บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อยู่ดีมีแฮง ฮักแพงกันคือเก่า -(เที่ยวขอนแก่น 1)

         สมัยเป็นเด็ก เวลาเปิดอัลบลัมรูปที่ญาติผู้ใหญ่ของครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด จำได้ว่ามีรูปอยู่จำนวนหนึ่งที่สมาชิกทัวร์ครั้งนั้น ต้องถ่ายรูปเดี่ยวที่วิวเดียวกันทุกคน เพื่อเป็นที่ระลึกว่าได้มาถึงสถานที่นั้นแล้วนั่นเอง วิวที่ว่าคือรูปของท่อนซุงขนาดยักษ์ที่ถูกยกขึ้นมาตั้งไว้บนไม้ค้ำ และมีอักษรสลักไว้ว่า " ขอนแก่น "
 
     ในสมัยนั้นดิฉันดูรูปอย่างทึ่งในความใหญ่โตของเจ้าท่อนซุงนั้น  สงสัยว่าทำไมมันช่างใหญ่โตเสียจริง เบื้องหลังของท่อนซุงเป็นสถานีรถไฟ รอบข้างเป็นถนนกว้าง ไม่มีรถวิ่งอยู่ในรูปให้แออัดเลย  คิดไปว่าเมืองขอนแก่นในรูปนี้ช่างกว้างใหญ่เสียจริง ๆ หากเมื่อเราโตขึ้นคงได้มีโอกาสไปสักครั้ง และจะต้องไปถ่ายรูปตรง ขอนไม้ท่อนใหญ่ยักษ์ให้เหมือนในรูปเหล่านี้ให้ได้
 
     ห้าสิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ในที่สุดดิฉันก็มีโอกาสมาเมือง ขอนแก่นกับเขาบ้าง ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว แม้ในกรุงเทพฯจะยังร้อน แต่เมื่อโผล่ออกจากเครื่องบินที่สนามบินขอนแก่น ก็ถึงกับผงะเมื่อลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้า คิดถึงรูปเก่าๆที่ดูมา จำได้ว่าทุกคนในรูปนั้น สวมเสื้อกันหนาว แสดงว่าบรรพบุรุษของเรา ต้องมาในช่วงฤดูหนาวเช่นกัน  วูบแรกของความคิดเมื่อมาถึงแผ่นดินเมืองขอนแก่นคือ ท่อนซุงใหญ่ท่อนนั้น เพราะเป็นสิ่งที่  ปารถนาอยากเห็นที่สุดเมื่อมาเมืองนี้
 
      ดังนั้น ทันทีที่พบหน้าคนมารับก็ขอร้องให้พาไปทันที คนมารับก็ช่างมีเมตตา รีบเตือนก่อนเลยว่า อาจจะผิดหวังก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปที่นี่อีกแล้ว แต่ดิฉันก็ยังยืนยันแข็งขันว่าต้องไปให้สมกับที่ตั้งใจมาห้าสิบปีแล้วให้ได้
      
     ผ่านมาหน้าสถานีรถไฟ เพื่อนรีบชี้ให้ดูท่อนซุงนั้น ซึ่งก็ต้องมองหาอยู่นาน กว่าจะมองเห็น เพราะถนนรอบเกาะกลางถนนที่เป็นที่ตั้งท่อนซุงนั้นแคบและจอแจแออัดไปหมด กว่าเราจะหาที่จอดรถเพื่อข้ามถนนไปดูใกล้ๆได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน

     ดิฉันลงมายืนดูเจ้าท่อนไม้ที่มีนามว่า ขอนแก่นอยู่นาน เห็นสภาพแวดล้อมซึ่งระเกะระกะไปด้วยของตกแต่งที่ดูรกตาไปหมด พยายามมองให้เจ้าท่อนซุง (ซึ่งขอเรียกตามคนพื้นเมืองว่าขอน) หรือขอนไม้นี้เหมือนกับขอนไม้อันเดิมในรูปที่เราเคยเห็น แต่แปลกไปตรงที่ เหตุใดของจริงจึงดูเล็กกว่าในรูปที่เราวาดหวังไว้มาก เรียกว่าไม่โดดเด่นสง่างามเหมือนที่เคยเป็นมา อาจเป็นไปได้ว่าตอนนั้นเรายังเด็ก อะไรๆจึงดูใหญ่โตไปหมด

