บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เราอยู่ร่วมกันได้ เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น...



หลังจากออกจากงาน คิดว่าตัวเองจะมีเวลาว่าง หลายคนเป็นห่วงกลัวว่าฉันจะเหงา  แต่ล่วงเลยมากว่า 5 เดือน  แม้จะหาเวลาแอบนอนกลางวันก็ยังทำไม่เป็น  ดูเหมือนว่ามีอะไรๆที่ยังไม่ได้ทำรออยู่เต็มบ้าน 

ส่วนในคอมพิวเตอร์ ก็มีอีเมล์ที่ยังไม่ได้อ่านมากกว่า 500 ฉบับ แต่ก็แปลกที่เมื่อเลือกเปิดเป็นบางฉบับ กลับเจออีเมล์ที่ต่างชื่อ แต่มีเนื้อหาซ้ำกันถึง 3 ฉบับ  หากจัดอับดับ คงเป็นอีเมล์ที่ฮ๊อตสุดๆเป็นแน่  หรือว่าโชคชะตาเป็นผู้เลือกให้ฉันอ่านกันแน่

เนื้อหาของอีเมล์ดีมาก จนต้องรีบนำมาเผยแพร่ต่อ หลายท่านอ่านแล้วคงคิดว่าฉันช่างเก่งเสียจริง ดูเหมือนรู้ซึ้งเข้าใจชีวิตไปหมดทุกด้าน  เปล่าเลย ฉันก็แค่คนแก่นิสัยเสียคนหนึ่งที่อยากจะมีความสุขในบั้นปลายของชีวิตเท่านั้น  และที่นำมาให้ทุกท่านอ่าน มิใช่เพราะอยากจะสอนใคร หากแต่กำลังสอนตัวเอง ........

บทความนี้ชื่อ  เราอยู่ร่วมกันได้ เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น...
อ่านแล้วเห็นด้วย ยอมรับว่าเป็นความจริงอย่างยิ่ง..






















วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5 เรื่องที่คนใกล้ตายเสียใจ...ที่ทำ และ ไม่ได้ทำ



ไม่นานมานี้  ได้รับเมล์จากรุ่นน้องคนสนิทท่านหนึ่ง  เนื้อหาของจดหมายทำให้ต้องหันกลับมามองตัวเองว่า  ฉันได้รับจดหมายนี้ช้าไปหรือไม่  ทบทวนดูแล้วรู้สึกโล่งอกว่า  ใน 5 ข้อที่กล่าวไว้ในจดหมาย มีบางข้อได้ทำไปแล้ว แต่บางข้อเพิ่งเริ่มทำ  พอสรุปได้ว่า  ฉันอยู่ในเขตปลอดภัย 

เมื่อจบจากดูตัวเอง  ก็คิดได้ว่า น่าจะส่งให้เพื่อนๆ และผู้ที่ผ่านไปมาได้อ่านบ้าง  อย่างน้อยคนที่อยากมีความสุขในชีวิต และกำลังมองหาหนทาง จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์  ดิฉันทำแล้ว และมีความสุขมาก  คุณล่ะ.......................................................................



5 เรื่องที่คนใกล้ตายเสียใจ...ที่ทำ และ ไม่ได้ทำ

คนเรารู้สึก เสียใจ กับเรื่องอะไรบ้าง ก่อนเสียชีวิต?

หนังสือขายดีใน Amazon เล่มหนึ่ง ชื่อว่า "The Top Five Regrets of the  Dying" เขียนโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นคนดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุยและรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้


เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นหลักๆ







ประเด็นแรก พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง มากกว่าตามความคาดหวังของคนอื่น..............
(I wish I’d had the courage to live a life true to myself, not the life others expected of me.)


เกือบทุกคนที่กำลังจะเสียชีวิตจะพูดถึงประเด็นนี้
เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าชีวิตได้ล่วงเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว
และย้อนกลับไปมองอดีต 

เขาจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าอะไรที่อยากทำ
อะไรที่ได้ทำ และอะไรที่ยังไม่ได้ทำ กว่าพวกเขาจะรู้สึกว่า
มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะเดินตามความฝันของตัวเอง
หรืออย่างน้อยก็แค่พยายาม มันก็สายเกินไป
สุขภาพของพวกเขาเอาอิสรภาพในการตัดสินใจทำไปจากพวกเขาแล้ว
และก็ไม่มีวันจะคืนให้เขาอีกต่อไป





ประเด็นที่สอง พวกเขาจะไม่ทำงานหนัก 
(I wish I didn’t work so hard.)

