลิงเดินนำขบวนชาวคณะ เพื่อเดินเข้าสู่ ปรัมพิธี “ บายศรีสู่ขวัญ” ที่ศักดิ์สิทธิ์ ตลอดสองข้างทางที่เราเดินผ่านไปจะมีนักรบขอมโบราญยืนถือดาบและคบเพลิงอยู่ในมือเพื่ออารักขาแขกของงาน แต่เนื่องจากทางเดินมีเพียงแสงไฟที่น้อยมาก หลายครั้งที่ดิฉันต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าดำๆของนักรบที่โผล่ออกมาจากความมืด
คณะของเราเดินเข้าสู่บริเวณลานกว้างของปราสาท
อันเป็นที่จัดงานที่ชื่อ “
โฮบบายละเงี๊ยด” (เป็นภาษาขอมโบราณที่หมายถึงการรับประทานอาหารมื้อใหญ่นั่นเอง
) บรรยากาศของงานนี้เป็นบรรยากาศเดียวกับที่จัดรับแขกระดับประเทศ และต่างประเทศ หากมีฝรั่งมาร่วมงาน
เขาจะเรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า “ โฮบบายดินเนอร์” ซึ่งก็เก๋ไปอีกแบบ
ขณะนั่งรับประทานอาหารใต้แสงดาวบนยอดเขา คณะจัดงานได้นำเสนอการแสดงที่เรียกว่า “ กันตรึมเขมรโบราญ”
โดยคณะนักแสดงพื้นเมืองที่ได้รางวัลพระราชทานมาแล้ว การแสดงทั้งหมดเป็นการเล่าเรื่องประวัติของเมืองและปราสาทแห่งนี้
การแสดงยิ่งใหญ่โอฬารตระการตามาก นับเป็นการเปิดตำนานแห่งประวัติศาสตร์ให้เราได้เห็นถึงช่วงแห่งกาลเวลาที่
ผ่านมาในอดีต ดิฉันนึกถึงการแสดงโอเปร่าของประเทศตะวันตก เพราะการร้องเพลงเก่าแก่ของท้องถิ่น
น้ำเสียงอันมีพลังของนักแสดงช่างบาดใจผู้ฟังเหลือเกิน บรรยากาศโดยรวมแล้วทุกชุดของการแสดงเป็นที่ถูกใจของผู้ร่วมงาน
เป็นอย่างยิ่ง
นอกจากบรรยากาศของงานจะโบราณแล้ว อาหารของเราคืนนั้นก็ออกจะโบราณไปด้วย
และหลายอย่างเป็นอาหารที่ได้รับประทานเป็นครั้งแรกของชีวิต เช่น น้ำพริกกุ้งจ่อม ลาบหมกปลาตอง( คล้ายห่อหมก) และ ต้มส้มไก่ใบมะขามอ่อน ซึ่งทุกอย่างก็อร่อยดี แต่ด้วยความที่คณะของเราต้องเดินขึ้นลงเขาหลายลูก
ทุกคนจึงตาลายเห็นอาหารจานเล็กลงกว่าปกติไป คณะจัดงานก็รู้ใจจึงนำอาหารพิเศษมาเสริมให้
ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจดิฉันเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่นำมานั้นคือ “ ขาหมูลำปลายมาศ” และ “ หมูเค็ม”
จำไม่ได้ว่าตักไปกี่ครั้ง โชคดีที่บรรยากาศของงานไม่ใช้แสงไฟฟ้ามาก
จึงอาศัยความมืดแอบตักขาหมูมาหลายชิ้น จนนึกสงสารผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะที่รู้ไม่เท่าทัน
จึงต้องรับประทานแต่ผักเครื่องเคียงที่น้ำพริกหมดไปนานแล้ว ก็ได้แต่หวังว่ากรรมคงไม่ตามมาทันเร็วนัก
หลายท่านคงคิดว่าเมื่องานเลี้ยงจบ คณะของเราคงเลิกลากันไปนอน แต่ท่านคิดผิดเสียแล้ว
เพราะหลังจากเรากลับมาถึงโรงแรมที่พัก คณะจัดงานได้เตรียมอาหารว่างก่อนนอนไว้ให้พวกเราได้รับประทานกัน
( คงจะรู้ทันว่าชาวคณะเดินขึ้นเดินลงเขาหลายลูกกระมัง) แม้จะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้รับประทานมากนัก เพราะกลัวสุขภาพจะดีเกิน
แต่ก็ต้องตบะแตกเมื่อมาพบกับของแปลกอีกอย่างของเมืองนี้คือ “ เต้าส่วนปาท่องโก๋” เจ้าอร่อยเพียงเจ้าเดียวในแถบภาคอีสาน