 
     นึกถึงเมื่อห้าสิบปีที่ผ่านมา ขอนไม้ท่อนนี้เคยเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียง แต่วันนี้กลับดูอับเฉาและหม่นหมอง จนแทบไร้ความหมาย   มองเห็นภาพเก่าๆที่มีผู้คนแย่งกันมาถ่ายรูปบริเวณนี้ แต่วันนี้แทบจะหาคนมาชมได้ยาก แถมคนอยากมาดูอย่างดิฉัน กลับกลายเป็นคนประหลาดที่ผู้คนพากันมองอย่างสงสัยว่ามาดูอะไร

 
     เสร็จจากกิจกรรมหลักที่ตั้งใจมาทำแล้ว เพื่อนที่มารับถึงกับโล่งอก เพราะจะได้ไปทานอาหารเช้าแบบเวียตนามที่เพื่อนภูมิใจนำเสนอกันเสียที   ดิฉันก็ตามใจเขาอย่างยินดีเช่นกัน ร้านที่เราไปทานเป็นร้านขาย ไข่กระทะ และ แซนวิชแบบเวียตนาม ชื่อ ร้านเอมโอช ( เจ้าเก่า)  ( สงสัยว่าเหตุใด ต้องมีคำว่า เจ้าเก่าด้วย ) ซึ่งเจ้าถิ่นเล่าว่า ร้านนี้เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มคนที่มาจากต่างจังหวัด แต่สำหรับคนท้องถิ่นแล้ว มักจะไปทานกันที่ร้านซุปเปอร์หมู กาแฟมากกว่า (ซึ่งมีโปรแกรมว่าจะพาไปชิมในวันรุ่งขึ้น ) แต่ด้วยเหตุที่ดิฉันเป็นคนต่างถิ่น จึงต้องมาทานร้านนี้ให้ถูกต้องตามประเพณีนิยมเสียก่อน

 
     และก็จริงอย่างที่เขาว่า คือส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างบ้านต่างเมืองที่ชอบมาร้านนี้ เพราะแม้จะมีลูกค้ามากมายจนล้นออกมานั่งหน้าร้าน แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้โดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกับดิฉันทั้งนั้น ยังกับว่าสายการบินเขาพามาเลี้ยงยังงั้นแหละ ที่จริงสายการบินฯเส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่นน่าจะเสริฟไข่กระทะ กับแซนด์วิช บนเครื่องให้หมดเรื่องหมดราวไปเสียเลย  ผู้โดยสารจะได้ไม่ต้องลงมาทานที่ร้าน  ช่วยประหยัดเวลาเที่ยวไปได้เยอะ

 

 

ทันทีที่นั่งโต๊ะ เราก็ไม่รอช้ารีบสั่งกาแฟโบราณ และน้ำส้มคั้นมาทันที ตามด้วยแซนวิชเวียตนาม และไข่กระทะ เล่นสั่งกันเหมือนลืมไปว่ากินของเช้าบนเครื่องบินมาแล้วยังงั้นแหละ แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะแซนวิชเวียตนามเขาจะเสริฟมาเป็นจาน โดยทุกจาน จะมี4-6 อัน เพราะเขานับเป็นคู่มา ทานหมดก็แล้วไปไม่หมดก็คืนได้ ( เฉพาะอันที่ยังไม่มีรอยกัดนะ) ส่วนไข่กระทะก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก รับรองว่าทานได้หมดสบายๆ
 
