บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สิงค์โปร์ เดิม เดิม .......


ไปสิงค์โปร์คราวนี้  เรียกได้ว่าซ้ำรอยเดิมกับที่เคยไป เพราะบอกตรงๆว่าหากไม่ใช่คนชอบช๊อปปิ้งแล้ว สิงค์โปร์แทบไม่มีอะไรให้ไปชมเท่าใดนัก  โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  ทุกสิ่งล้เป็นสิ่งประดิษฐ์มาจากมือคน  นับตั้งแต่ ตึกรูปร่างประหลาดๆ  สะพานแปลกๆ  รูปปั้นพ่นน้ำได้  สวนสนุก สวนสัตว์ ก็งั้นๆ 

แม้จะไม่มีอะไร แต่สิงค์โปร์ก็เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในอดีตที่มีตำนานน่าสนใจเมืองหนึ่ง ที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาให้ได้สักครั้ง   สำหรับฉันครั้งนี้เป็นการพาพี่ชาย และครอบครัวซึ่งอยู่อเมริกา  มากว่าครึ่งค่อนชีวิต ให้มาสัมผัสสิงค์โปร์สักครั้งนั่นเอง

การท่องเที่ยวครั้งนี้ เราเที่ยวกันเอง โดยไปแค่สถานที่สำคัญๆเท่านั้น  ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นไปที่การหาของอร่อยๆรับประทานกันมากกว่า  ส่วนร้านอร่อยของฉันก็ยังคงเป็นร้านเดิมๆ ตามคำสั่งของน้องสาวที่กำชับมาว่า  “ อย่าลืมพาพี่ไปกินร้านที่เราเคยไปกันนะ”  และก็ต้องเป็นไปตามนั้นตลอด  เพราะร้านเหล่านั้นยังคงมีคุณภาพถูกใจเหมือนเดิม   ดังนั้นจึงขอให้ทุกท่าน โปรดทำใจด้วยว่า การเล่าเรื่องเที่ยวสิงค์โปร์คราวนี้ คงจะเน้นไปที่อาหารมากหน่อยนะ แต่ก็อีกนั่นล่ะ ร้านอาหารที่ไปซึ่งเป็นร้านเดิมๆก็เพราะเราไม่ใช่คนท้องถิ่น เคยไปที่ไหนก็เกาะติดที่นั่น หากท่านใดมีที่อร่อยกว่าก็อย่าถือสา โปรดแนะนำด้วย

             เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ แต่เช้า เพื่อจะได้มีเวลาเดินเที่ยวได้ตามที่วางแผนไว้  ทันทีที่เก็บของไว้ในโรงแรมเสร็จ  เราก็รีบขึ้นแท็กซี่ไปยัง Merlion Park กันเลย  สำหรับคนที่ไม่เคยไปสิงค์โปร์  หากไม่มาคารวะเจ้าพ่อ Merlion ที่ยืนพ่นน้ำอยู่ที่ปากแม่น้ำสิงค์โปร์ แล้วล่ะก็  ต้องตีตั๋วเครื่องบินกลับไปใหม่ เพื่อไปถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานว่าได้มาถึงประเทศนี้แล้ว  ( เดิมมีตัวเดียว แต่ปัจจุบันมีสร้างไว้บนเกาะเซ็นโตซ่าและอีกหลายๆที่ )

ที่ Merlion Park นี้ นับเป็นจุดมหาชน  ที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาตลอดทั้งวัน  เพราะนอกจากจะถ่ายรูปกับเจ้าพ่อ Merlion แล้ว บริเวณรอบอ่าว Marina นี้ยังเป็นที่ตั้งของตึกแปลกๆอีกมากมาย เช่น




 ตึก The Esplanade Theatres on the Bay ซึ่งสร้างเป็นรูปทุเรียนคู่ วางคว่ำไว้ข้างขอบอ่าว  ถัดมาก็เป็น 
ตึก The Art-Science Museum รูปทรงเหมือนมือแบรับเงินจากฝากฟ้า   มองไปไกลอีกนิดจะเห็น Singapore Flyer เป็นชิงช้าสวรรค์สิงค์โปร์ ตั้งอยู่ลิบๆ  แต่ที่ตรงหน้าเรา และเป็นฉากสำคัญของทุกรูปที่ถ่ายบริเวณนี้คือ ตึกรูปทรงไอติมสามแท่ง มีปาท่องโก๋วางไว้ข้างบน  เรียกตึกนี้ว่า Marina Bay Sand Resort

