บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

เจี๊ยะบุ่ย ... มากินข้าวกัน


 

    หลังจากหายศรีษะไปนาน  วันนี้ก็ถึงเวลากลับมารายงานตัวเสียที
ช่วงที่กลับมา ไม่ว่าจะเจอหน้าใคร ก็จะมีคำถามยอดฮิตว่า “ หายไปไหนมาจ๊ะ “ 
   แต่พอได้ยินคำตอบว่า  “ ไปไหหลำมา”   มีแต่เสียงค่อนแคะ เอาว่า
เพชรบุรี ไหหลำ นะ  ทำยังกะเป็น  เพชรบุรี -  กรุงเทพ งั้นแหละ"

    ฉันก็ได้แต่หัวเราะหึ หึ  ....มันก็จริงอย่างเขาว่านั่นล่ะ เพราะหลังจากไปมา 4 ครั้ง  ฉันก็รู้สึกเหมือน  ไหหลำเป็นจังหวัดหนึ่งของเมืองไทยไปเสียแล้ว  นึกอยากจะไปก็ขึ้นเครื่องบินไปเลย  และวันนี้ การไปครั้งที่ 5 ก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อยโรงเรียนจีน

เกาะไหหลำ ที่ถูกต้องตามประกาศของสมาคมชาวไหหนำ แห่งประเทศไทย ต้องเรียก และ เขียนว่า “ ไหหนำ”  แต่เราเรียกไหหลำจนชิน ขออภัยด้วยค่ะ 

     การไปเกาะไหหลำของฉันครั้งนี้ นับว่าไปแบบปีกกล้าขาแข็งมากขึ้น  โดยเฉพาะเรื่องการไปหาอาหารอร่อยๆรับประทาน   แม้จะเคยเขียนเล่ามาหลายครั้งแล้ว  แต่ครั้งนี้ โหด มัน ฮา  มากกว่าทุกครั้ง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้รู้กันบ้าง  อ่านแบบขำๆก็จะเพลินดีค่ะ 

     ตั้งแต่ออกจากงาน ฉันเคยคิดกลัวว่า  ตัวเองจะเหงา เฉาตายโดยเร็ววัน   แต่ผ่านมาเกือบปีแล้วที่ฉันไม่ต้องทำงาน  กลับยิ่งรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันยุ่งยิ่งกว่าตอนทำงานเสียอีก  เพราะแม้ไม่ได้วางแผนเดินทาง  หรือไม่มีใครชวนให้ไปไหนต่อไหน  แต่ฉันมักมีเหตุต้องไปโน่น นี่ จนแทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน  เพื่อนบ้านที่เห็นฉันลากกระเป๋าผ่านหน้าบ้านเขา มักจะบอกว่า “ ไปลบไฝที่เท้าออกเสียเถอะ  เห็นเดินทางแล้วเหนื่อยแทน”  

     แต่มันก็แค่เป็นเรื่องตลกที่พูดกันเท่านั้น  เรื่องจริงก็คือ ฉันมีเชื้อสายของคนไหหลำ  และคนไหหลำเป็นนักเดินทาง   ดังมีคำพูดของคนจีนโพ้นทะเลที่พูดกันว่า 

คนแต้จิ๋วนั่งเรือสำเภาฮกเกี้ยน มีคนไหหลำเป็นไต้ก๋งเดินทางมาเมืองไทย

     เอาล่ะ ...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ตาม เช้าวันนี้ฉันก็มาตื่นอยู่ที่เมือง
หเค๊า แล้ว และสิ่งแรกที่อยากทำคือ ไปหาอาหารไหหลำดั้งเดิมกิน  จำได้ว่าเคยมีร้านอาหารอยู่แห่งหนึ่ง ทำอาหารพื้นบ้านไหหลำอร่อยมาก   เรา ( ในที่นี้หมายถึง  ฉัน , น้องสาว และหลานชายชาวจีน )จึงบอกให้คนขับรถพาเราไปยังร้านที่อยู่บนถนนหลั่นเทียน   และในที่สุดเราก็มาถึงร้านเจ้าประจำของเรา ( ที่จริงน่าจะเป็นของฉันคนเดียวมากกว่า เพราะคนอื่นไม่ค่อยสนใจนัก )