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อก็นึกภาพไม่ออกว่าเจ้าอาหารสองสิ่งนี้จะสามารถ
ไปด้วยกันอย่างสามัคคีได้หรือไม่ และเมื่อเห็นของจริง ก็จดๆจ้องๆด้วยความไม่แน่ใจว่ารสของมันจะแปลกประหลาดขนาดไหน
แต่เมื่อตักคำแรกเข้าปาก คำต่อๆไปก็ตามมาจนกลายเป็น สองและสามถ้วย ความอร่อยแปลกๆของขนมชนิดนี้อยู่ตรงที่
เราได้ลิ้มรสความหวานของขนมที่ทำจากถั่วเขียวที่ปรุงอยู่ในน้ำหวาน ซึ่งข้นด้วยแป้งข้าวโพด ราดหน้าด้วยกะทิหอมหวาน
แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รสความเค็มของ ปาท่องโก๋ที่ตัดเป็นชิ้นๆโรยหน้า เวลารับประทานพร้อมๆกันจะอร่อยมาก
แปลกจริงๆ
คืนนั้นดิฉันกลับขึ้นห้องนอนด้วยความสำนึกผิดที่รับประทานแบบไม่คิดชีวิต แต่เมื่อทำไปแล้วก็ต้องยอมรับผิดแต่โดยดี ขณะที่นั่งปลงอยู่นั้น รูมเมทคนที่ถูกหลอกให้มาเป็นคู่นอนของดิฉัน ก็นำเอาถุงข้าวสารมาอวด ทำให้รู้ว่าในทุกห้องพักจะมีข้าวหอมมะลิอย่างดีพันธุ์พื้นเมืองของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ผู้จัดฯวางไว้ให้ชาวคณะของเราทุกคน ซึ่งเป็นของที่ระลึกที่ชิ้นใหญ่มาก เพราะหลังจากกลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็อาศัยรับประทานไปได้หลายมื้อ
ความที่ข้าวชนิดนี้เป็นข้าวหอมมะลิพันธุ์แท้ ความหอมของข้าวจึงขจรขจายไปทั่วห้องนอน ที่ได้กลิ่นก็เพราะถุงข้าวของรูมเมทดิฉันโชคร้ายโดนสะกิดเป็นรูเล็กๆ เจ้ามดดำในห้องจึงพากันมารุมเข้าไปรับประทานข้าวหอมถุงนั้นจนแน่นไปหมด ความเสียดายข้าวจึงทำให้รูมเมท พยายามเปิดถุงออกมาและไล่มดด้วยทุกกรรมวิธีที่เธอจะสามารถทำได้ และในที่สุด ด้วยความที่เธอเป็นบุคคลคุณภาพไปในทุกเรื่อง เธอจึงเอาชนะมดได้สำเร็จและเทข้าวหอมมะลิที่แย่งมดมาได้นั้นไว้ในถุงใส่เสื้อผ้า แล้วแอบไว้ในกระเป๋าเดินทาง (กลัวมดเห็น)
คืนนั้นดิฉันกลับขึ้นห้องนอนด้วยความสำนึกผิดที่รับประทานแบบไม่คิดชีวิต แต่เมื่อทำไปแล้วก็ต้องยอมรับผิดแต่โดยดี ขณะที่นั่งปลงอยู่นั้น รูมเมทคนที่ถูกหลอกให้มาเป็นคู่นอนของดิฉัน ก็นำเอาถุงข้าวสารมาอวด ทำให้รู้ว่าในทุกห้องพักจะมีข้าวหอมมะลิอย่างดีพันธุ์พื้นเมืองของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ผู้จัดฯวางไว้ให้ชาวคณะของเราทุกคน ซึ่งเป็นของที่ระลึกที่ชิ้นใหญ่มาก เพราะหลังจากกลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็อาศัยรับประทานไปได้หลายมื้อ
ความที่ข้าวชนิดนี้เป็นข้าวหอมมะลิพันธุ์แท้ ความหอมของข้าวจึงขจรขจายไปทั่วห้องนอน ที่ได้กลิ่นก็เพราะถุงข้าวของรูมเมทดิฉันโชคร้ายโดนสะกิดเป็นรูเล็กๆ เจ้ามดดำในห้องจึงพากันมารุมเข้าไปรับประทานข้าวหอมถุงนั้นจนแน่นไปหมด ความเสียดายข้าวจึงทำให้รูมเมท พยายามเปิดถุงออกมาและไล่มดด้วยทุกกรรมวิธีที่เธอจะสามารถทำได้ และในที่สุด ด้วยความที่เธอเป็นบุคคลคุณภาพไปในทุกเรื่อง เธอจึงเอาชนะมดได้สำเร็จและเทข้าวหอมมะลิที่แย่งมดมาได้นั้นไว้ในถุงใส่เสื้อผ้า แล้วแอบไว้ในกระเป๋าเดินทาง (กลัวมดเห็น)