การเที่ยววันแรกของเราจัดเวลาได้ดี  เพราะเมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว เราก็มานั่งจิบกาแฟเย็นที่ร้านกาแฟในตึก One Fullerton เพื่อสะสมแรงไว้ออกเดินฝ่าความร้อนของสิงค์โปร์กันต่อ  สำหรับท่านที่เคยมาแล้ว คงทราบดีว่า ประเทศนี้มีแค่ 2 ฤดู คือฤดูร้อน กับฤดูฝน เท่านั้น จึงต้องเตรียมตัวทำใจรับกับอากาศร้อนไว้ด้วย ( บ้านเรามี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน กับ ฤดูร้อนกว่า ) 







 แม้จะเป็นบ่ายแก่ๆใกล้เวลาเลิกงานแล้ว  แต่อากาศก็ยังร้อนไม่เลิก  เราจำเป็นต้องเดินอยู่แถวนั้นเพื่อชมวิวบ้านเมืองของสิงค์โปร์ที่มีแต่ ตึก ตึก ตึก  อย่างไรก็ตาม เราก็ได้ชื่อว่ามาเดินอยู่ในจุดศูนย์รวมทางธุรกิจการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกแล้ว



สาเหตุที่เราเดินอยู่แถวนี้ก็เพราะ ฉันหมายมั่นปั้นมือที่จะกินปูผัดพริกไทยดำ ที่ขึ้นชื่อของสิงค์โปร์ ซึ่งมีขายแถวนี้นั่นเอง  เราเดินชมตึกมาตามถนนRaffles Quay สักพัก ก็พบกับป้ายบอกชี้ทางไป Lau Pa Sat Festival Market ก็โล่งอกเพราะท้องเริ่มครวญครางแล้ว ไม่นานนักเราก็มาถึงตลาด Lau Pa Sat  ซึ่งเป็นศูนย์รวมอาหารนานาชนิด  

 อาคารของตลาดที่สวยงามนี้เดิมเคยเป็นตลาดเก่าของชุมชนมาก่อน  ปัจจุบันเป็นศูนย์อาหารที่มีชื่อเสียงมาก  เรารีบเดินหาร้านประจำที่เคยมากินที่ชื่อ Boon Tat Street Barbeque  Seafood ทันที


 วันนี้เรามาถึงเร็วกว่าทุกครั้ง ลูกค้าจึงยังไม่มากนัก หากมาช้ากว่านี้  โต๊ะจะเต็มโดยเร็ว เพราะบรรดาฝรั่งที่ทำงานแถวนี้จะแห่กันลงมากินกันมาก  สำหรับอาหารของเราก็เป็นเมนูที่ไม่ต่างไปจากที่เคยกินเลย นั่นคือ 

 ปูผัดพริกไทยดำ  ตอนสั่งจานนี้ พนักงานเน้นว่า “จานนี้ราคา 45 สิงค์โปร์ดอลล่านะ “ ( ประมาณ 1,200 บาท) เราก็พยักหน้าเป็นความหมายว่า “ กรู รู้  และ กรูจะกิน” ) ที่แพงก็เพราะปูที่ใช้ผัดเป็นปูทะเลตัวโต 2 ตัว เนื้อแน่นแต่ไม่มีไข่  เครื่องพริกไทยดำรสจัดจ้านเหมือนเดิม น้ำพริกที่ผัดเอาไปคลุกข้าวกินจะอร่อยมาก 

 จานที่ 2 เป็น กุ้งคั่วขนมปังกรอบ  รู้สึกเหมือนว่าฉันจะสั่งผิด แต่กินแล้วก็อร่อยดี กุ้งทอดมากรอบกินได้ทั้งตัว เกร็ดขนมปังปรุงรสหวานเค็มกรุบกรอบดี 

 จานที่ 3 พี่ชายอยากกินผักบุ้งผัด จึงสั่งมา เป็นผักบุ้งผัดเต้าเจี้ยว  เขาผัดได้แห้งกว่าบ้านเรา อร่อไปอีกแบบ เห็นแล้วคิดได้ว่า เจ้าผักบุ้งนี้เป็นผักที่มีอยู่หลายประเทศเสียจริง   แต่ละประเทศก็ทำต่างกันไป  หากเป็นที่มาละกา ผักบุ้งผัดจานนี้จะเผ็ดร้อนด้วยน้ำพริกแบบปารานกัน  แต่ที่ไหหลำ จะผัดกับกะปิ อร่อยไม่แพ้กันเลย 