งานหนักที่พวกเขาเคยรู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้นั้น พาพวกเขาออกห่างจากชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต 
พวกเขาไขว่คว้าและวิ่งตามแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ
หรือแม้กระทั่งการยอมรับจากคนที่อยู่นอกวงกลมของชีวิต
โดยที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตัวเองทำอย่างนั้น

พวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมีตารางเวลาที่ดี แสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง หรือเกียรติยศเท่าที่พอเพียง และแบ่งเวลาไปให้กับชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต 
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาหมดลมหายใจ
จะไม่มีอะไรที่ติดตัวพวกเขาไปเลยสักอย่างเดียว

ประเด็นที่สาม พวกเขาน่าจะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ 
(I wish I had the courage to express my feelings.)

คนจำนวนมากเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ข้างใน 
เพราะเกรงใจ เพราะกลัวคนจะว่า เพราะกลัวจะไปขัดใจคนอื่น แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเครียด และความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองในภายหลัง 
นอกจากนี้ความต้องการแสดงความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีเฉพาะด้านลบเท่านั้น พวกเขายังไม่แทบจะไม่ได้แสดงความรู้สึกดีดีออกไปให้บางคนที่ได้รับรู้ในสถานการณ์นั้นๆ 
เมื่อเวลาผ่านมา จนถึงที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต หลายคนก็เสียชีวิตไปก่อนเขา
และหลายครั้งมันก็เลยสถานการณ์นั้นๆมานานแล้ว  หากพวกเขาได้แสดงความต้องการออกไปอย่างที่ตัวเองรู้สึก ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีนั้น จะทำให้พวกเขาไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ
ทั้งยังรู้สึกดีกับตัวเองมากกว่านี้ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

ประเด็นที่สี่ พวกเขาจะอยู่กับเพื่อนเก่าๆ ให้นานกว่านี้ 
(I wish I had stayed in touch with my friends.)

บ่อยครั้งที่พวกเขารับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงจากการได้อยู่กับเพื่อนเก่าๆ ก็ต่อเมื่อตัวเขาเองกำลังจะเสียชีวิตลง หรือเพื่อนๆ ของเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว
ที่ผ่านมา พวกเขาก็ห่างเหินจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันมากๆ ไปเป็นปีๆ และเมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต พวกเขาก็รู้สึกเสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ชีวิตอันยุ่งเหยิงจะพาเราออกจากเพื่อนๆ
  
แต่เมื่อเรากำลังจะเสียชีวิตลง พวกเขากลับต้องการเพื่อนๆ พูดคุย เห็นหน้า ดูหนังด้วยกัน ไปเที่ยวกัน  มากกว่าเรื่องอื่นเสียอีก

 ประเด็นที่ห้า พวกเขาน่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่านี้ 
 (I wish that I had let myself be happier.) 
 
เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่กำลังจะเสียชีวิตกลับตระหนักว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง พวกเขาดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบซ้ำๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่ก็ไม่อยากจะลำบากต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต
และเมื่อย้อนเวลากลับไปนึกถึง พวกเขารู้สึกว่าความสุขในชีวิตนั้น
เกิดจากสิ่งที่เขาเลือก อะไรก็ตามที่ทำอยู่ซ้ำๆ จะไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตมากนัก
แต่จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นไปตามความต้องการของตนเองนั้น
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มีความหมายกับชีวิตมากกว่านัก


ขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ตระหนักกับทุกๆ วินาทีที่ผ่านไป
เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขาเหล่านี้ เราจะได้ไม่เสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านไป

Blue Balloon 
 
 I have a blue balloon, a happy tune.
Long enough to last me all thro' the afternoon,
I have the " New York Times", fourteen dimes,
The explanation of the most profound nursery rhymes.

* Before the rivers run dry, before the last sad goodbye

Let's be kind to one another we can try.
So don't just throw your love about it's not too late to find out
Before the sand has all run out of the hourglass.