 
      ร้านนี้ดูเก่าลงไปกว่าที่เคยเห็นมาก คงเป็นเพราะขายดี เลยไม่มีเวลาทำนุบำรุงร้านให้ดีขึ้น  ฉันสั่งอาหารอย่างที่อยากกินทันที  อาหารที่ว่านี้ หากอยู่เมืองไทยจะเรียกว่า “ ขนมจีนไหหลำ”  แต่มาเมืองไหหลำ อย่าไปถามหาให้เมื่อยเลย  ไม่มีใครรู้จักแน่นอน   

     เพราะที่นี่เขาเรียกว่า “ เป้า โล ฝั่น  แปลว่า ก๋วยเตี๋ยวจากเมืองเป้าโล ที่เรียกอย่างนี้เพราะ เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงและมีต้นกำเนิดมาจาก เมืองเป้าโล  อันเป็นเมืองหนึ่งของมณฑลไหหนาน นั่นเอง

     ลักษณะของ “เป้า โล ฝั่น" คือ ใช้เส้นหมี่ที่ทำด้วยแป้งข้าวเจ้าเส้นโต คล้ายเส้นอุโด้ง ของญี่ปุ่น  ปกติจะใช้เนื้อวัวสดหั่นเป็นเส้นยาว หรือไม่ก็เนื้อวัวตุ๋น  ราดด้วยน้ำตุ๋นหรือน้ำเกรวี่สีน้ำตาลเข้ม  เหนียว มีรสเค็ม และหวานเล็กน้อย  ที่ขาดไม่ได้คือต้องโรยด้วย ถั่วลิสงคั่ว กับ ผักกาดดองซอย
   
    หากเป็นเมืองไทย มักจะเน้นว่า “ ขนมจีนไหหลำ ต้องใส่กะปิ ”  ที่จริงแล้ว กะปิของคนไหหลำ เป็นเครื่องปรุงรสอย่างหนึ่งที่ทุกร้านต้องเตรียมไว้ให้เป็นถาดบนโต๊ะ  เช่นเดียวกับเต๊าเจี้ยวหวาน  กระเทียมสด หรือกระเทียมเจียว  ขิงสับละเอียด พริกดอง ซีอิ้ว และส้มจี๊ด(ใช้แทนมะนาว)  ใครจะใส่หรือไม่ใส่กะปิ ก็แล้วแต่ชอบรสอะไร หากอยากให้เค็มก็เติมกะปิลงไป กะปิไหหลำไม่ข้นเป็นก้อนเหมือนบ้านเรา  แต่จะเหลวเหมือนน้ำพริกใสๆมากกว่า และไม่มีกลิ่นเลย




   นอกจาก เป้าโลฝั่น แล้ว เรายังสั่ง “ เยียน เหมี่ยน” คือบะหมี่ แห้งปรุงรส มีเนื้อหมูหั่นเป็นเส้นอยู่ด้านบน โรยด้วยถั่วลิงสงคั่ว และผักกาดดองซอย   รสของบะหมี่อร่อยมากจนอยากรู้ว่าเขาใช้อะไรคลุกเส้น  ดูเหมือนเป็นน้ำซุป แต่มีรสเข้มข้นพอเหมาะพอดี จริงๆ 

    เรื่องถั่วลิสงคั่ว กับผักกาดดองซอยที่โรยหน้ามา เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวของไหหลำ  คนไหหลำกิน 2 อย่างนี้มาก โดยเฉพาะถั่วคั่ว  ส่วนผักกาดดองก็ไม่แพ้กัน  เห็นก๋วยเตี๋ยวชามนี้แล้ว คิดถึงชีวิตตอนเป็นเด็ก เพราะ เตี่ยของฉันจะต้มก๋วยเตี๋ยว (ต้มเป็นหม้อ ไม่ใช่ลวกเส้น)  เราจะสับเนื้อหมู และซอยผักกาดดองใส่ลงไปต้มด้วย   วันนี้มากินอาหารไหหลำ จึงรู้สึกมีความสุขเหมือนตอนเป็นเด็ก ที่นั่งล้อมวงกันกินก๋วยเตี๋ยวฝีมือเตี่ย ยังไงยังงั้นเลย