 จานที่ 4 ของร้านนี้เราไม่อยากกินข้าวสวย จึงสั่งข้าวผัดกุ้งมา  หน้าตาเหมือนข้าวผัดบ้านเรา และก็ต้องแหวกหากุ้งเหมือนกัน

 ตอนมาถึงร้านนี้ ข้างๆตลาดจะมีร้านขายสะเต๊ะมากมายหลายร้าน  แต่ละร้านก็จะเดินมาหาลูกค้าที่นั่งอยู่เพื่อรับออเดอร์สะเต๊ะ  ด้วยความอยากลองจึงสั่งมา โดยสั่งขนาดกลาง แต่ขอให้ทำมา 2 อย่างคือสะเต๊ะไก่ ครึ่งหนึ่ง กับสะเต๊ะแกะ ครึ่งหนึ่ง   พอมาถึงกลายเป็นขนาดกลางทั้งสองอย่างในจานเดียวกัน  เก็บเงินเป็น 2 จานไปเลย เอาว๊ะ สงสัยเราพูดไม่รู้เรื่อง หรือคนรับออเดอร์ฟังไม่รู้เรื่องกันแน่

เรื่องสั่งสะเต๊ะมาผิด ไม่ใช่ปัญหาสำคัญกับเราเท่าใดนัก  ปัญหาใหญ่อยู่ที่รสชาติของสะเต๊ะ  ชนิดที่ทำจากเนื้อแกะพอกินได้  แต่สะเต๊ะไก่นี่ รับประทานไม่ลงจริงๆ  นึกภาพไม่ออกเลยว่ามีอาหารประเภทใดจะสามารถมีรสหวานได้ประมาณนี้  แถมเนื้อไก่ก็เหลวๆเหมือนกินแป้ง   ทำให้ฉันเริ่มสังเกตว่า อาหารสิงค์โปร์ที่กินมาล้วนมีรสหวานมากกว่า 80%  ตอนอยู่เมืองไทยก็ว่าอาหารหวานแล้ว มาเจอที่นี่หวานจนขนลุก และแน่นอนว่า สะเต๊ะจานนั้นเหลือเพียบ 

หลังจากกินไปบ่นไป จนเสร็จจากอาหารเย็น  ดูเวลาแล้วยังไม่ดึกมากนัก  พี่ชายบ่นอยากไปห้างที่เปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งนั่นก็หมายถึง “ ห้างMustafa” นั่นเอง ความขี้เกียจลงไปเบียดกับผู้คนในรถไฟฟ้าใต้ดิน เราจึงเรียกแท็กซี่ ทั้งๆที่ค่อนข้างไกลจากจุดที่เราอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อน เพราะห้างนี้ไม่เคยปิด

ห้างMustafa เป็นห้างสรรพสินค้าของคนอินเดียในสิงค์โปร์  เป็นห้างที่ใหญ่มาก ขายสินค้าทุกชนิด ทั้งแบรนด์เนม และไม่แบรนด์ฯ  ห้างนี้เปิดขาย 24 ชั่วโมงจริงๆ แม้จะเป็นห้างใหญ่ แต่การจัดสินค้ารกพอๆกับร้านโชห่วยแถวสามย่านยุคสมัยที่ฉันเรียนอยู่แถวนั้นไม่มีผิด  อยากจะหาอะไรต้องรื้อๆดู  สินค้าแบรนด์เนมเขารับประกันว่าเป็นของแท้  ราคาก็แท้ด้วยแม้จะวางแบบรกๆก็ตาม    

ครั้งสุดท้ายที่ฉันไป  ช่วงมาจ่ายเงินก่อนกลับที่พัก พนักงานกล่าว  “ Good Morning Madame” ทำเอาฉันตกใจ แต่เมื่อยกนาฬิกาดู จึงรู้ว่าฉันเดินรื้อของอยู่จนถึง ตี2 ของวันใหม่เข้าไปแล้วนั่นเอง   แต่วันนี้เราเดินกันแค่เที่ยงคืนเท่านั้น เพราะต้องเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้หน่อย

วันที่สองของเรา  เช้าวันนี้เรามีแผนที่จะขึ้นไปบนยอดตึก Marina Bay Sand Resort  จุดที่เรียกว่า Sky Park  เช้าๆอย่างนี้เรายังมีแรงเดิน จึงไปด้วยรถไฟฟ้า  ลงไปในสถานี เห็นคนกำลังเดินทางไปทำงาน หนาแน่นราวกับพวกมดและปลวก  คนที่นี่ไม่ค่อยเดินทางบนพื้นดินนัก สงสัยว่าอากาศร้อน จึงลงมาอยู่ใต้ดินกัน ก็เป็นภาพชีวิตอีกแบบ

