วัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ไปเยี่ยมหลวงพี่ ซึ่งเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนหนังสือ
หลวงพี่มาบวชที่วัด ที่บ้านเกิดชื่อวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อวัดก็ไม่แปลกใจมากนัก เพราะคุ้นเคยกับนามของ
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มานาน
ยอมรับว่าขณะที่ยังมาไม่ถึงเมืองราชบุรี
นึกวาดภาพวัดนี้เป็นเพียงวัดธรรมดาๆเหมือนวัดทั่วไป
แต่เมื่อ ได้มาเห็นของจริงก็ถึงกับตลึงในความแปลกเหนือความคาดหมายจริงๆ
ยอมรับว่าขณะที่ยังมาไม่ถึงเมืองราชบุรี
นึกวาดภาพวัดนี้เป็นเพียงวัดธรรมดาๆเหมือนวัดทั่วไป
แต่เมื่อ ได้มาเห็นของจริงก็ถึงกับตลึงในความแปลกเหนือความคาดหมายจริงๆ
น่าแปลกใจที่วัดนี้กลับไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากนัก
ทั้งๆที่มีความงดงามที่หาชมได้ยากกว่าวัดทั่วไป
จากชื่อวัด เราก็คงทราบกันดีว่า ต้องเกี่ยวข้องกับ
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์อย่างแน่นอน
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์อย่างแน่นอน
เนื่องจากท่านเป็นผู้สร้างวัดนี้นั่นเอง เราจึงควรทราบประวัติโดยย่อของท่านกันก่อน
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)( พ.ศ.2351-2425) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการเมืองการปกครองของไทย โดยเริ่มเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่ง "สมเด็จเจ้าพระยา" เป็นคนสุดท้าย นอกจากนี้ ท่านยังมีบทบาทในการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองสิริราชสมบัติและได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2416 ด้วย
นอกจากด้านการปกครองแล้ว ท่านยังมีบทบาทสำคัญในด้านวรรณกรรม การละคร และดนตรี รวมถึงเป็นแม่กองในการก่อสร้าง บูรณะ ซ่อมแซม สถานที่ต่าง ๆ มากมาย เช่น พระนครคีรี พระอภิเนาว์นิเวศน์ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีชีวิตยืนยาวถึง 5 รัชกาล ตั้งแต่เกิดในปลายรัชกาลที่ 1 และถึงแก่พิราลัยด้วยโรคลมขณะที่กำลังเดินทางกลับจากราชบุรี เมื่อ พ.ศ. 2425 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โดยมีอายุยืนยาวถึง 75 ปี
หลังพ้นหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านก็ชอบออกไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ และพำนักอยู่ที่เมืองราชบุรีเป็น ส่วนใหญ่ นับเป็นเวลา 9 ปี ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2425 ท่านถึงแก่พิราลัยด้วยโรคลมขณะที่กำลังเดินทางกลับจากราชบุรี
วัดศรีสุริยวงศ์ ตั้งอยู่ในเขตตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวในปี พ.ศ.๒๔๑๕ เพื่อเป็นวัดประจำตระกูลบุนนาค เมื่อแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๒๑ ได้ถวายให้เป็นพระอารามหลวง พร้อมกับขอพระราชทานนามวัดและวิสูงคามสีมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้พระราชทานนามว่า “วัดพระศรีสุริยวงศาราม” ปัจจุบันนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดศรีสุริยวงศ์”
วัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร ที่ตั้งเดิมเป็นที่ดินรกร้างใกล้ชุมชนตลาด ซึ่งเป็นที่ดินของสมเด็จเจ้าพระยาบรมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสมุหพระกลาโหมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ท่านมีดำริว่าจะสร้างวัดให้เป็นวัดประจำตระกูลบุนนาค โดยสร้างวัดนี้ขึ้นด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของท่านเอง ลงมือก่อสร้าง
เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๗ และเมื่อสร้างวัด มีเสนาสนะ พระอุโบสถ พระเจดีย์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้กราบบังคมทูลน้อมเกล้า ฯ ถวายวัดให้เป็นพระอารามหลวงและขอพระราชทานนามวัดและที่วิสุงคามสีมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานนามวัด
ว่า"วัดศรีสุริยวงษาวาส"
ว่า"วัดศรีสุริยวงษาวาส"
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นคน “หัวก้าวหน้า” รวมทั้ง ชอบคบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศและรับความเจริญมาจากชาติตะวันตก วัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร จึงเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ทรงคุณค่าเป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติที่ควรอนุรักษ์ไว้ ด้วยผู้สถาปนาวัดนี้ ในช่วงนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่ไทยเริ่มเผชิญวิกฤตการณ์กับชาติตะวันตก ท่านเจ้าคุณได้ใช้ความปรีชาฉลาดปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ เพื่อปกป้องศาสนา