     แซนวิชเวียตนาม คือขนมปังฝรั่งเศสอันเล็กๆที่ทาเนย ( ส่วนใหญ่ใช้ มาร์การีน)  และสอดไส้ด้วยกุนเชียงหมู กับหมูยอ อย่างละชิ้น ทางร้านจะทำแช่เย็นไว้ครั้งละมากๆ เวลาลูกค้าสั่งก็นำมาอบด้วยเตาอบสักพักให้ขนมปังเหลืองกรอบ และไส้ร้อนกำลังดี   เวลารับประทานบางคนจะบีบซ๊อสมะเขือเทศ หรือซ๊อสพริกใส่เข้าไปในไส้ขนมปังนิดหน่อย แต่ดิฉันชอบทานแบบไม่ต้องมีซ๊อสอะไรเลยก็อร่อยแล้ว เพราะรสเค็มของเนย มาพบกับรสหวานของกุนเชียงและเผ็ดพริกไทยในหมูยอ แค่นี้ก็ลงตัวพอดี  เช้าวันนั้นดิฉันทานได้แค่คู่เดียว  ( 2 ชิ้น) เพราะยังมีไข่กระทะรออยู่ แต่ด้วยความติดใจ จึงสั่งกลับบ้านไปอีกหนึ่งถุงใหญ่ๆ ซึ่งทางร้านได้ทำแช่เย็นเตรียมไว้ขายอยู่แล้ว
 
      เสร็จจากอาหารเช้า เราก็ไปยังบ้านเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม เพื่อจะได้ดำเนินโปรแกรมการท่องเที่ยวตามใจผู้มาให้การต้อนรับเสียที โดยเพื่อนเปิดโอกาสให้ว่าอยากไปที่ใดใน จังหวัดนี้บ้าง เพราะหากมีเวลาจะได้พาไปให้หมดทุกที่   ตามความจริงแล้ว เมืองขอนแก่นไม่ใช่เมืองที่มีชื่อเสียงด้านสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก แต่จุดเด่นของเมืองนี้คือ เป็นศูนย์กลางราชการและธุรกิจมากกว่า
 
      สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะอยู่อำเภอรอบนอกที่ต้องใช้เวลาเดินทางมาก ในที่สุดดิฉันจึงเลือกสถานที่ที่อยากดูที่สุดคือ หมู่บ้านที่เป็นแหล่งผลิตผ้าไหม เพราะฝันมานานแล้วที่จะได้มาดูให้เต็มอิ่ม

      เพื่อนเจ้าถิ่นบางคนเสนอโปรแกรมการมาเยือน ขอนแก่นในเวลาอันน้อยนิดครั้งนี้ ให้เน้นหนักไปในด้านการชิมอาหารพื้นเมืองอีสานมากกว่า  ซึ่งก็เป็นโปรแกรมที่ถูกใจดิฉันมาก เช่นกัน เพราะบอกตรงๆเลยว่าไม่มีประสบการณ์และความรู้เรื่องอาหารทางภาคนี้เลย แม้จะพอเห็นบ้างในกรุงเทพฯ แต่ไม่มีผู้ชำนาญการมาคอยให้คำแนะนำ ดังนั้นทัวร์ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีเลิศสำหรับดิฉันทีเดียว ( คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว)

 
      ในที่สุด เราจึงตกลงกันว่า ภารกิจหลักคือการชิมอาหารอีสาน และภารกิจรองคือการไปชมแหล่งผลิตผ้าไหมที่อำเภอชนบท ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ส่วนแหล่งท่องเที่ยวอื่น ให้นับเป็นผลพลอยได้ หากมีเวลาเพียงพอ