เหตุที่เล่ามานี้ ทำให้ดิฉันทราบถึงความหอมของข้าวหอมมะลิแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ขนานแท้ และด้วยความอร่อยเหนือข้าวชนิดอื่นๆที่เคยรับประทานมา ทุกครั้งที่หุงข้าวนี้ ไม่เคยเลยที่จะเหลือข้าวทิ้งไว้ในจานแม้แต่สักเมล็ดเดียว
และปัจจุบันก็พยายามหาซื้อยี่ห้อนี้แถวกรุงเทพฯ ซึ่งยังหาไม่พบ สงสัยคงต้องเดินทางไปซื้อที่บุรีรัมย์อีกกระมัง
คืนนั้นแม้ในท้องจะอุดมไปด้วย “ เต้าส่วน” แต่ดิฉันก็ยังไม่วายแอบฝันถึง ข้าวหอมมะลิที่หอมฟุ้งอยู่ในห้องทั้งคืน ราตรีแรกในบุรีรัมย์จึงจบลงอย่างสุขสบาย ขอนอนเอาแรงไว้ก่อน พรุ่งนี้ยังมีภาระที่ต้องออกสำรวจเมืองบุรีรัมย์อีกหลายที่
คืนนั้นแม้ในท้องจะอุดมไปด้วย “ เต้าส่วน” แต่ดิฉันก็ยังไม่วายแอบฝันถึง ข้าวหอมมะลิที่หอมฟุ้งอยู่ในห้องทั้งคืน ราตรีแรกในบุรีรัมย์จึงจบลงอย่างสุขสบาย ขอนอนเอาแรงไว้ก่อน พรุ่งนี้ยังมีภาระที่ต้องออกสำรวจเมืองบุรีรัมย์อีกหลายที่
ในที่สุดวันที่เราจะเดินทางกลับก็มาถึง
ดิฉันตื่นแต่เช้า ตั้งใจจะไปชมเมืองบุรีรัมย์
เพราะการออกไปชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองก็เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของดิฉันอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน และก็ไม่เสียเที่ยวที่ได้ออกไป เพราะได้เห็นสิ่งแรกที่ตั้งใจไว้อย่างสมใจ นั่นคือ อนุสาวรีย์ของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง
อันที่จริง เราได้ผ่านอนุสาวรีย์นี้แล้วเมื่อวันแรกที่มาถึง แต่ได้แต่มองท่านผ่านกระจกรถที่กำลังแล่นผ่านเท่านั้น เช้าวันนี้ มีโอกาสได้มายืนอยู่ต่อหน้าท่าน เพื่อชมและถ่ายรูป อย่างใกล้ชิดในใจคิดว่า หากเราไม่มาเมืองบุรีรัมย์ครั้งนี้แล้วละก็ เราจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเคยมาประทับที่เมืองนี้
เราทุกคนต่างทราบกันว่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่านเป็นนักรบ เรื่องราวของท่านจึงเกี่ยวข้องการการรบมายาวนาน
ช่วงหนึ่งในยุคของท่าน คือในช่วงอยุธยาตอนปลาย หัวเมืองที่ตั้งอยู่ในแถบที่ราบสูง
เช่น นครจันทึก เมืองชัยภูมิ เมืองพิมายและเมืองนางรอง อันมีพระยานางรองได้คบคิดกับเจ้าโอ
เจ้าอิน และอุปฮาด (
อุปราช) เมืองจำปาสัก แห่งเมืองลาว ตั้งตัวเป็นกบฎ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาจักรี ยกทัพไปปราบ และจัดระเบียบการปกครองเมือง
โดยรวบรวมเมืองในแถบนั้นมาตั้งขึ้นเป็นเมืองใหม่ ณ.ชัยภูมิป่าทุ่ง “ ต้นแป๊ะ” ซึ่งก็คือเมืองบุรีรัมย์ในปัจจุบันนี่เอง ความชอบของท่านเจ้าพระยาจักรี
ครั้งนั้น ท่านจึงได้รับพระราชทานพระอิสริยศเป็นสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ต่อมาเมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน
สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกจึงได้ถูกอัญเชิญให้ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลก
องค์พระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงค์จักรี
ที่ต้องเล่าประวัติของพระองค์ท่านในช่วงนี้เนื่องจากเป็นช่วงที่
เกี่ยวข้องกับเมืองบุรีรัมย์ เพราะความที่ไทยทำศึกกับเพื่อนบ้านทางตะวันออกหลายปี ท่านจึงประทับอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลานาน
อนุสาวรีย์ ของท่านที่สร้างขึ้นจึงเป็นรูปที่ท่านทรงช้างศึกซึ่งสามารถเก็บรายละเอียด
ได้เหมือนจริงมากจนน่าทึ่ง
เดิมองค์อนุสาวรีย์นี้ตั้งหันหน้าไปในทิศที่ช้างทรงเดินออกนอกเมือง แต่ต่อมาภายหลังได้มีการหันทิศกลับมาเป็นเดินเข้าเมือง
เนื่องจากชาวเมืองเชื่อว่า หากหันพระรูปท่านออกนอกเมือง ก็จะดูคล้ายกับว่าท่านกำลังออกไปทำศึก
ดังนั้นสงครามในบ้านเมืองของเราก็จะไม่จบสิ้นเสียที ในทางตรงกันข้าม หากพระรูปของท่านหันเข้าหาเมือง
ก็แปลว่าท่านได้ชัยชนะมาจากสงครามเรียบร้อยแล้ว และกำลังเสด็จกลับเข้าเมืองบุรีรัมย์
ด้วยเหตุนี้ ประเทศชาติของเราก็จะสงบสุขนั่นเอง
ดิฉันยืนชมพระรูปอนุสาวรีย์ของท่านอยู่นานด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ท่านทรงรักษาบ้านเมืองของเราไว้ มิฉะนั้นวันนี้เราคงไม่มีเมืองบุรีรัมย์ และอาจไม่มีโอกาสได้เกิดอยู่ในประเทศไทยของเราก็เป็นได้
หลังจากได้ภาพงามๆของอนุเสาวรีย์แล้ว พนักงานขับรถก็เริ่มพาชมรอบเมือง หลายคนที่เดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองก็มักจะตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมอัน ใหญ่โตโอฬาร แต่ที่นี่ กลับน่าตื่นใจกับการที่เมืองนี้สามารถรักษาสภาพเมืองและสภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นไว้ได้เป็นอย่างดี โดยตลอดทางขณะอยู่ในเมือง จะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ในรั้วบ้านหรือแม้แต่บริเวณสี่แยกหลักของเมืองก็ยังเห็นต้นก้ามปูใหญ่ยืนแผ่ให้ร่มเงาแก่ผู้ที่สัญจรไปมา
ดิฉันยืนชมพระรูปอนุสาวรีย์ของท่านอยู่นานด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ท่านทรงรักษาบ้านเมืองของเราไว้ มิฉะนั้นวันนี้เราคงไม่มีเมืองบุรีรัมย์ และอาจไม่มีโอกาสได้เกิดอยู่ในประเทศไทยของเราก็เป็นได้
หลังจากได้ภาพงามๆของอนุเสาวรีย์แล้ว พนักงานขับรถก็เริ่มพาชมรอบเมือง หลายคนที่เดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองก็มักจะตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมอัน ใหญ่โตโอฬาร แต่ที่นี่ กลับน่าตื่นใจกับการที่เมืองนี้สามารถรักษาสภาพเมืองและสภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นไว้ได้เป็นอย่างดี โดยตลอดทางขณะอยู่ในเมือง จะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ในรั้วบ้านหรือแม้แต่บริเวณสี่แยกหลักของเมืองก็ยังเห็นต้นก้ามปูใหญ่ยืนแผ่ให้ร่มเงาแก่ผู้ที่สัญจรไปมา
นี่คือเมืองที่ดิฉันชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