        เสร็จจากอาหารเช้า เราก็ไปทำธุระของเราจนเลยเที่ยงวันไปแล้ว  อาการหิวทำให้กระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่ง   จนญาติผู้ใหญ่ต้องยอมพักเบรกงานชั่วคราวเพื่อไปกินข้าว  ร้านที่เราไปคราวนี้เป็นร้านเก่าอีกนั่นแหละ  เป็นร้านที่อยู่นอกเมืองหลวง  แต่ใหญ่โตโอ่โถงดี กว่าร้านในเมืองเสียอีก 

      ด้วยความหิว  ทำให้ไม่มีอารมณ์จะสั่งอาหารเอง  จึงให้หลานชายซึ่งเป็นหนุ่มหล่อชาวจีนไปสั่งให้  โดยเน้นไปอย่างเดียวว่า ขอไก่ต้มด้วย  เพราะไปไหหลำทั้งทีต้องไม่พลาดเมนูนี้    
      แต่อนิจจาเอ๋ย .....หลานชายกลับมาพร้อมกับคำตอบว่า  “ ไก่หมดครับ  ผมเลยสั่งเป็ดมาให้ป้าแทน "เออ..เอาว๊ะ ไม่ได้ไก่  กินเป็ดก็ยังดี"   เพราะที่ไหหลำ มีเป็ดที่มีชื่อเสียง ชื่อเป็ดกาเจ็ก  เป็นเป็ดที่เลี้ยงดั้งเดิมมาจากเมืองกาเจ็ก  ปัจจุบันคนไหหลำส่วนใหญ่จะเลี้ยงและบริโภคเป็นพันธุ์นี้กันทั้งเกาะ 
 
สักพักอาหารที่หลานชายสั่งเริ่มทยอยมาตั้งโต๊ะ

 เป็ดกาเจกต้มครึ่งตัว  ดูลักษณะแล้วเหมือนไก่มาก  เนื้อและหนังสีเหลืองอ่อน หากไม่ดูหัวเป็ดก็จะคิดว่าเป็นเนื้อไก่  ที่เกาะไหหลำ  ผู้คนชอบต้มไก่ และเป็ดให้สุกไม่มาก  คนไหหลำชอบเคี้ยวเนื้อเหนียวๆ  ไก่ และเป็ดที่นำมารับประทานมักจะเป็นไก่ที่อายุมากกว่าไก่บ้านเรา  เนื้อจึงเหนียวและแน่น   ขณะที่เราเคี้ยวอยู่นาน แต่บรรดาอากง  อาแป๊ะ กัดกร๊วมๆๆ  ดูเหมือนฟันและกรามเขาจะแข็งแรงมาก 

       จานที่สองเป็นเอ็นไก่ผัดกับเครื่องในไก่ และผักรวม   หลานชายบอกว่า  ทางร้านแนะนำจานนี้เพราะอากงชอบเป็นพิเศษ  ฉันลองชิมดู  โอ้โฮ ...จานนี้ต้องยกนิ้วให้ว่าอร่อยเริ่ดมาก  เอ็นไม่เหนียวเลย กรอบกรุบกำลังดี เครื่องในไก่ผัดในเวลาอันสมควร ไม่สุกเกินจึงกรอบอร่อย  กลับมาเมืองไทยน่าจะลองทำดู  แต่จะหาเอ็นไก่ได้ที่ไหนล่ะ

 จานต่อไปขาดไม่ได้คือปลานึ่ง เป็นปลาเก๋าตัวพอดีจาน รสเหมือนปลานึ่งซีอิ้วบ้านเรา แต่ปลาสดเอามากๆ เพราะคนไหหลำไม่กินของตายแล้ว  ดังนั้นอาหารทะเลจึงต้องเลี้ยงไว้ในตู้แล้วให้ลูกค้าไปชี้สั่งเอา (บาปพอประมาณ)
 
 จานที่ชอบมากอีกจานคือ  ผักบุ้งผัดเกลือ  ที่ไหหลำ เวลาผัดผัก เขามักใช้เกลือมากกว่าซีอิ้ว แต่จานนี้ใส่กะปิด้วย  บางคนอาจคิดว่าไม่อร่อย  แต่ผักผัดเกลือทุกจานอร่อยมาก ขอบอก

 ให้เด็กไปสั่ง ก็ได้อาหารจานเด็กมาหนึ่งจาน  เป็นผัดผักรวมใส่ไข่  หน้าตา รสชาติเหมือนอาหารที่แม่ทำให้กินตอนเป็นเด็กเลย อร่อยมากอ่ะ