ฉันอ่านคำแนะนำมาจากเวบท่องเที่ยวว่าให้ขึ้นที่สถานี Promenade  แล้วเดินกลับมาตามถนน Temasek ซึ่งณ.วันนี้เป็นข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบันเสียแล้ว  เพราะที่สถานีรถไฟ  มีป้ายบอกว่าให้ไปที่สถานี  Marina Bay จึงตีตั๋วไปสถานีนั้น เมื่อลงจากรถเห็นมีป้ายบอกให้ขึ้นไปต่อรถชั้นบนอีก 

  ฉันเดินตามเครื่องหมายแท่งไอติม 3แท่งที่มีปาท่องโก๋อยู่ข้างบนไปจนถึงรถสายสีเหลือง พนักงานรู้ว่าเราจะไป Sky Park แหง๋ๆ  จึงชี้ให้เราขึ้นรถ
  
บนรถก็มีป้ายบอกอีกว่าใครจะไป Marina Bay Sand Resort  ให้ลงที่สถานี Bayfront เอาล่ะวา ไม่เคยได้ยินชื่อสถานีนี้มาก่อนเลย  แต่ก็ต้องเชื่อเขา และในที่สุดเราก็มาโผล่ใต้ถุนโรงแรม Marina Bay Sand Resort  จริงๆด้วย 

แค่เดินออกจากสถานีเราก็มาโผล่ในโรงแรมซึ่งเป็นบริเวณตึกแท่งที่หนึ่งแล้ว  แต่กว่าจะออกจากสถานีได้ เราก็ต้องไปเสียตังค์ค่าอัพเกรดตั๋วก่อน  เพราะเราตีตั๋วมาน้อยไปหนึ่งสถานี  (ต้องซื้อตั๋วไปสถานี Bayfront)  เส้นทางเดินรถนี้น่าจะเสร็จไม่นาน ข้อมูลในอินเตอร์เนตจึงตามไม่ทัน  นับว่าสะดวกมากทีเดียว


เราเดินหาที่ขายตั๋วเพื่อขึ้นไปชม Sky Park ซึ่งต้องเดินออกไปนอกอาคารแท่งที่ 3 ซึ่งเป็นแท่งสุดท้าย เมื่อไปถึงหน้าประตู  พนักงานบอกว่าประตูจะเปิดให้เข้าเวลา 9.30 น. เราจึงมีเวลาเดินหาอาหารเช้ากิน  ขณะเดินผ่านห้องอาหารของโรงแรมมีแขกกำลังทานอาหารเช้ากันเต็มไปหมด  เราจึงเดินทะลุไปส่วนที่เป็นร้านค้า  และก็พบว่าที่นั่นเป็นศูนบ์อาหารที่ดีมาก  มีอาหารขายหลายชนิด ทั้งอาหารจีน มาเลย์ และยุโรป แถมมีลานสเก๊ตให้เล่นอีกด้วย


 หลังจากทานอาหารเช้าสุดหรูเสร็จ ก็ใกล้เวลา 9.30น.แล้ว เรารีบกลับไปยังที่ขายตั๋ว   ที่นั่นมีนักท่องเที่ยวสิบกว่าคนเข้าแถวรออยู่แล้ว  ไม่นานนักพนักงานสุภาพสตรีก็ขึ้นบันไดมาเปิดประตูให้เราลงไปซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปชม Sky Park ได้

การให้ขึ้นไปชม เขาให้ขึ้นได้ตั้งแต่ 9.30 น.ถึง 22.00 น. โดยจะจัดเป็นกรุ๊ฟละไม่เกิน 50 คน แต่ใครจะอยู่นานจนปิดก็ได้  ( ไม่เห็นมีใครอยู่นานนะ เพราะดูวิวอย่างเดียวไม่มีอะไรทำ)  ค่าตั๋วคนละ 20 สิงค์โปร์ดอลล่า 

 เมื่อซื้อตั๋วเสร็จเราจะได้กำไลข้อมือมาหนึ่งอัน ต้องใส่มันไว้มิฉะนั้นจะไม่ได้ขึ้นไปจ๊ะ อีกเหตุผลคือเพราะเขาห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปในบริเวณสวนและสระว่ายน้ำของแขกโรงแรม  คนที่ใส่ข้อมือปลว่าเป็นนักท่องเที่ยว  อยู่ได้แค่ในส่วนที่จัดไว้