      ตกลงกันได้อย่างสันติดังนั้นแล้ว  บรรดาสาวๆเจ้าถิ่นจึงเริ่มพาไปชมสถานที่ที่มีชื่อเสียงและสวยงามของตัวเมืองกันก่อน  นั้นคือ บึงแก่นนครซึ่งเป็นสวนสาธารณะและเป็นปอดของเมือง  เพราะเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่เหมือนทะเลสาบตั้งอยู่กลางเมือง แม้ในช่วงแดดแรงของกลางวัน แต่ที่ริมบึงก็ยังเย็นสบาย เห็นลานกว้างริมบึงซึ่งน่าจะเป็นที่ที่ชาวเมืองมาออกกำลังกายในช่วงเช้าและ เย็น แต่ในเวลากลางวันอย่างนี้ มีแค่คนมานั่งตกปลาริมตลิ่งไม่กี่คน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่สงบร่มรื่นดีจริงๆ 




     ไม่ไกลจาก บึงแก่นนครนัก เราก็มาถึงสถานที่มีชื่อเสียงอีกแห่งคือ วัดหนองแวงที่เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุแก่นนคร วัดแห่งนี้ เดิมชื่อวัดเหนือ สร้างเมื่อปี 2336 สร้างโดยพระยานครศรีบริรักษ์บรมราชภักดี เจ้าเมืองคนแรกของเมืองนี้  ในปี 2552 ได้มีการสร้าง พระธาตุแก่นนคร ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุนี้ดูงามแปลกตาด้วยรูปทรงศิลปะทวาราวดีผสม อินโดจีน เรียก ทรงอีสานตากแหซึ่งเมื่อดูรูปทรงของพระธาตุแล้ว ก็คล้ายกับการตากแห อย่างที่เรียกจริงๆ

   ในองค์พระธาตุที่สร้างเป็นอาคาร 9 ชั้น ลดขนาดขึ้นไปจนเป็นยอดแหลม แต่ละชั้นจะมีภาพวาดบนฝาผนัง เป็นภาพประวัติของพระพุทธเจ้าในแต่ละชาติภพ นอกจากนั้น ภายในอาคารยังเป็นที่สะสมศิลปะและข้าวของเครื่องใช้ของชาวพื้นเมืองขอนแก่น ทุกอาชีพ ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองนี้ขึ้นมา ดังนั้นหากต้องการรู้เรื่องเมืองขอนแก่นอย่างแท้จริง ก็ควรมาเยี่ยมชมวัดนี้เป็นอย่างยิ่ง
 

         เสร็จจากการชมวัด บรรดาสาวๆจึงชวนกันว่า ขับรถไปชม มอดินแดงกันหน่อยดีกว่า  ดิฉันได้ยินชื่อแล้วก็งงๆ กว่าจะรู้ว่าคืออะไร เราก็มาถึงประตูทางเข้า     “ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว  เมื่อเลี้ยวเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย ซึ่งกว้างใหญ่เหมือนเมืองๆหนึ่ง เราแทบไม่รู้เลยว่าเราอยู่ในบริเวณสถานศึกษา เพราะอาคารต่างๆตั้งอยู่ไม่แออัดเหมือนที่อื่น แถมยังมีรถราวิ่งผ่านจากทิศหนึ่งไปยังอีกทิศ อย่างอิสระ เสรี เมื่อใกล้ทางออกด้านหนึ่ง สังเกตเห็นว่าดินในบริเวณนั้นมีสีแดงแบบดินลูกรัง สาวๆจึงเฉลยว่า นี่แหละคือเหตุที่ชาวเมืองเรียกมหาวิทยาลัยนี้ว่า มอดินแดงเพราะเนื่องจากพื้นที่ดินแถบนี้มีสีแดงจัดนั่นเอง
 