     ตามธรรมเนียมของชาวจีนที่จะขาดซุปไม่ได้  ซุปฟักเขียวกับหอยตาวัว ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเมนูสั่งประจำทุกครั้งที่เรามา
 
      หลังจากอาหารมาครบแล้ว ฉันก็เรียนเชิญผู้อาวุโสให้เริ่มทานอาหาร  ทุกคนหยิบตะเกียบมาถือไว้ในมือ  ยกเว้นอากง ผู้มีอาวุโสสูงสุดยังนั่งเฉยๆ  ฉันก็พยายามคะยั้นขยอให้ท่านทาน  ท่านก็เอาแต่ส่ายหน้า จนคนขับรถของเราต้องบอกว่า “ บุ่ย ๆๆ" เราจึงถึงบางอ้อ    

     เหตุผลคือ ท่านจะไม่กินอะไรทั้งนั้น ถ้าข้าวยังไม่มา  ความที่เราเคยชินกับการไม่ค่อยกินข้าว จะกินแต่กับข้าวเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงลืมสั่งข้าวจนได้  และไม่นานเมื่อข้าวมาถึง  ท่านก็แค่หยิบชิ้นเป็ดมาวางบนข้าวชิ้นเดียวเท่านั้น  ดูว่าท่านก็อร่อยแบบพอเพียงดีจริงๆ 

 โฉมหน้าผู้สั่งอาหารมื้อนี้ หลานชายชาวจีนชื่อ อาคัง 


         เนื่องจากฉันตั้งหัวเรื่องไว้ว่า “ เจี๊ยะบุ่ย ..." ซึ่งแปลว่า “ กินข้าว" ในภาษาไหหลำ   ดังนั้น เราจึงจะคุยกันแต่เรื่องอาหารก็แล้วกัน   เพราะไปคราวนี้ตั้งใจไปผจญภัย หาอะไรแปลกๆมาเล่าให้เพื่อนฟังนั่นเอง  จึงขอข้ามเรื่องงานไปเลย  

         เอาเป็นว่า หลังจากทำธุระของเราที่หมู่บ้านนอกเมืองเสร็จ  เราก็รีบกลับเข้าเมืองไหเค๊าทันที มิไยที่น้องสาวบ่นอยากจะแวะเที่ยวเมืองเก่า  แต่ฉันก็ตั้งหน้ากลับโรงแรมท่าเดียว  เพราะวันนี้ทั้งวัน ยังไม่มีคาเฟอิน ตกถึงท้องฉันเลยสักหยด  (มื้อเช้ากินเป้าโลฝั่น) ฉันเริ่มมีอาการหงุดหงิด ร้องหาร้านกาแฟ  และจำได้ว่าในห้างสรรพสินค้าข้างโรงแรมที่พักของเรา  มีร้านกาแฟอยู่ในนั้น  

       เรื่องร้านกาแฟในเกาะไหหลำนี่ ต้องชมว่าเขาพัฒนาได้รวดเร็วมาก  ในปีแรกที่ฉันมา  ยังไม่มีร้านกาแฟสวยๆ หรือขนมเค็กดีๆอร่อยๆให้กินเลย  จำได้ว่าเราต้องไปนั่งกินกาแฟ กับพายสับปะรดในร้านแมคโดแนล แก้ลงแดง  ก่อนที่จะบินไปเมืองกวางโจวเพื่อสวาปามขนมเค้กนับสิบอันด้วยความโหยหา (บ้าดีจัง)

       ร้านกาแฟในห้างระดับไฮเอ็น ที่เราเข้าไปนั่งวันนี้  ตกแต่งดูดีราวพระราชวังแวร์ซาย  จนฉันแอบปลื้มเล็กๆ เมนูเล่มใหญ่รูปดีสีสวยมาก   ฉันเปิดดูสามเล่ม มีเมนูน้ำชากาแฟเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งฉันและคณะก็สั่งกันเรียบร้อย   

      แต่พอมองหาขนมเค็ก กลับไม่มีให้สั่ง ส่วนใหญ่เป็น Snack แบบจีน  ซึ่งล้วนเป็นอาหารคาวเสียมากกว่า  มองไปทุกโต๊ะ ล้วนกำลังรับประทาน Snack ที่ว่านั้น   ฉันถามพนักงานเรื่องเค้ก เขาบอกว่าไม่มี คุณต้องไปซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต  แต่นำมากินในร้านนี้ไม่ได้