The carnival is here, the clowns appear

Plastic painted people hold each other near,
Hopes are always high they echo off the sky, when it's over
There's just the lonely sound of goodbye. *

Too late to hide it now, it's all around us now,

Oh, how I want you girl, to lie beside me now,
While there still is time, and all my poems still rhyme
Let me love you now, we can drink the good good wine.
So don't just throw your love about, you and me,
Hey, let's find out
Before the sand has all run out of the hourglass.





วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฝนฟ้าหอมอวล ลี่เจียงแห่งฝัน ห้วงยามอ่อนโยน สุขใจที่ลี่เจียง




หลายครั้งที่ฉันตัดสินใจเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยว เพียงเพื่อจะดูบ้านเมืองเก่าๆ  บางเมืองให้ความรู้สึก อิน กับบรรยากาศของเมืองเสียจนหลงคิดว่า ฉันเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนในห้วงหนึ่งของกาลเวลา  แต่พอไปเที่ยวเมืองเก่ามาหลายต่อหลายเมือง  ก็บรรลุแล้วว่า มันเป็นแค่ความหลงไหลส่วนตัวเท่านั้น  ความจริงคือ ฉันมิเคยไปเกิดอยู่ที่แห่งใดเลย นอกจากที่บ้านของฉัน
อย่างไรก็ตาม  การได้ไปเดินอยู่ในเมืองเก่าที่ยังมีชีวิต  นับเป็นความสุขล้นเปี่ยมที่หายากยิ่ง ไม่ใช่ว่าใครๆก็ไปได้  เพราะแต่ละแห่งช่างอยู่ ห่างไกลเหลือเกิน  การไปเที่ยวเมืองเก่าของจีนที่ชื่อ “ เมืองลี่เจียง” ที่เป็นความฝันมาหลายปี ก็กลายเป็นจริงขึ้นมาในปีนี้เอง
แม้เส้นทางที่ไป “เมืองลี่เจียง” จะต้องผ่านสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันมากนัก  ตลอกการเดินทางฉันเฝ้ารอวันที่จะไปให้ถึงเมืองนี้โดยเร็ว  และเมื่อมีคนถามถึงแผนการเดินทางครั้งนี้  ฉันกลับตอบไม่ถูกว่าไปที่ไหนบ้าง รู้เพียงว่า ฉันจะไป ลี่เจียง
  ลี่เจียง (Lijiang) ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน  มีจำนวนประชากรราว 1,100,000 คน ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวน่าซี 
 เมืองลื่เจียง มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี ในอดีตเป็นตลาดค้าขายสินค้าหลักที่สำคัญ บนเส้นทางสาย Tea Horse ซึ่งหมายถึง Chinese Tea & Tibetian horse   หมายถึงการนำใบชาจีนบรรทุกบนหลังม้าธิเบต เพื่อนำไปขายยังดินแดนธิเบต

  ลี่เจียง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก จากการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ในเดือน กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งทำให้เมืองถูกทำลายเป็นพื้นที่ถึงหนึ่งในสาม  หลังจากนั้น ความช่วยเหลือหลั่งไหลมาสู่เมืองลี่เจียง จึงทำให้หลาย ๆ คนรู้จัก เมืองนี้ดี  และด้วยความงดงามของ ธรรมชาติ รวมทั้งศิลปะ วัฒนะธรรม ไม่ว่าจะเป็น  ตัวเมืองโบราณต้าเหยียนที่มีอายุกว่า 800 ปี สายน้ำใสบริสุทธิ์ 3 สายที่ไหลผ่านเมือง และอาคารบ้านเรือนโบราณอายุนับร้อย ๆ ปี หรือวิถีชีวิตผู้คนยังคงดำเนินไปเหมือนเช่นอดีต จนได้รับการขนานนามว่า เวนิสแห่งตะวันออก และสามารถรักษารูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติมาได้โดยตลอด  จึงได้รับการเชิดชูจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลก ในปี 2540
 คำขวัญประจำเมือง : 
ฝนฟ้าหอมอวล ลี่เจียงแห่งฝัน ห้วงยามอ่อนโยน สุขใจที่ลี่เจียง


สถานที่ท่องเที่ยวใน ลี่เจียงที่มีชื่อเสียงคือ

ภูเขาหิมะมังกรหยก

โชว์จางอวี้โหมว

อุทยานน้ำหยก

สระมังกรดำ ( ปกติจะมีน้ำเต็ม แต่ปีนี้โชคร้ายไม่มีน้ำให้ดูจ๊ะ)

