บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เมืองต้าฉื้อ..... 大圩古市镇



เมืองต้าฉื้อ..... 大圩古市镇

เพชรงามที่ส่องประกายบนเส้นทางสายไหมอันรุ่งเรืองของจีน

       หลังจากใช้เวลาท่องเที่ยวเมืองโบราณมาทั้งวัน  ฉันล้มตัวลงนอนหลับอย่างง่ายดาย  อากาศที่หนาวเย็นทำให้เกียจคร้านเกินกว่าจะลุกขึ้นมาอาบน้ำได้  บอกตัวเองว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว  และฉันก็จะต้องจากเมืองนี้ไป
      มันคงไม่ใช่ความฝัน ที่ทำให้ฉันต้องสะดุ้งสุดตัว  แต่มันคือความคิดในสมองที่ส่งความทรงจำมาเตือน   มันช่างรุนแรงจนทำให้ฉันต้องตื่นขึ้นมานั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่พบในเมืองเก่าที่ชื่อ ต้าฉื้อ Daxu วันนี้   ล้วนเป็นสิ่งที่ฉันเคยจินตนาการวาดภาพ และพล๊อตเป็นนิยายไว้ในใจมาหลายปี  มันนานจนลืมลืนไป  แต่แล้ว...ทุกสิ่งก็ค่อยๆลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของความทรงจำ  แม้ยามนั้นจะยังไม่รู้จักชื่อเมืองในฝัน  แต่มันคือเมืองต้าฉื้อ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรงามที่ส่องประกายบนเส้นทางสายไหมอันรุ่งเรืองของจีนโบราณแห่งนี้

      ปี 2013 เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อ และอ่านข้อมูลของเมืองต้าฉื้อ จากบทความท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ  ดูเหมือนว่ารูปภาพเมืองเก่า  บ้านโบราณ จะดึงดูดความสนใจของฉันได้เป็นพิเศษ   ที่ผ่านมาเคยได้ท่องเที่ยวมาหลายแห่ง แต่ละที่งดงามต่างกันไป  เมืองต้าฉื้อ ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจในแบบของตัวเองไม่ซ้ำใคร ข้อนี้อธิบายยากว่าต่างกันที่ตรงไหน  เพราะฉันไม่ได้ใช้หลักการทางวิชาโบราณคดีมาอธิบายเปรียบเทียบกันเลย มันเป็นความรู้สึกที่ได้จากการสัมผัสกับแต่ละเมืองล้วนๆ 


       การเดินทางมากุ้ยหลินครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของฉัน  หลังจากครั้งแรกที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะมาเมืองนี้ให้ได้  แต่ก็พลาดไป คราวนี้จึงไม่ยอมให้พลาดอีกแน่นอน  ขณะเมื่อมายืนอยู่หน้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นกำแพงปูนเก่าคร่ำคร่า มีประตูเป็นช่องทางโค้ง  หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น  รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะเข้าไปพบใครสักคนที่รอการมาถึงของฉัน..  รอมานานมาก......หัวใจพองโตลิงโลด อย่างบอกไม่ถูก  คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเสียสติได้ขนาดนี้ .....

     หากค้นหาข้อมูลเมืองต้าฉื้อ  หรือ ต้าชวี้ จากเวบภาษาไทย จะมีข้อมูลให้อ่านเพียง 2 บรรทัด ว่าอยู่ที่ไหน สร้างเมื่อใด แถมข้อมูลผิดเพี้ยนไปเป็น 1000 ปีอีกต่างหาก  แต่เมื่อค้นหาจากเวบไซต์ภาษาอังกฤษ Daxu  และจีน   大圩จะมีข้อมูลที่น่าทึ่งชวนให้ติดตาม...ไม่ใช่สิ    ชวนให้ซื้อตั๋วเครื่องบินตามมาดูต่างหาก....