     เที่ยวกันมาพักใหญ่ จนเลยเที่ยงวัน ท้องเริ่มร้องเตือนขึ้นมา ไข่กระทะเมื่อเช้าย่อยหมดไปนานแล้ว เราจึงคิดหาร้านอาหารกลางวันทานกัน ซึ่งต้องใช้เวลาวนรถเวียนไปเวียนมาหลายรอบ เนื่องจากตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปรับประทานทานไก่ย่างแบบไหนดี แต่สำหรับดิฉันแล้ว ในเมืองขอนแก่นนี้ช่างอุดมไปด้วยร้านไก่ย่างและปลาย่าง เรียกว่าระยะห่างกันของร้านไม่เกินร้อยเมตร จึงไม่อยากออกความเห็น  ปล่อยให้สาวๆถกเถียงกันไป ความที่ไม่สามารถลงมติให้เป็นเอกฉันท์ได้ เราจึงต้องจอดรถข้างทางแล้วลงมาอภิปรายกันดังนี้



       เพื่อนคนที่หนึ่ง เสนอ ไก่ย่าง เขาสวนกวางอันเลื่องชื่อ จากอำเภอเขาสวนกวาง ที่แม้ต้นฉบับดั้งเดิมจะอยู่ห่างจากอำเภอเมืองที่เราอยู่ถึง 50 กว่ากิโลเมตร  แต่ในเมืองขอนแก่นกลับมีร้านไก่ย่างสไตล์นี้มากมาย เพราะชาวขอนแก่นชื่นชอบในคุณลักษณะของเขาที่ใช้ไก่อ่อนอายุไม่เกิน 45วัน ที่มีเนื้อนุ่มไม่เหนียว และแม้ไม่ใช่ไก่บ้าน เนื้อก็ไม่เละเพราะเป็นไก่ลูกผสม ลักษณะไก่หลังจากย่างแล้ว หนังจะแห้งกรอบ เนื้อไก่แห้งไม่มีมัน แต่ไม่แข็งเหนียว มีกลิ่นหอมเครื่องเทศและกลิ่นควัน   ร้านที่ขายไก่ไสตล์นี้คือร้านระเบียบไก่ย่างและ ร้านรสวิเศษไก่ย่าง

      มาถึงเพื่อนคนที่สองนำเสนอ ไก่ย่างภูเวียงซึ่งมาจากอำเภอภูเวียง ที่นอกจากจะมีไก่ย่างอร่อยแล้ว ยังมีชื่อเสียงเพราะเป็นเมืองที่ขุดพบโครงกระดูกไดโนเสา ที่ทำให้เมืองขอนแก่นดังขึ้นมาอีกทางหนึ่งนั่นเอง ไก่ย่างของเมืองนี้ อร่อยคล้ายเมืองแรกตรงที่ใช้ไก่อ่อนอายุน้อยเท่ากัน ส่วนไสตล์การย่าง จะย่างให้หนังกรอบ แต่เนื้อไก่จะไม่แห้งมาก และแน่นอนว่าเนื้อไม่เหนียว ไก่ย่างชนิดนี้จะมีขายที่ร้าน เสมียนไก่ย่างอยู่ แถวบริเวณหลังถนนศูนย์ราชการ


    เพื่อนคนที่สาม มาจากอำเภอเมืองพล ใกล้จังหวัดโคราช จึงคุ้นเคยกับ “ ไก่ย่างท่าช้างและพยายามนำเสนอไก่ชนิดนี้เบียดเข้ามาสู่การอภิปราย  โดยให้เหตุผลว่า แม้จะมีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายสองชนิดที่กล่าวมา แต่ไก่ย่างท่าช้างจะมีรสจัดกว่าไก่ย่างของขอนแก่นสักหน่อย ไก่ย่างชนิดนี้จึงสามารถข้ามเขตเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ยังไม่ทันรู้ว่าไก่ชนิดนี้มีขายที่ไหน   ดิฉันก็รีบแจ้งที่ประชุมว่า ไก่ย่างชนิดที่ว่านี้   ดิฉันเคยลองชิมมาแล้ว เมื่อคราวไปเที่ยวบุรีรัมย์ ซึ่งต้องผ่านเมืองโคราช และโชคร้ายที่บังเอิญไปเจอเอาไก่ย่างค้างปีเข้าให้ จึงเก็บความผิดหวังและปวดฟันมาจนทุกวันนี้  
 