     เอาล่ะวา.....ฉันเชื่อแล้ว ที่มีคนบอกว่าคนไหหลำไม่ชอบกินขนม  ดังนั้นเราจึงต้องนั่งจิบกาแฟกันอย่างเดียว  และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ในร้านมีการก่อสร้างต่อเติมเสียงดังมาก  แถมลูกค้าในร้านก็คุยกันเสียงดัง  ซึ่งค่อนข้างผิดปกติของบรรยากาศร้านกาแฟ    แต่รู้สึกเหมือนว่าทุกคนจะเฉยเมยกับเสียงนั้น  มีเพียงฉันคนเดียวที่หงุดหงิด  ....

      และในที่สุด เราก็รีบออกจากร้านก่อนที่ฉันจะอารมณ์บูดไปกว่านี้  โดยขอตัวขึ้นไปนอนสักพัก  ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะเหนื่อยสะสมกับการเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน นั่นเอง



      ค่ำแล้ว....ฉันตื่นลงมานั่งรอเด็กๆที่ล๊อบบี้ตามเวลาที่นัดคือ 19.00 น. น้องสาวและหลานชายเข้ามาหาพร้อมกับกลิ่นเต้าหู้เหม็น  ( อาหารทานเล่นชนิดหนึ่งของจีน)  พวกเขาออกไปเดินตลาดชาวบ้านแล้วซื้อเต้าหู้เหม็นทอดกินกัน  กลิ่นยังอบอวลตามมาโรงแรมด้วย  อาหารชนิดนี้ แม้จะเหม็นแต่อร่อยดี  นอกจากเต้าหู้เหม็นแล้ว  หลานชายยังเอาไก่หมักเกลือที่เขาซื้อกลับเมืองไทยออกมาให้ชิม  รสชาติคล้ายไก่โค๊ะแบบไหหลำบ้านเรา  เพียงแต่ไก่หมักเกลือคือไก่ชิ้นโตๆที่คลุกเกลือเมล็ดไว้ ห่อด้วยกระดาษไขแล้วนำไปนึ่ง  หวังว่าเจ้าไก่หมักเกลือนี้คงได้มีโอกาสไปถึงกรุงเทพฯนะ
หลังจากชิมอาหารที่พวกเขาซื้อมาเสร็จ  ฉันก็ให้เขาดูแผนที่  และบอกว่า 

ป้าได้ยินคนพูดกันว่า ไหหลำมีตลาดอาหารทะเลใหญ่มากที่ถนนบังเกียว  เดี๋ยวป้าจะไปกินอาหารทะเลที่นั่น ” 

หลานชายทำหน้าตกใจ  ถามว่า “ ป้าเคยไปแล้วหรือครับ
ฉันตอบหน้าตาเฉยว่า “ ไม่เคย  แต่จะไปอ่ะ "

 เจอคนแก่กวนประสาทขนาดนี้หลานชายก็ต้องยอม   เดินไปถามพนักงานโรงแรมว่า ถนนบังเกียวอยู่ไกลไหม?

พนักงานโรงแรมที่แสนดี  ที่นอกจากจะชี้ให้ดูในแผนที่แล้ว ยังเสนอความคิดอีกว่า  

อย่าไปเลย ไม่น่าสนใจหรอก  มีแต่คนท้องถิ่นเขากินกัน  สถานที่ก็ไม่สะอาด  สู้ตามภัตตาคารแถวนี้ไม่ได้  ”

ฉันนึกขอบใจพนักงาน แต่ข้อเสนอแนะของเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจฉันได้   เพราะเขาน่าจะเรียนรู้ว่า คนเรามีจุดหมายในใจต่างกัน   ฉันเป็นหญิงชราที่ไม่ชอบทำอะไร หรือเที่ยวเหมือนใคร  (เพราะมันน่าเบื่อ)