เพราะทุกเมืองที่ผ่านมา ล้วนแต่พยายามตัดต้นไม้ให้หมดเมืองเพื่อสร้างตึก แต่เมืองนี้
รักษาบ้านรูปแบบเดิมและต้นไม้ไว้ด้วยกัน ดังนั้นใจกลางเมืองบุรีรัมย์จึงมีความร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ต่อเนื่องกันตลอดทั้งเมือง
หลังจากนั่งรถชมรอบเมืองจนทั่ว ความรู้สึกที่ได้รับจากการตระเวนฯคือความชุ่มชื่นจากภาพหมู่ต้นไม้สีเขียวรอบเมือง ในสายตาของนักท่องเที่ยว เมืองบุรีรัมย์อาจดูล้าสมัยและไม่น่าสนใจ แต่สำหรับคนที่มาจากเมืองที่แออัดจอแจแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจอย่างแท้จริง
หลังจากนั่งรถชมรอบเมืองจนทั่ว ความรู้สึกที่ได้รับจากการตระเวนฯคือความชุ่มชื่นจากภาพหมู่ต้นไม้สีเขียวรอบเมือง ในสายตาของนักท่องเที่ยว เมืองบุรีรัมย์อาจดูล้าสมัยและไม่น่าสนใจ แต่สำหรับคนที่มาจากเมืองที่แออัดจอแจแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจอย่างแท้จริง
เสร็จจากการชมเมือง
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รถคลื่นออกจากบุรีรัมย์ เพื่อเดินทางต่อไปยัง “ ด่านเกวียน” เมืองโคราช
ที่ด่านเกวียน เมืองที่ได้ยินชื่อมานานในเรื่องความสวยงามของสินค้าพื้นเมืองประเภท
เครื่องปั้นดินเผาสารพัดชนิด ที่ร้านขายรายใหญ่ของเมือง ได้มีการแสดงวิธีการปั้นแจกัน
โอ่ง และเครื่องตกแต่งบ้านให้ลูกค้าชมด้วย ดิฉันก็แอบไปดูตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น
คณะของเราจบการชมและซื้อของที่ร้านด่านเกวียนในช่วงเวลาใกล้เที่ยง การแวะที่ร้านนี้ทำให้รถบัสของเราต้องวิ่งช้าลง เพราะของที่ระลึกแต่ละชิ้นที่ลูกทัวร์ซื้อไปล้วนมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งกิโล ผู้ที่ซื้อหลายชิ้นนอกจากจะหิ้วจนแขนแทบหลุดแล้ว ยังทำให้รถหนักขึ้นอีกด้วย
คณะของเราจบการชมและซื้อของที่ร้านด่านเกวียนในช่วงเวลาใกล้เที่ยง การแวะที่ร้านนี้ทำให้รถบัสของเราต้องวิ่งช้าลง เพราะของที่ระลึกแต่ละชิ้นที่ลูกทัวร์ซื้อไปล้วนมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งกิโล ผู้ที่ซื้อหลายชิ้นนอกจากจะหิ้วจนแขนแทบหลุดแล้ว ยังทำให้รถหนักขึ้นอีกด้วย
เที่ยงวัน เราก็มาถึงอำเภอสี่คิ้ว รถวิ่งเลียบขอบอ่างเก็บน้ำของเขื่อนลำตะคอง
แล้วเลี้ยวขวาขึ้นเนินเขาเพื่อไปยังร้าน “ สวนเมืองพร”
ขณะที่รถกำลังจะเข้าบริเวณร้าน หัวหน้าทัวร์ ได้เดินมาบอกกลุ่มสาวๆว่า
“ อาหารร้านนี้เป็นอาหารฝรั่ง จำพวกสเต็กต่างๆ แต่ควรเหลือกระเพาไว้บ้างนะ
เพราะผู้จัดฯได้สั่งไอศครีมยี่ห้อ “ อึ๋มมิลล์” มาไว้เป็นของหวานด้วย” พวกเราฟังแล้วก็แปลกใจกับชื่อไอศครีมยี่ห้อนี้กันถ้วนหน้า
เพราะไม่เคยรับประทานมาก่อน ก็ได้แต่แอบวาดหวังว่าสรรพคุณของไอศครีมคงจะส่งผลต่อผู้บริโภคให้มีอาการ
เหมือนชื่อไอศครีมบ้างสักนิดก็ยังดี
ร้านสวนเมืองพร
ตั้งอยู่บนเชิงเขา จากระเบียงของร้านจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำลำตะคองได้อย่าง