ที่ฉันอยากจะบอกคือ แม้ฉันจะได้ไปชมสถานที่เหล่านั้นมาจนหมดแล้วก็ตาม  แต่ ....ฉันไม่ได้มาเพื่อสิ่งเหล่านี้

เพราะ คำว่า “ลี่เจียง” ที่อยู่ในความปรารถนาของฉันนั้น  มิใช่เมือง ลี่เจียงโดยรวมทั่วไปทั้งหมด ฉันมาเพียงเพื่อได้เห็น “เมืองโบราณลี่เจียง”   เมืองเก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของโลกสมัยใหม่  และรายล้อมด้วยธรรมชาติ  เต็มเปี่ยมไปด้วยตำนานแห่งขุนเขาและท้องทุ่ง เท่านั้น
 เมืองโบราณลี่เจียง มีชื่อ อย่างเป็นทางการว่า เมืองเก่าต้าเหยียน ตั้งอยู่ในอำเภอปกครองตนเองชนชาติน่าซีแห่งลี่เจียง ในมณฑลยูนนาน เป็นเมืองที่เริ่มสร้างตั้งแต่ปลายราชวงศ์ซ่งและต้นราชวงศ์หยวน (ช่วงปลายศตวรรษที่ 13) ผู้ที่ทำให้เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งคือ “ กุบ ไบข่าน” กษัตริย์องค์แรกของราชวงค์หยวน  ในยุคนั้น เมืองลี่เจียงนับเป็นศูนย์กลางการค้า  ตลอดจนศิลปและวัฒนธรรม  โดยเฉพาะด้านการเดินทาง เมืองนี้นับเป็นประตูสู่ดินแดนห่างไกล เช่น ธิเบต  อินเดีย  และตะวันออกไกล

ตัวเมืองโบราณลี่เจียง อยู่บนที่ราบสูงยูนนานและกุ้ยโจวที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกิน 2400  เมตร  มีพื้นที่กว้าง 3.8 ตารางกิโลเมตร เป็นตลาดและเมืองสำคัญที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบัน มีชาวเมืองกว่า 6,200 ครอบครัว รวม 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวน่าซี  มีชาวเมือง ร้อยละ 30 ยังคงประกอบอาชีพผลิตเครื่องศิลปหัตถกรรมที่มีมาแต่ดั้งเดิมและการค้า เช่น เครื่องทองเครื่องเงิน หนังสัตว์ สิ่งทอและ ผลิตเหล้า 

ลี่เจียงเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์  มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 800 ปี โดยสามารถรักษารูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติมาได้โดยตลอด   ลี่เจียงเป็นเมืองที่มีชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งรวมสุดยอดสถาปัตยกรรมของชนชาติฮั่น ชนเผ่าไป๋  อี๋ และทิเบต ทั้งยังสะท้อนถึงสีสันของชนเผ่าน่าซีอีกด้วย สิ่งก่อสร้างสมัยโบราณ เช่น ซุ้มประตู สระน้ำตันฉือ ตำหนักใหญ่ ฯลฯ รายเรียงตามเส้นผ่าศูนย์กลางของเมืองจากตะวันออกสู่ตะวันตก โดยทางตอนเหนือของเมืองเป็นย่านการค้า

 
ลักษณะเด่นของเมืองลีเจี่ยงคือ "น้ำมีเมืองยัง เมืองยังน้ำอยู่"  สายน้ำในเมืองเก่าลี่เจียง มาจากสระมังกรดำ ( Heilongtan- บ่อเฮยหลงถัน )  ไหลตามลำธารคดเคี้ยวสู่บ้านเรือนทุกหลังจากเหนือจรดใต้  ความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินริมสองฝั่งน้ำ 3 สายที่ไหลผ่านเมืองลี่เจียง  มีคนเปรียบว่าเสมือนสายน้ำหมึกสีหยกที่วาดลงบนผืนแผ่นภาพที่งดงาม   
แม่น้ำเหล่านี้มีสะพานหินและสะพานไม้ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างไม่ซ้ำแบบกัน เป็นทางที่เชื่อมเชื่อมถนนและตรอกซอยน้อยใหญ่ ประกอบกันขึ้นเป็นทิวทัศน์ของเมืองเหนือน้ำที่มีเอกลักษณ์ สิ่งนี้จึงเป็นความลี้ลับที่เมืองโบราณแห่งนี้สามารถรักษาพลังชีวิตอัน คึกคักไว้ได้  อีกสิ่งหนึ่งที่นับว่าแปลกกว่า เมืองโบราณอื่นคือ เมืองลี่เจียงเป็นเมืองที่ไม่มีกำแพงปกป้องเมือง  แต่ก็ยังสามารถรักษาเมืองให้มีสภาพเดิมมาได้จนทุกวันนี้
 