ในที่สุดเราก็เราก็มาถึง Banqiao Seafood Plaza  จนได้


ก่อนลงจากแท็กซี่ มองไปรอบๆบริเวณ  เห็นอาคารคล้ายตลาดสดบ้านเรา กว้างขวางมาก  แต่สิ่งแวดล้อมไม่ค่อยสว่างไสวนัก  ฉันถามแท็กซี่ว่า ขากลับหาแท็กซี่ยากไหมเขาก็ยืนยันว่ามีแท็กซี่มาแถวนี้เยอะ เพราะคนในเมืองนี้ชอบมากินอาหารทะเลที่นี่กัน  เราก็โล่งอกไปว่า คงไม่ต้องเดินกลับแน่ 




          สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ  ทันทีที่เราลงจากแท็กซี่  ฉันก็ต้องตกใจที่มีบรรดาหญิงสาว 5-6 คน วิ่งมารุมล้อมเรา โดยพยายามจูงมือเราเข้าไปในตลาดขายอาหารทะเลนั้น  ดูลักษณะแล้ว  คงเป็นพวกพนักงานของร้านอาหารที่ออกมาแย่งชิงลูกค้าถึงข้างถนน   แม้เราจะปฏิเสธว่าไม่ได้มากิน  แต่พวกหล่อนก็เกาะเราติดแน่น  ฉันนึกในใจว่า “ ยังเข้าไม่ถึงตลาดเลย  ก็โดนฝูงปลิงทะเลเกาะเสียแล้ว” 



เราเดินเข้าไปในตลาด  ภายในแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นร้านทำอาหาร พร้อมโต๊ะนั่งรับประทาน กับส่วนที่เป็นตลาดขายอาหารทะเลสด  ซึ่งมีมากมายสุดลูกตา  เลือกกันไม่หวาดไหว  เชื่อแล้วว่าเกาะไหหลำเป็นเมืองแห่งอาหารทะเลโดยแท้  และที่น่าสนใจคือ  บรรดาอาหารทะเลเหล่านั้นล้วนยังมีชีวิตทุกตัว  เนื่องจากคนที่นี่ไม่นิยมกินของตายแล้วนั่นเอง


 คนไหหลำที่มากินอาหารแต่งตัวดี ทั้งชายหญิง

อาม่าชาวไทย รู้เลยว่าเป็นนักท่องเที่ยว 

 เก้าอี้เกือบทั้งหมดบนเกาะไหหลำ จะเป็นสีชมพู หรือสีแดง 
ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือร้านน้ำชา 













ก่อนมาที่นี่ มีคนแนะนำว่า หอยเชลล์นึ่งกระเทียมที่นี่อร่อยสุด 
เราเลยซื้อหอยเชลล์ที่แกะใหม่ๆไป 1อย่าง 

 ตั้งใจจะกินปลา สาวที่เกาะเราติดก็หยิบปลาตาเดียวขึ้นมา
ให้เราเลือก มันดิ้นสุดฤทธิ์ในมือเธอ

แต่ความที่เป็นคนชอบปลาเก๋า ฉันจึงเปลี่ยนใจเลือกปลาเก๋าแทน 
 น้องเก๋าก็ดิ้นเหมือนกัน จนฉันชักลังเล แต่คิดๆดูก็ต้องปลงอ่ะ


นอกจากอาหารทะเลแล้ว ยังมีไก่ที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้
สำหรับคนไหหลำ กับผักสด ซึ่งมีอยู่แค่ร้านเดียว 

 เราเดินเลือกอาหารหลากชนิดไปเพลินๆ  หันมาดูอีกที  สาวๆที่เกาะเรามาเป็นฝูงตอนนี้หายไปเกือบหมด เหลืออยู่คนเดียวที่ดูเหมือนว่าจะได้ครอบครองเรา  ( ไม่รู้ว่าพวกหล่อนตกลงกันอย่างไร)  พอเราหยุดดูร้านไหน หล่อนก็จะช่วยจับ กุ้ง หอย ปู  ปลา ขึ้นมาให้เราเลือก  พอซื้อเสร็จหล่อนก็จะทำหน้าที่หิ้วของทั้งหมดให้เรา จากนั้นก็จะพาเราไปยังร้าน เพื่อนำอาหารทะเลที่ซื้อไปปรุงให้