     ต้าฉื้อ  จัดเป็น 1ใน 4 เมืองโบราณของมณฑลกวางสีที่ยังคงความเก่าแก่ของสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นอย่างดี  ( อีก 3 เมืองคือ Huangyao   Xingping  และ Xing'an  )  ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหลี่,  ห่างจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลินประมาณ  23 กิโลเมตร (14.3 ไมล์) มีประวัติยาวนานเกือบ 2,000 ปี โดยเชื่อว่าสร้างหมู่บ้านขึ้นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 200




ต้าฉื้อ แปลว่า “ ตลาดใหญ่ ” 
 ถูกก่อตั้งขึ้นในยุคของราชวงศ์ฉินที่ปกครองในประเทศจีน ในยุคของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (259 BC - 210 BC ) เมืองต้าฉื้อ เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสี่เมืองท่าที่สำคัญของกุ้ยหลิน เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหลี่  จึงเป็นทั้งเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าขายกระจายสินค้า  มีผู้ประกอบการค้าจำนวนมากเดินทางมาพำนัก และผ่านเมืองนี้   นับเป็นเมืองที่มีความสำคัญด้านการค้าขายและขนส่ง ที่มีชื่อเสียงทั่วภาคใต้ของจีน   ภายในตัวเมืองยุครุ่งเรืองมี ท่าเทียบเรือ 13 แห่งตั้งเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เลียบขนานไปตามถนนเก่าแก่ของเมือง ที่ยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร  ตามความยาวของถนน มีประตูโค้งกั้นเมืองและถนนไว้เป็นส่วนๆ  ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างเพื่อใช้ในการป้องกันการบุกรุกของข้าศึก หรือแบ่งเขตการปกครอง

ความรุ่งเรืองสูงสุด เริ่มเกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิงเมื่อเมืองนี้กลายเป็นเมืองเอกในเชิงพาณิชย์ของพื้นที่ โดยได้เป็นศูนย์กลางการค้าที่ มั่งคั่งและจอแจที่สุด  แห่งหนึ่งในบรรดาเมืองท่าสำคัญในภาคใต้ของเส้นทางสายไหมและเป็นหนึ่งในแม่น้ำหลี่  ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยเป็นพ่อค้าและผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับการขนส่งทางเรือ

 เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การค้าของเมืองได้ถูกชะลอตัวหลังจากที่ทางรถไฟและทางหลวงถูกสร้างขึ้น  การค้าขายทางเรือลดหายซบเซา  ท่าเรือถูกปิด ความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่ตลาดที่เคยรุ่งเรือง  แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นยังคงพักอาศัย และรักษาวิถึชีวิตดั้งเดิมของเมืองเก่านี้ไว้  โดยได้เปลี่ยนการทำอาชีพ  จากการค้าขายมาเป็นการทำงานศิลปะ และงานฝีมือเพื่อเลี้ยงชีพ


บนถนนสายหลักของเมืองที่ยังคงใช้อยู่ ถูกสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง  ตลอดสายปูด้วยหินสีน้ำเงินปนดำเข้ม  หินทรงสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ทุกก้อน มีสภาพเรียบไร้คม จากการใช้งานของล้อรถม้า  เกวียน รอยเท้าสัตว์และผู้คน ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงบางชิ้นที่แตกหักจากการสึกหรอของการใช้งาน แต่ก็ยังคงถูกวางไว้ที่เดิม


        บ้านส่วนใหญ่ทั้งสองฝั่งของถนนสายหลักเป็นอาคารโครงสร้างไม้ ถูกสร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง (1368-1644) และราชวงศ์ชิง (1644-1911) เจ้าของบ้านเดิมส่วนใหญ่และลูกหลานยังคงอาศัยอยู่ในบ้านเหล่านั้น  หากต้องการรู้เรื่องราวของเมือง พวกเขาจะเป็นผู้เล่าได้อย่างน่าอัศจรรย์ 
        ลักษณะของสิ่งก่อสร้าง บ้านจะหันหน้าไปทางถนน  เพื่อใช้เป็นหน้าร้านขายสินค้า  ส่วนหลังบ้านเป็นที่พัก และเก็บสินค้า  แต่ละบ้านมักมีลานเล็กๆด้านหลังร้านเพื่อใช้เป็นห้องพักผ่อน นั่งเล่นของครอบครัว รวมถึงใช้เป็นที่ประดิษฐงานศิลปะ เช่นการทอผ้าจากกี่ไม้ไผ่ และการผลิตรองเท้าหญ้า