สถาปัตยกรรม

จากการผสมผสานด้านวัฒนธรรมระหว่าง ชนชาติหลายเผ่าพันธุ์  โดยเฉพาะจากชนกลุ่มใหญ่ในดินแดน คือ ชนเผ่า น่าซี จึงส่งผลให้เกิดศิลปสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมร่วมกัน มีทั้ง สถาปัตยกรรมแบบ ฮั่น  ไบ๋  และธิเบต รวมกันอยู่ในสิ่งก่อสร้าง สท้อนออกมาให้เห็นในลักษณะอาคารบ้านเรือนของชาวลี่เจียง  ซึ่งดูโดดเด่นสวยงามแตกต่างจากเมืองอื่น  เราเรียกอาคารเหล่านี้ว่าเป็น บ้านแบบน่าซี

แผนผังของเมืองโบราณลี่เจียง เป็นแบบฟรีสไตล์ และปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  บ้านเรือนที่พักอาศัยถูกสร้างอยู่ติดกันเป็นห้องแถว มีหลากหลายรูปแบบตามใจเจ้าของ   ถนนส่วนใหญ่เล็ก แคบ และวกวน หากมิใช่ชาวเมืองที่คุ้นเคย  อาจหลงทางในเมืองนี้ได้



ชาวน่าซี ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการตกแต่งลวดลายสิ่งก่อสร้าง  บ้านเรือนมักสร้างด้วยท่อนไม้ซุง และกระเบื้องเผา  ภายในบ้าน เสา คาน  ประตู หรือผนังห้องจะถูกแกะสลัก หรือวาดภาพไว้อย่างงดงาม  ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่เกี่ยวกับธรรมชาติ  นอกจากบ้านห้องแถวที่เป็นแหล่งค้าขายแล้ว บ้านพักอาศัยจะมีกำแพงล้อมรอบ มีสวนกลางบ้านที่ร่มรื่น  นับเป็นบ้านที่งดงามเหมาะสมสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง 

ภายในเมืองโบราณลี่เจียง  มีคฤหาสน์ใหญ่ที่งดงามหลายแห่ง  แห่งหนึ่งคือคฤหาสน์มู่ฝู่  ซึ่งเดิมเป็นศาลาว่าการของเจ้าผู้ครองแคว้นตระกูลมู่ในเมืองลี่เจียง ที่สร้างขึ้นเมื่อสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ.1271-ค.ศ.1368)  ต่อมาในปี 1998 ได้สร้างใหม่ ทั้งเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์เมืองลี่เจียง คฤหาสน์นี้มีพื้นที่กว้าง 46 โหม่ว ภายในคฤหาสน์มีห้องทั้งใหญ่และน้อยรวม 162 ห้อง ภายในคฤหาสน์ยังมีแผ่นป้ายคำขวัญที่จักรพรรดิสมัยต่าง ๆ พระราชทานมาแขวนไว้ 11 แผ่น แสดงถึงประวัติการเปลี่ยนแปลงของตระกูลมู่จากความเจริญสูงสุด สู่ความเสื่อมโทรมของยุคสมัย

 
น้ำคือหัวใจของเมืองลี่เจียง


ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนชาวเมืองโบราณลี่เจียง ขึ้นอยู่กับลำน้ำที่ไหลผ่าน  ดูเหมือนว่า แม่น้ำคือเส้นเลือดของพวกเขา  จุดเริ่มต้นของลำน้ำเหล่านี้ คือสระมังกรดำ (บ่อเฮยหลงถัน) ซึ่งรับน้ำมาจากขุนเขามังกรหยก  จากแหล่งน้ำนี้เอง ลำน้ำเล็กๆก็แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย  โดยถนนทุกเส้น  บ้านทุกหลังในเมืองเก่าลี่เจียง จะมีสายน้ำไหลผ่านหน้าบ้าน  แต่ละบ้านจะสร้างท่อส่งน้ำเข้าใช้ในบ้าน ดูเหมือนใยแมงมุม หรือร่างแหที่ไขว้ไปมา   