      หลักการของตลาดนี้คือ  ลูกค้าต้องซื้ออาหารทะเลสดเอง   ส่วนร้านที่มีอยู่ในตลาดมากมายจะรับจ้างปรุงให้  โดยคิดค่าปรุง  ค่าน้ำดื่ม   ดังนั้นแต่ละร้านจะมีเพียง เตาไฟ อุปกรณ์ในครัว และโต๊ะเก้าอี้เท่านั้น  ไม่มีสินค้าวางขายหน้าร้าน


   พอนั่งโต๊ะเรียบร้อย  แม่สาวที่พาเรามาก็มาถามว่า เราจะทำอะไรกับอาหารที่เราซื้อมาดี   เราก็บอกไปว่า ปกติคนไหหลำกินแบบไหนก็ทำมาก็แล้วกัน  ส่วนรสชาติก็เป็นแบบที่คนที่นี่เขากินนั่นแหละ  หล่อนรับคำสั่งแล้วจากไป  เราก็นั่งจิบน้ำชารออาหารไป




     ระหว่างที่รอก็มีสาวๆ ถือถาดอาหารทานเล่นมาเร่ขายตามโต๊ะ  อาคัง หลานชายบอกว่าอาหารพวกนี้เขาเคยกินตอนเป็นเด็ก  อร่อยดี เราก็เลยอุดหนุนแม่ค้าเร่มาหนึ่งจาน  ทั้งๆที่ไม่ค่อยหิวนัก 

 บรรยากาศผู้มาทานอาหาร ส่วนใหญ่จะมาเป็นครอบครัว

 หรือมาเป็นแก๊งค์ (อากาศร้อนเลยถอดเสื้อกินทั้งแก๊งค์)

 มีเพียงโต๊ะเราที่มาแค่ 3 คน แต่ซื้ออาหารมาเพียบ 
 
      มองไปทางในครัว ซึ่งเปิดโล่ง  เห็นหม้อนึ่งไอน้ำพุ่งพล่าน  ฉันรู้แล้วว่า น้องเก๋าที่เราเลือกมา กำลังอบไอน้ำอยู่ นึกๆก็กลัวบาปกรรมเหมือนกัน  แต่ทั้งตลาดนี้จะหาปลาตายได้ที่ไหนล่ะ  เพราะปลาตาย คือปลาที่ขายไม่ได้เขาก็ไม่เอามาขาย  ยังไงๆก็บาปกันทั้งตลาดอยู่ดี   ขออโหสิกรรมด้วยนะน้องเก๋า 







    สักพักทางร้านก็เอาถาดเครื่องเติมมาให้ตามประเพณี  ในถาดประกอบด้วย น้ำซีอิ้ว  เต้าเจี้ยวหวาน พริกดอง  กระเทียมสดสับ ( หากเป็นร้านทั่วไป ต้องมี ขิงสับ กับ ส้มจิ๊ดให้ด้วย)   เราก็เริ่มกระบวนการทำน้ำจิ้มแบบ Tailor made ด้วยการตักทุกอย่างลงในถ้วย ตามรสที่ต้องการ แล้วคนๆ ให้เป็นน้ำจิ้ม 



และแล้วอาหารจากแรกก็มาถึง  เป็นผัดผัก 2 จานที่เราอยากกิน อร่อยมากจริงๆด้วย

 จานนี้คือกุ้งผัดพริกเกลือ รสดีมากเผ็ด เค็ม หวานนิดๆ ถูกใจ...

หอยเชลล์นึ่งกระเทียม  จานเด่นที่ทุกคนแนะนำ 
ดูเหมือนว่าเขาจะเอากระเทียมไปผัดปรุงรส
ก่อนนำมาโรยบนหอยเชลล์ที่นึ่งแล้ว  รสกระเทียมอร่อยดี

 จานสุดท้าย เป็นน้องเก๋านึ่งซีอิ้ว ซึ่งทำตามรสของคนไหหลำ 
จึงแก่เค็มไปนิด แต่เนื้อปลาหวานอร่อยมาก

กินกันสามคน แทบพุงแตก
ต้องยกความดีให้คนสั่ง เพราะเป็นคนเดียวที่พูดจีนได้ 


ระหว่างนั่งทานกัน จะมีนักร้อง นักดนตรีผลัดเปลี่ยนกันมาร้องเพลงให้ฟัง  นักร้องเหล่านี้ ทางตลาดจ้างมาให้เดินร้องสลับกันไปในแต่ละจุดของตลาด  