 สภาพปัจจุบันของเมือง  ผู้คนส่วนใหญที่ยังคงอาศัยอยู่ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชรา ที่หาเลี้ยงตัวเองจากการขายของเก่า และของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ  ดูเหมือนว่าพวกเขายังคงวิถีชีวิตและประเพณีแบบเดิมๆไว้  บ้านหลายหลังยังคงมีการทำมาหาเลี้ยงชีพตามแบบที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ  เช่น บ้านแพทย์แผนโบราณพื้นบ้านที่ยังคงเปิดรักษา และร้านตกแต่งทรงผมเก่ายังสามารถพบได้บนถนนสายนี้

 ร้านหมอแผนจีนพื้นบ้านที่ยังคงเปิดรักษา

 สถานที่ ที่เคยเป็นโรงแรมมาก่อน  ป้ายชื่อโรงแรมยังอยู่


สะพานอายุยืน  Wanshou 
  ก่อนจะมาเมืองนี้  ฉันได้รับการบอกเล่าถึงสะพานอายุยืน ที่พูดกันว่า หากได้ข้ามสะพานนี้แล้ว อายุจะยืนยาว  ดังนั้นสะพานนี้จึงเป็นเป้าหมายแรกที่อยากเห็นอย่างยิ่ง  สะพานอายุยืน สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง (1368-1644) มันเป็นสะพานที่สร้างด้วยหิน เป็นรูปโค้ง ตามแบบฉบับของศิลปะจีน  ความเรียบง่ายในรูปทรงสร้างความงามให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างดี   พื้นผิวของสะพานถูกทำให้ราบรื่นและเงางามจากการสัญจรและใช้งานมานานปี 


 เมื่อยืนบนสะพาน จะสามารถชมทิวทัศน์ของแม่น้ำหลี่ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก  ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่จะชื่นชมกับทัศนียภาพอันมีเสน่ห์ของแม่น้ำโดยจะสามารถมองเห็นภูเขาหินปูนรูปหอยทาก และเขารูปร่างแปลกอื่นๆอีกมากมายบนฝั่งของแม่น้ำหลี่


สุสานเจ็ดดาว เมื่อเส้นทางท่องเที่ยวจากกุ้ยหลิน แผ่ขยายมายังเมืองนี้  ท่าเรือเพื่อรองรับการท่องเที่ยว ได้ถูกสร้างขึ้นในปี 1990 ขณะคนงานกำลังปรับพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือ  ได้มีการค้นพบหลุมฝังศพโบราณ ซึ่งเป็นสุสานที่มีหลุมฝังศพรวมเจ็ดหลุม  
การค้นพบนี้ ได้เพิ่มความลึกลับให้กับเมืองโบราณแห่งนี้มากขึ้น  หลุมฝังศพทั้งเจ็ด ถูกจัดวางให้อยู่ในรูปทรงการเรียงตัวของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่  ขนาดของหลุมฝังศพได้รับการออกแบบตามความสว่างของดาว  ตามความเชื่อของคนจีน ความสัมพันธ์ระหว่างหลุมฝังศพและกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ยังคงเป็นปริศนา มาจนทุกวันนี้   วัตถุโบราณจำนวนมากที่พบและขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ  นับเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เช่นเครื่องใช้ เครื่องปั้นดินเผา และดาบบรอนซ์  ทั้งหมดได้ถูกใช้ในการวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ว่าสุสานควรจะมีอายุย้อนไปถึงระยะเวลาตั้งแต่สงคราม รวมประเทศ (403BC-221BC) เพื่อราชวงศ์ฮั่น

เรื่องหลุมศพปริศนา เป็นเรื่องปกติที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองโบราณ  แต่ที่เป็นความรู้ใหม่คือ  การทำของที่ระลึกเป็นรูปโลงศพขาย  ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับสุสานในเมืองนี้  แต่ต่อมาเพิ่งรู้ว่า การให้โลงศพจำลองแก่คนที่มีอาชีพรับราชการ นับเป็นเรื่องน่ายินดี เสมือนว่าเป็นการอวยพรให้เขามีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เพราะคำว่าว่าโลงศพในภาษาจีน พ้องกับความหมายว่าเจริญก้าวหน้า.....  ฉันได้แต่มองโลงศพจำลองด้วยคนสนใจ แต่ไม่ยอมซื้อกลับบ้านเด็ดขาด  เพราะขืนให้ใครในเมืองไทย มีหวังโกรธกันตลอดชาติ 