 ในที่สุดเราก็ขึ้นลิฟท์มาชั้นที่ 55 อันเป็นที่ตั้งของ Sky Park วินาทีแรกดูว่าตื่นเต้นกับวิวเอามากๆ  จุดแรกที่เห็นคือ Garden By The Bay สวนประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมาก ฉันก็ได้แต่มองลงไปเท่านั้น  จะให้ลงไปเที่ยวคงไม่ไหว เพราะดูแล้วแดดร้อนเอามากๆ 
 

 รอบๆบริเวณ เราเห็นวิวที่เราไปเมื่อวานนี้ คือ Merlion Park

 The Esplanade Theatres on the Bay  

    Singapore Flyer 

 ตึก One Fullerton     

 มองต่ำลงไปเห็นหลังคา The Art-Science Museum เป็นรูปมือกำลังกางออกอย่างชัดเจน 

  ส่วนเจ้า Merlion ที่ยืนพ่นน้ำเหลือตัวเท่าลูกอ๊อด อยู่ไกลๆ 





            เราถ่ายรูปอยู่สักพัก ไกด์สาวของโรงแรมก็ขึ้นมานำทางเราเข้าไปเที่ยวชมส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำ และสวนลอยฟ้า  เราสามารถถ่ายรูปได้ตามสบายในเขตที่เขากำหนดไว้  ขณะถ่ายรูปก็นึกในใจว่า  จะไม่มาพักที่นี่เด็ดขาด เพราะไม่อยากมาเป็นแบ๊คกราว หรือนางแบบให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปขณะเล่นน้ำอย่างนี้  ดูว่ามันไม่เป็นส่วนตัวเอาเสียเลย
        เนื่องจากเขาไม่กำหนดเวลาว่าเรา จะลงเวลาไหน เราจึงสามารถลงจากสวนลอยฟ้าได้เองตามใจชอบ  แต่เราก็เลือกที่จะลงมาก่อน เพราะท้องเริ่มร้องหิวอีกแล้ว   อาหารกลางวันวันนี้ เป็นตายอย่างไร ฉันจะไม่ยอมพลาดข้าวมันไก่ ร้าน Boon Tong Kee เด็ดขาด
            
          เมื่อลงมาข้างล่างเรียบร้อย เราก็รีบขึ้นแท็กซี่ บอกคนขับว่า “ช่วยพาไปร้าน Boon Tong Kee สาขาที่ใกล้ที่สุดที ”  และในที่สุดเราก็มานั่งรออยู่หน้าร้านฯสาขา River Valley  ซึ่งเป็นสาขาไม่ใหญ่นัก  สำหรับฉันแล้ว จะใหญ่หรือเล็กไม่สำคัญ ขอให้มีข้าวมันไก่เป็นพอแล้ว 


 เราได้ยินมาว่า ร้าน Boon Tong Kee  เปิดเวลา 11.00 น. แต่โบรชัวร์เขียนว่า 11.30 น. พอพนักงานเดินมาเขาบอกว่าเปิด 11.15 น. และก็เป็น 11.15 น.ที่เราได้เข้าไปนั่งในร้านเป็นคนแรก  อาหารที่สั่ง อันดับแรกต้องเป็นข้าวมันไก่ แน่นอน  

 แต่ก่อนอาหารอื่นจะมา ทางร้านได้นำออร์เดริฟท์มาให้ทานเล่นก่อน นั่นคือถั่วลิสงต้มหวาน ตอนแรกคิดว่าเป็นของฟรี แต่พอคิดตังค์ จึงรู้ว่าจานแค่เนี้ย ราคา 2 เหรียญค่ะ

 ตามด้วยน้ำจิ้มไก่ ที่มีลักษณะเป็นพริกดองปั่นในน้ำส้ม รสเปรี้ยว เค็ม หวาน  ไม่เหมือนบ้านเรา ที่ทำด้วยขิง กระเทียม  ผสมกับพริกสับ  และไม่เหมือนที่เกาะไหหลำ ด้วย  ถือว่าเป็นสไตล์สิงค์โปร์  ส่วนอีกชนิดคือซีอิ้วหวาน 