สถาปัตยกรรมที่สำคัญของวัด คือ พระอุโบสถมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมผสานกับศิลปะตะวันตกแบบกอธิค (Gothic)
หน้าบันปูนปั้นรูปตราสุริยะรองรับด้วยรูปช้างสามเศียรและขนาบข้างด้วยฉัตร เจ็ดชั้น ชายคาปีกนกรองรับด้วยเสากลมแบบคอรินเธียน ระหว่างเสาแต่ละต้นเชื่อมต่อด้วยรูปโค้งครึ่งวงกลมแบบอาร์คโค้ง (arch) หลังคาเป็นกระเบื้องดินเผา ไม่มีช่อฟ้าใบระกา
เดิมพื้นเป็นกระเบื้องโมเสก ปัจจุบันใช้เป็นหินอ่อน
แต่ยังมีผนังภายในโบสถ์ที่ใช้กระเบื้องแบบเก่าที่งดงามมาก
ผนังโบสถ์เป็นปูนวาดลายแปลกตา หลวงพี่ เล่าให้ฟังว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างวัดนี้ ความที่ผู้สร้างอยากได้พื้นผนังปูด้วยหินอ่อน แต่ราคาหินอ่อนสมัยนั้นแพงมาก เพราะต้องซื้อและส่งมาทางเรือจากอิตาลีเท่านั้น
ในเมื่อไม่สามารถซื้อหินอ่อนจากอิตาลีได้ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงได้ให้ช่างฉาบผนังด้วยปูน โดยให้เซาะร่องคล้ายกับรอยต่อของแผ่นหินอ่อน และลงสีวาดลายให้เป็นลายหินอ่อน ที่เห็นในปัจจุบันจึงยังคงเป็นลวดลายเดิมที่ได้รับการรักษาไว้
ในพระอุโบสถมีพระบรมศาทิศลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรูปวาดของสมเด็จเจ้าพระยาบรมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงผู้ที่มีอุปการคุณต่อวัด
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปสัมริด ลงรักปิดทอง พุทธลักษณะ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑.๑๕ เมตร สูงจากฐานถึงเกศ ๑.๗๕ เมตร
ซุ้มประตูเป็นรูปหน้าจั่วประดับลวดลายนกยูงและพระอาทิตย์ ซุ้มหน้าต่างเป็นรูปหน้าจั่วประดับลวดลายรูปดาวเปล่งรัศมี
เพดานภายในประดับลวดลายปูนปั้นทาสีแบบลายเทศ เป็นลวดลายแบบฝรั่งที่งดงาม
คงต้องบอกเลยว่า จุดนี้เป็นจุดที่ประทับใจที่สุดสำหรับฉัน
บางคนอาจสงสัยว่าแท่งนี้คืออะไร ฉันเองก็เพิ่งเข้าใจ
เมื่อช่วยกันปิดประตู และหน้าต่างโบสถ์ แท่งนี้คือสลัก หรือกลอนประตูแบบโบราณนั่นเอง
เสมารอบตัวโบสถ์ เป็นแบบที่ต่างจากวัดทั่วๆไป ดูเรียบง่ายดี ไม่วิจิตรเหมือนวัดอื่น
สิ่งก่อสร้างที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ซุ้มประตูวัด ลักษณะเป็นซุ้มประตูทรงโค้งตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นและเสากลมด้านละ ๓ เสา ซุ้มประตูนี้ สร้างขึ้นโดยท่านเจ้าคุณ พระศรีธรรมานุศาสน์ (สุมิตฺตเถร) แทนซุ้มประตูทที่รื้อถอนไปเพื่อขยายอาณาเขตวัดให้กว้างขวาง โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบเดียวกับพระอุโบสถ
ตรงกลางซุ้มมีอักษรระบุชื่อ “ วัดศรีสุริยวงศ์ ” มีลวดลายปูนปั้นประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ประตูนี้สร้างแทนของเดิมที่หักพังไปเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวัดศรีสุริยวงศ์ เป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๔
ด้านบนมีประติมากรรมลอยตัวรูปเทวดาเด็กมีปีก
หอระฆัง ก็มีอิทธิพลของสถาปัตย์กรรมฝรั่ง
บรรไดแคบๆสำหรับพระขึ้นไปตีระฆัง
ด้านล่างของหอระฆัง เป็นหอกลอง ขณะถ่ายรูปก็ต้องตกใจ
เพราะ พระท่านลั่นกลองเวลาเพลนั่นเอง
อาหารที่เรานำไปถวายหลวงพี่ เป็นอาหารง่ายๆ ( ที่เราชอบ )คือผัดผักรวมกับกุ้ง
แต่ก็ต้องหาอาหารที่พระชอบด้วยเช่นกัน เพราะมีพระมาร่วมวงฉันท์เพลด้วยหลายองค์
จานที่สองจึงเป็นปลาดุกผัดฉ่า
นี่ก็อีก 1 ปลา คือ ผัดพริกขิงปลาดุกกรอบ
จานพิเศษของวันนี้ นี่คือ ปลาช่อนทอดกรอบ กับผัดมะเขือยาว
พระท่านคงฉันท์แบบงงๆ แต่ก็เกือบหมด
พระท่านคงเบื่อกับอาหารจานนี้ แต่ฉันชอบมาก นี่คือไข่เจียวหมูสับ ที่อร่อยมากๆ
ที่จริงยังมีน้ำพริกลงเรือ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้
ของหวานเป็นผลไม้ เชอรรี่หวานกรอบอร่อยมาก
ทันทีที่เห็น โดนัท ( ยี่ห้อแถวยาว) กล่องนี้ หลวงพี่หันมามองอย่างรู้ทันว่า
ที่เราซื้อมาก็เพราะอยากกินเองมากกว่า
หลังจากฉันท์เสร็จ พระท่านก็ให้ศีลให้พร
เราก็กรวดน้ำทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตามประเพณี
หลวงพี่คงรู้ว่าเราหิว เลยเรียกให้กินข้าว
เราก็ไม่รอช้า รีบล้อมวงกินข้าวก้นบาตร ของหลวงพี่ด้วยความอร่อย
แต่..ก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งนิดหน่อย ตรงที่โดนัท ที่นำมาถวาย ไม่เหลือแล้ว
เพราะเณรสององค์ ที่ร่วมวงฉันท์กับหลวงพี่ ชอบเป็นพิเศษเหมือนเรา
เอาน่า ...มาทำบุญนะโย๊มมมมม
ข้อมูลเรื่อวัด บางส่วนนำมา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หากต้องการทราบ โปรดอ่านเพื่อเติมได้