ต้นหลิวถูกปลูกกระจายทั่วไปในเมืองแทบทุกถนน  โดยเฉพาะที่ริมคลองส่งน้ำ เป็นภาพที่งดงาม ให้ความรู้สึกที่อ่อนพลิ้วไหวคล้ายรูปภาพวาดขนาดยักษ์ที่ถูกเขียนขึ้น    และสิ่งที่สวยงามที่จะสามารถพบเห็นได้ตลอดสายน้ำคือ  สะพานหลายหลากรูปแบบ ที่งามแตกต่างกันไป ถึง 354 สะพาน เฉลี่ยแล้วแต่ละตารางกิโลเมตรมี 93 สะพาน สะพานมีหลายรูปแบบ  แต่ละสะพานมีลักษณะโดดเด่นไม่สามารถเลียนแบบได้

สะพานที่มีชื่อเสียงคือ  สะพานสั่วฉุ้ย สะพานต้าสือ สะพานว่านเชียน สะพานหนานเหมิน สะพานหม่าอัน และ สะพานหรินโซ่ว ต่างก็เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเมื่อสมัย ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง(ศตวรรษที่ 14-ศตวรรษที่ 19) ในสะพานเหล่านี้ สะพานต้าสือที่ห่างจาก    ถนนสื้อฟางไปทางตะวันออก 100 เมตร เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุด


วัฒนธรรมการใช้น้ำในการอุปโภค และ บริโภคของผู้คนในเมืองนี้  มีมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเมือง จนถึงปัจจุบัน   ที่ทุกบ้านจะสร้างท่อส่งน้ำ หรือประตูน้ำเข้าบ้าน ตามหลักการของวิทยาการ  โดยจะสร้างไว้ 3 ท่อ จากต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ 

ท่อที่1 มาจากต้นน้ำใช้เป็นน้ำสำหรับบริโภค 
ท่อที่ 2 มาจากกลางน้ำ เป็นน้ำสำหรับใช้อาบชำระร่างกาย  และพืชผักผลไม้ที่นำมาทำอาหาร   
ท่อที่ 3 ไว้ใช้ซักล้างเครื่องนุ่งห่ม  

นอกจากจะใช้ประโยชน์จากน้ำในชีวิตประจำวันของชาวเมืองแล้ว  ลำน้ำยังสร้างความสวยงาม สงบ ร่มเย็นให้แก่ตัวเมืองอีกด้วย  แม้เคยมีคำกล่าวชมเมืองซูโจว (ทางภาคกลาง ) ว่า  “  ฟ้ามีสวรรค์ โลกมนุษย์มีซูโจว ”  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองลี่เจียง แล้ว เมื่องนี้ยังสวยเกินกว่าเมืองซูโจว มากมายนัก  
 
ถนนสายลี่เจียง

จากทางเข้าเมือง ( ไม่มีกำแพงเมือง ) เมื่อข้ามสะพานเข้ามา จะพบกับลานกว้าง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของถนนหลัก 4 สายซึ่งแผ่ขยายเส้นทางออกไปตามลำน้ำ  จากถนนเส้นหลักทั้ง 4 จะมีตรอกซอกซอยแอบอยู่ทั้งสองข้างถนน มากจนไม่สามารถนับได้  เป็นที่แปลกใจ ที่แต่ละซอยสามารถโยงใยทะลุถึงกันได้ทุกมุมเมือง  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่แปลกเลย ที่คนต่างถิ่นจะหลงทิศหลงทางในเมืองนี้  แต่มีคนให้หลักว่า หากจะกลับออกมาจากเมือง  ให้มองหาลำน้ำ และเดินทวนกระแสน้ำขึ้นมา ก็จะมาถึงปากทางเข้าเมือง  ซึ่งมีกังหันใหญ่ที่คอยทดน้ำเข้าเมือง อย่างง่ายดาย

ถนนหนทางในเมืองลี่เจียงสร้างขึ้นตามเชิงเขาและริมน้ำ ปูผิวถนนด้วยแผ่นหินสีดำ  ที่ไม่เฉอะแฉะในฤดูฝน และไม่มีฝุ่น ในฤดูแล้ง   ก้อนหินที่ปูถนนนี้สกัดจากภูเขาในดินแดนของลี่เจียง เป็นก้อนหินที่แข็งแกร่ง  ทำให้เมืองนี้ยังคงมีบรรยากาศที่มีเสน่ห์ของเมืองเก่าที่ลึกลับไว้อย่างสมบูรณ์แบบ 