ชัดเจน ดังนั้นหลายคนจึงพยายามหาที่นั่งริมระเบียงเพื่อบริโภคทั้งอาหารและวิวไป พร้อมกัน
เมื่อเข้าบริเวณร้าน จะพบต้นไม้ทั้งเล็กและใหญ่มากมาย
เพราะร้านนี้ขายพันธุ์ต้นไม้ด้วย รอบๆบริเวณที่นั่งรับประทานจึงมีต้นไม้ประดับอยู่ทั่วไป
สำหรับอาหาร ทางร้าน เสริฟสเต็กที่มีทั้ง สเต็กปลาแซลมอน หมู เนื้อ
ไก่ และนกกระจอกเทศ ส่วนเครื่องเคียงมีให้เลือกว่า จะเป็นสลัดผัก หรือ ส้มตำ (
Thai Salad) ส่วนขนมปังก็สามารถเลือกข้าวเหนียวนึ่งแทนได้ แต่ด้วยความชุลมุน
โต๊ะเราจึงอุดมไปด้วยอาหารทุกชนิดที่กล่าวมา และสามารถชิมอาหารได้รอบวง ดิฉันโชคดีที่นั่งใกล้คนที่ไม่รับประทานเนื้อวัว
ดังนั้น สเต็กเนื้อจึงตกมาเป็นของดิฉันอีกจานโดยปริยาย เพราะไม่เคยรังเกียจและยินดีต้อนรับอาหารเนื้อทุกชนิด
ก่อนจะตรงเข้ากรุงเทพฯ เรามีเวลาพอที่จะแวะ “ ตลาดมวกเหล็ก” อันมีชื่อเรื่อง “กะหรี่พัฟ” เมื่อรถจอดทุกคนจึงลงไปหาซื้อกันคนละกล่องสองกล่อง แต่ดิฉันตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อร้านไหนดี เพราะมีเกือบ 100 ร้าน บรรยากาศเหมือนร้านขายขนมหม้อแกงเมืองเพชร ยังไงยังงั้นเลย เมื่อตัดสินใจไม่ได้จึงต้องอาศัยชิมของคนอื่นไปพลางๆก่อน ( เป็นอย่างนี้ทุกที )
หลังจากซื้อเสร็จเราต่างก็หลับอย่างสบายด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง และเมื่อรถมาถึงจุดสิ้นสุดการเดินทาง ผู้คนที่ลงจากรถจึงทั้งหอบ ทั้งแบกของที่ซื้อมาอย่างน่าสงสาร แต่เมื่อสังเกตดูใบหน้าของแต่ละท่านล้วนมีความสุขและสนุกสนาน ดังนั้นการหอบหิ้วจึงเป็นภาระที่มีความสุข หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงได้มีโอกาสไปเที่ยวอีสานอีกครั้ง เพราะอีสานกว้างใหญ่นัก คงต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเดินทางไปให้ทั่วทุกถิ่น
ก่อนจะตรงเข้ากรุงเทพฯ เรามีเวลาพอที่จะแวะ “ ตลาดมวกเหล็ก” อันมีชื่อเรื่อง “กะหรี่พัฟ” เมื่อรถจอดทุกคนจึงลงไปหาซื้อกันคนละกล่องสองกล่อง แต่ดิฉันตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อร้านไหนดี เพราะมีเกือบ 100 ร้าน บรรยากาศเหมือนร้านขายขนมหม้อแกงเมืองเพชร ยังไงยังงั้นเลย เมื่อตัดสินใจไม่ได้จึงต้องอาศัยชิมของคนอื่นไปพลางๆก่อน ( เป็นอย่างนี้ทุกที )
หลังจากซื้อเสร็จเราต่างก็หลับอย่างสบายด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง และเมื่อรถมาถึงจุดสิ้นสุดการเดินทาง ผู้คนที่ลงจากรถจึงทั้งหอบ ทั้งแบกของที่ซื้อมาอย่างน่าสงสาร แต่เมื่อสังเกตดูใบหน้าของแต่ละท่านล้วนมีความสุขและสนุกสนาน ดังนั้นการหอบหิ้วจึงเป็นภาระที่มีความสุข หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงได้มีโอกาสไปเที่ยวอีสานอีกครั้ง เพราะอีสานกว้างใหญ่นัก คงต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเดินทางไปให้ทั่วทุกถิ่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น