      ประวัติของเมืองมีหลายมิติ ตามกาลเวลาของแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา  การเดินชมเมืองจึงต้องดูให้เห็นหลักฐานที่คงอยู่ในแต่ละยุคทับซ้อนกันไป   บางสิ่งอาจซ่อนอยู่ตามอาคาร กำแพง หลังคา แม้แต่พื้นถนน บ้านหลายหลังยังคงป้ายชื่อร้านเดิมไว้  แม้จะเป็นภาษาจีนโบราณที่เกือบเลิกใช้แล้ว แต่ก็ยังพออ่านได้ว่า  อาคารนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน บางแห่งยังคงมีคนอาศัย  บางแห่งกลายเป็นบ้านร้าง เท่าที่เห็น มีร้านหมอพื้นบ้าน  สถานพยาบาล ศาลเจ้า โรงแรม  และร้านอาหาร
 

มีป้ายหินสลักชิ้นหนึ่ง ติดไว้ข้างประตูหินโค้ง หากไม่สังเกตุ อาจคิดว่าเป็นป้ายประกาศธรรมดา  แต่เมื่อหยุดอ่านข้อความ ก็ทำให้เราถึงกับต้องยกมือไหว้คารวะสิ่งที่ถูกจารึกนั้น  เพราะนั่นคือป้ายบันทึกวีรกรรมของชาวเมืองที่ต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นจนเสียชีวิต เพื่อปกป้องเมืองนี้ให้พ้นจากการถูกทำลาย  จากป้ายนี้ ทำให้คิดวิเคราะห์เองว่า รอยแตกร้าวเป็นรูของผนังบ้าน ผนังกำแพงบริเวณนี้  น่าจะเป็นรอยกระสุนปืนจากการต่อสู้ครั้งนั้น  ฉันเดินจากป้ายนั้นมา...ท้องฟ้าอืมครืมถนนว่างเปล่า บรรยากาศเช่นนี้ช่างบีบหัวใจเหลือเกิน 




หากจำได้  หลายฉากของภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง เพลงรักชาวเรือที่โด่งดังสุดๆสมัยฉันเป็นเด็ก  ได้ถ่ายทำที่เมืองนี้  แม้ปัจจุบัน พื้นที่นี้ก็ยังเป็นที่นิยมมาก สำหรับใช้เป็นฉากในภาพยนต์ และหนังทีวี  เนื่องจากชาวบ้านยังคงรักษาบรรยากาศ และวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้


ฉันใช้เวลาที่เมืองนี้อย่างช้าๆ  อยากเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้ได้มากที่สุด ถ่ายรูปแบบไม่คิดชีวิต ซึมซับกับบรรยากาศรอบตัว  เหมือนอยากเก็บทุกอย่างไว้ในพื้นที่สมอง  ขณะเดินผ่านอาคารปูนแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าขนาดใหญ่  ดูจากรูปลักษณ์ของอาคารแล้วน่าจะเคยเป็นหอประชุม หรือสำนักงาน  หรือบ้านพักของผู้ปกครองเมืองมาก่อน  อาคารนี้ภายนอกเป็นตึก 2 ชั้น แต่ภายในก่อสร้างด้วยไม้ และอิฐ
 