กินกันจนอิ่มดีแล้ว ก็เรียกมาคิดตังค์ ค่าทำอาหาร สิ่งที่น่าแปลกใจมากคือ อาหารแต่ละอย่างค่าจ้างทำไม่เท่ากัน  เราคิดว่าปลาเก๋านึ่งน่าจะแพงสุด แต่ก็แค่ 14 หยวน  กุ้ง 7 หยวน 

ที่แพงสุดกลับเป็นหอยเชลล์ ที่ตอนซื้อมาราคาถูกสุด คือตัวละ .80 หยวนเท่านั้น ( ค่าหอยสด = 16 หยวน )    แต่ค่าทำเขาคิดเป็นรายตัว ตัวละ 2 หยวน เราซื้อมา 20 ตัว = 40 หยวน  สรุปแล้วหอยจานนี้ ราคาแพงสุด = 56 หยวน 

ยังไม่หมด....มีค่าน้ำจิ้มอีก 9 หยวน แล้วเอ๊ะ ...ค่าอะไรอีก 40 หยวนจ๊ะ 

ทางร้านบอกว่าเป็นค่าจ้างคนพาแขกมา 40 หยวน  โอ้..มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนเรามาถึง จึงมีสาวๆมาไล่ต้อนเราราวกับจิ้งจอกต้อนฝูงแกะ  จริงๆแล้วสาวๆพวกนั้นไม่มีร้านเป็นของตัวเอง  หรือเป็นลูกจ้างร้านใดเลย  หล่อนจะจับลูกค้าแล้วพาไปส่งร้านที่หล่อนหมายตา และมีข้อตกลงกับหล่อนไว้นั่นเอง 

หลานมองหน้าฉัน เพราะคิดว่าฉันจะบ่น แต่ก็ต้องผิดหวังไป ฉันกลับหัวเราะชอบใจ เพราะเงินที่จ่ายไปช่างคุ้มค่ากับประสบการณ์ที่อยากรู้อยากเห็นเสียจริง  ดีใจ สนุกสนาน และอร่อยจ๊ะ

 เรากลับมาถึงโรงแรม แต่ราตรีนี้ยังเยาว์นัก 
เลยออกไปเดินชมแสงสีกันต่อ

 เห็นร้าน ปี๊ ชิง เค่อ  ( Pizza Hut) เลยเข้าไปซื้อ 
เข่อ เล่อ จา ปิง ( โค๊กใส่น้ำแข็ง) กินหนึ่งแก้ว 
เพราะคอแห้ง สงสัยกินชูรสมากไปหน่อย 



เห็นร้านชื่อ Orange นึกว่าเป็นร้านผลไม้ 
แต่หลานบอกว่าเป็นร้านขายคอเป็ด
ที่มีชื่อเสียงและขายดีที่สุด 

 เข้าไปดูใกล้ๆ คอเป็ดจริงๆด้วย

 ข้างๆกันเป็นร้านขายอาหารว่างประเภทปิ้งย่าง มีทั้งหมู ไก่ 
เครื่องในไก่ ปีกไก่ หอย และนก

  นกจริงๆด้วย.... กินทั้งตัวเลย 

วันรุ่งขึ้นเราต้องรีบกลับ จึงไปทานอาหารเช้าที่สนามบิน 

 อาหารที่นี่ขายเป็นชุดดูน่าทานมาก หลานชายสั่งชุดเคาหยก 
( หมูตุ๋นผักกาดแห้ง)น่าทานมาก

ส่วนน้องสาว วันมาถึงประเดิมด้วย "เป้าโล ฝั่น" 
วันกลับก็ปิดท้ายด้วยเป้าโลฝั่น"   

สำหรับฉัน สั่งอาหารฝรั่งเป็นแซนด์วิชแฮมชีส กับกาแฟ 
แต่ก็รับประทานไม่ได้เลย นึกสมน้ำหน้าตัวเองอย่างยิ่งที่
สั่งในสิ่งที่เขาไม่ถนัด  ข้อเตือนใจอย่างหนึ่งคือ 
ไปที่ไหนก็ต้องกินอาหารของเขา  อย่ากินในสิ่งที่เขาไม่กิน  

ว่าแล้วก็แย่ง "เป้า โล ฝั่น" ของน้องสาวกินอย่างเมามัน ....... 
อร่อยค่ะ