       พอมาถึงช่วงแห่งการตัดสินใจ ทุกคนหันมาถามแขกเมืองอย่างดิฉันว่า  จะเลือกร้านไหน   ด้วยความหิวก็เลยบอกว่าไก่ย่างวิเชียรบุรีพอได้ยินชื่อนี้เท่านั้น ก็มีเสียงโห่มาจากทั่วทุกสารทิศ เพราะ ไก่ย่างวิเชียรบุรีเป็นไก่ย่างของจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งไม่มีขายในแถบนี้ อ้าว….ปล่อยไก่อีกแล้วเรา เหตุที่เอ่ยชื่อไก่ย่างชนิดนี้ขึ้นมา เพราะเป็นไก่ย่างที่คุ้นชื่อมากที่สุด เพราะมีขายทุกที่ในภาคกลาง ไม่ว่าเมืองไหน ถนนไหนมีแต่ป้ายโฆษณาไก่ชนิดนี้ เรียกว่าแพ้ แค่ ไก่ต้มน้ำปลาที่ขายตลอดถนนเพชรเกษมเส้นทางลงใต้เท่านั้นเอง จึงทำให้ดิฉันรู้จักไก่ย่างชนิดนี้อยู่ชนิดเดียว

 
      ในที่สุด ….เมื่อตกลงกันไม่ได้ สาวน้อยทั้งหลายที่มีสิริอายุรวมกันแล้วประมาณสามร้อยปี ก็ต้องใช้วิธี โอ..น้อยออกและ เป่ายิ้งฉุบเข้ามาช่วย  และผลการตัดสินก็เลือกได้   ไก่ย่างเขาสวนกวางซึ่งร้านขายไก่ชนิดนี้ที่ใกล้เราที่สุดคือร้านรสวิเศษนั่นเอง




       เรารีบมาถึงร้านด้วยความหิว ร้านนี้ดูเผินๆแล้วนึกว่าเป็นปั๊มน้ำมัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะร้านตั้งอยู่ในปั๊ม ปตท. แต่ปัจจุบันไม่ได้ขายน้ำมันแล้ว แต่สภาพแวดล้อมก็ยังเหมือนปั๊มฯอยู่ดี ถึงเวลาสั่ง นอกจากไก่ย่าง และข้าวเหนียว ซึ่งเป็นของหลักแล้ว เพื่อนๆก็ไม่ลืมที่จะสั่งอาหารพื้นเมืองแบบอาหารกลางวันมาให้ชิมหลายอย่าง แต่เนื่องจาก  ดิฉันทานเผ็ดมากไม่ได้ เราจึงสั่ง ส้มตำโคราช ( เพราะเผ็ดน้อยกว่าส้มตำขอนแก่น) ไส้กรอกอีสาน หมกเห็ด ตำแตงไข่ต้ม ปลาไร้ก้าง ( คล้ายห่อหมก) แหนมปลากราย หมูอบสมุนไพร และแน่นอนว่าเราต้องสั่งไก่ย่างมาเพิ่มอีกหลายจาน ยอมรับว่าอร่อยจริง





      เป็นอันว่า อาหารกลางวันสไตล์อีสาน เสร็จสมบูรณ์ไปด้วยความประทับใจ นับเป็นอาหารอีสานครบชุดมื้อแรกในชีวิต  ที่ไม่มีอาหารภาคกลางปนอยู่เลย นับเป็นประสบการณ์ที่รื่นรมย์และอิ่มเอมดีจริงๆ เราคงต้องพักไว้แค่นี้ก่อน เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพาไปชม โปรดติดตามตอนต่อไป  ช่วงนี้ ของีบสักพัก เพราะทานข้าวเหนียวมากไปหน่อย

1 ความคิดเห็น:

  1. ผมก็เคยไปขอนแก่นและทานอาหารเช้าเมนูเดียวกันกับคุณ Lily เลยนะครับ

    ตอบลบ