บานประตูใหญ่ที่วิจิตรพิศดาร ดึงดูดให้ฉันเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ  เมื่อมองเข้าไปในบ้าน พบกับความมืดและ ฝุ่นละอองจับตามสิ่งก่อสร้าง   เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเราแอบเดินเข้าไปในบ้าน  ฉันได้ยินเสียงพูดคุยภายใน  เมื่อตามเข้าไปจึงได้พบกับชายสูงอายุเจ้าของสถานที่  เราได้ทราบว่า เขาซื้อบ้านเก่านี้มาปรับปรุงเพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงความเป็นมาของเมือง ฉันนึกชื่นชมความคิดของเขาอยู่ในใจ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ และมองเห็นคุณค่าของสิ่งของที่ผ่านการเดินทางของเวลา จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน 
 เราไม่ได้คุยกับเขานานนัก เพราะใจฉันถูกบรรยากาศดึงดูดให้รีบเข้าไปสำรวจรอบบ้าน  เขาคงสังเกตุเห็นอาการกระวนกระวายของฉัน  จึงอนุญาติให้เราเดินดูภายในได้อย่างเสรี  ช่างใจดีเหลือเกิน

ถึงเวลานี้ ฉันเหมือนนกที่ถูกปล่อยออกจากกรง  โผบินไปมุมโน้นมุมนี้โดยไม่สนใจเวลาและใครๆอีกแล้ว   ณ วันนี้ บ้านยังไม่ได้มีการปรับปรุง สภาพยังคงรกรุงรัง แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ  จะมีใครสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้เข้ามาเดินในบรรยากาศเก่าแก่ของแท้ดั้งเดิมแบบนี้ แอบคิดอยู่ว่า นี่เราฝันไปหรือเปล่าหนอ




 ตัวอาคารเป็นบ้านสองชั้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม กลางบ้านเป็นลานว่าง ไม่มีหลังคา สภาพเป็นสวนเล็กๆเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนของเจ้าของบ้าน แสงรำไรส่องลงมาที่ลาน ในบ่อน้ำเห็นปลาทองกำลังว่ายอย่างมีความสุข   มีทางเดินเชื่อมระหว่างหน้าบ้านมาหลังบ้าน ตัดผ่านลานสวน  ในช่วงเวลาที่บ้านถูกทิ้งร้าง ต้นไม้ล้มลุกได้ขึ้นปกคลุมตามหลังคา ห้อยย้อยลงมาเหมือนมีคนตกแต่งเอาไว้




ขณะเดินเข้าไปส่วนในสุดของบ้าน  ภายในยังมืดสลัวเนื่องจากแสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาไม่ถึง   โต๊ะ เก้าอี้  เครื่องใช้ในบ้านถูกวางระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง  ฉันใจกล้าเดินเข้าไป  แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีแสงสว่างกระจายออกมาจากดวงไฟภายในห้อง  พร้อมกับแสงไฟ  เสียงเพลงจีนพื้นเมืองที่ร้องโดยนักร้องคนโปรดของฉันก็ดังแว่วมา  มันเป็นเพลงคุ้นเคยที่ฉันเปิดฟังทุกวันที่บ้าน   ฉันแอบยิ้มคนเดียว....ทำไมบรรยากาศในบ้านนี้ถึงได้วิเศษมหัศจรรย์เช่นนี้หนอ 
จำไม่ได้ว่าเดินวนไปวนมาในบ้านนานเท่าไร  เดินฟังเพลงไปเพลินๆ ก็แอบเห็นเจ้าของบ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถง  แท้จริงแล้ว เขาคงเปิดเพลงให้ตัวเองฟังขณะอ่านหนังสือกระมัง  อย่างไรก็ตาม เราก็ได้ซึมซับความสุขไปกับเขาด้วย ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว  ฉันเดินออกจากบ้านอย่างเงียบๆ ไม่ได้กลับไปลาเจ้าของบ้าน เพราะไม่อยากรบกวนความสงบสุขของเขา  ได้แต่สัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาบ้านนี้อีกครั้งให้ได้ ......





         ฉันนั่งคิดทบทวนความจำบนเตียงกลางดึก  ภาพเหตุการณ์ที่ได้เดินในเมืองโบราณ  การได้พบบ้านเก่ารกรุงรัง  การเข้าไปพบเจ้าของบ้าน และช่วงเวลาที่ได้เดินอยู่ในบ้าน บรรยากาศแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่งฉันได้เคยจินตนาการไว้  คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะกลายเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง  หลายคนบอกว่ามันเป็น Deja vu  เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์  แต่ฉันว่ามันเป็น “ ฟ้าลิขิต “....มากกว่า