การทำความสะอาดถนนจะมีขึ้นทุกวัน ด้วยการเปิดประตูน้ำที่ส่งน้ำจากคลอง มาล้างถนนในช่วงดึกของทุกคืน  งานนี้ดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรของคนเมืองนี้มาช้านาน และยังคงสืบทอดกันมายังคนรุ่นใหม่   ถนนที่มีชื่อเสียงของเมืองคือ ถนนซื่อฟัง ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเป็นตัวแทนถนนโบราณในเมือง ลี่เจียง

ฉันโชคดีที่มีโอกาสใช้เวลาสั้นๆที่เมืองนี้   ฉันชอบความรู้สึกในยามที่ฉันเดินบนถนนของเมืองลี่เจียง  เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองในสมัยก่อน  เห็นขบวนม้าบรรทุกสินค้าเดินช้าๆเป็นแถว ขบวนแล้วขบวนเล่า ต่างข้ามสะพานหินที่แข็งแรง มุ่งหน้าเข้าสู่เมือง บนถนนสายแคบๆที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่  เรียงรายด้วยร้านค้าใหญ่น้อย แออัดไปด้วยผู้คน   




วันนี้  ในยามเช้าตรู่ บนถนนสายแคบๆที่ไร้ผู้คน  ฉันมองเห็นภาพขบวนสินค้าผ่านไป  เสียงเกือกม้าสัมผัสกับก้อนหินดังกึกก้องไปไกล   ฉันก้มลงสัมผ้สก้อนหินบนถนน  วันแล้ววันเล่าที่ก้อนหินเหล่านี้  นอนสงบนิ่งรับใช้ชาวเมืองลี่เจียง  จากก้อนหินสี่เหลี่ยมที่หยาบและคม กลายมาเป็นก้อนหินที่เรียบเลื่อม  เพราะสึกกร่อนจากการใช้งานมานานมากกว่า 800 ปี 

ขณะเดินคนเดียวบนถนนที่เงียบสงบ  บรรยากาศทำให้ เพลงๆหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ  ฉันไม่อยากจะปลุกเมืองนี้ให้ตกใจตื่น   จึงเดินร้องเพลงให้ตัวเองฟังเบาๆ

 Hello darkness, my old friend,
I've come with talk with you again
Because a vision softly creeping,
left its seeds while I was sleeping
And the vision that was planted in my brain, still remains
Within the sound of silence

In restless dreams I walked alone,
narrow streets of cobblestone
Neath the halo of a streetlamp,
I turned my collar to the cold and damp
When my eyes were stabbed by the flash of a neon light, split the night
And touched the sound of silence

And in the naked light I saw,
ten thousand people, maybe more
People talking without speaking,
people hearing without listening
People writing songs that voices never shared, and no one dared
To stir the sound of silence

Fool, said I, you do not know,
silence, like a cancer, grows
Hear my words and I might teach you,
take my arms then I might reach you
But my words, like silent raindrops fell,
and echoed in the wells of silence

And the people bowed and prayed to the neon god they'd made
And the sign flashed out its warning in the words that it was forming
And the sign said the words of the prophets are written on the subway walls
And tenement halls, and whispered in the sounds of silence

เพลง : The Sound Of Silence






ชาวเมืองลี่เจียง  กล่าวว่า “ หากได้มาลี่เจียงแม้เพียงครั้งเดียว  เมืองนี้จะเข้าไปอยู่ในใจคุณจนตลอดชีวิต ”    และแน่นอนว่า ฉันคงต้องยอมรับคำพูดนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง  ขอสารภาพว่า ขณะนั่งอยู่บนเครื่องบินเที่ยวกลับเมืองไทย ฉันก็เริ่มคิดหาเหตุผลที่จะมา “ลี่เจียง”   และ ทุกครั้งที่ดูรูป “ลี่เจียง” ฉันยังคงได้ยินเสียงคร่ำครวญของกาลเวลา ที่เรียกหาให้กลับไปอีกครั้ง  



 

ขอบคุณข้อมูลจาก

http://thai.cri.cn/441/2010/06/28/242s176760.htm