 ข้าวมันมาเป็นอันดับแรก หน้าตาเชิญชวนให้รับประทานมาก  ข้าวจานละ .70 เหรียญ

 ตามด้วยไก่ต้ม ร้านนี้มีทั้งไก่ต้ม และไก่อบให้เลือก  แต่เรากินเฉพาะไก่ต้มเท่านั้น  ข้าวมันไก่ที่นี่ ทุกร้านจะบอกว่าเป็น Hainanese chicken rice แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว  ต้องเรียกว่า Singaporean chicken rice มากกว่า    เพราะไก่ที่เสริฟมา จะมีน้ำซีอิ้วราดมาให้ชุ่มฉ่ำแบบที่คนสิงค์โปร์ และ มาเลเซียชอบกิน   แอบติงว่า ร้านนี้ราดซ๊อสมาน้อยสักนิด  สาขาอื่นราดมาจนชุ่มจาน  ในจานแนมมาด้วยผักกาดดองหวานและแตงกวา  ไก่หั่นแบบไหหลำ คือชิ้นใหญ่เป็นคำๆ ไม่ตีจนเนื้อไก่แบนติดเขียงแบบบ้านเรา  กินไก่ที่นี้เต็มปากเต็มคำดีจริงๆ  จานนี้ราคา 13 เหรียญ

 นอกจากข้าวมันไก่แล้ว เรายังสั่งถั่วแขกผัดซ๊อสเอ็กโอ มากินแกล้มด้วย อร่อยเด็ด  จานนี้ราคา9.80 เหรียญ

 แต่ที่พิเศษสุดคือ  ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าทะเล ที่เรียกว่า Deluxe Hor Fun ที่มีส่วนผสมของ หอยเป๋าฮื้อ กุ้ง หมึก และเนื้อปู ราดมาบนเส้นที่ผัดกับไข่  น้ำราดหน้าเข้มข้นดีมาก  วันนี้ฉันโชคดีที่พี่ชายปวดฟัน ดังนั้นเจ้าเป๋าฮื้อตัวน้อยๆ จึงตกมาเป็นของฉันแต่โดยดี  ราคาราดหน้าไม่แพงเลย แค่ 30.90 เหรียญเท่านั้น 

 ดูเหมือนว่าเราสั่งไม่มากนัก แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เราทานกันไม่หมดค่ะ น่าเสียดายยิ่งนัก  หากอยู่เมืองไทยคงได้ห่อกลับบ้านเป็นแน่

            เสร็จจากอาหารกลางวัน เราก็ย้ายพุงที่อัดแน่นไปด้วยอาหาร ขึ้นแท็กซี่ไปยังยอดเขา Mount Faber  เพื่อไปเที่ยวเกาะ Sentosa        

      พอแท็กซี่ได้ยินว่าไป Mount Faber  เขาก็ถามว่า “ ยูจะไปเกาะ Sentosa ใช่ไหม ? เดี๋ยวนี้เขามีถนนข้ามไปแล้วนะ รู้รึเปล่า”  

      ฉันก็ตอบว่า “ รู้แล้ว แต่ฉันอยากจะนั่ง Cable Car มีอะไรรึเปล่า ”  คนขับแท็กซี่ก็ยิ้มแหะๆ และขับไปแต่โดยดี  ฉันรู้ว่าแท็กซี่ไม่ค่อยอยากไปนัก เพราะโอกาสที่จะกลับลงมาแบบไม่มีผู้โดยสารสูงมาก แต่ก็โชคดีที่เมื่อไปถึงก็มีคนรอแท็กซี่อยู่พอดี

            ที่สถานี Cable Car  ดูๆแล้วยังมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการกันเยอะมาก แม้ราคาค่าโดยสารจะสูงสักหน่อย คือไป-กลับคนละ 29 ดอลล่าห์   การมาเกาะ Sentosa ของเราไม่ได้มีจุดหมายว่าจะไปดูอะไรเป็นพิเศษ แค่มาเพื่อได้ชื่อว่ามาแล้วเท่านั้น  เพราะอากาศร้อนยามบ่ายสามารถทำให้เราละลายได้ในพริบตา

      ในที่สุดเราก็เดินไปไม่ถึงสวนสนุกระดับโลกเสียด้วยซ้ำ  โดยเราแวะอย่างหมดแรง นั่งพักกินกาแฟที่ร้านกาแฟสัญชาติสิงค์โปร์ชื่อ  The Coffee Bean & Tea Leaf อยู่นาน ก่อนจะเดินทางกลับ     ขากลับเราลงที่ตึก Harbour Front Center เพื่อต่อรถไฟฟ้าไปยังสถานี  Orchard  

             คนที่มาเที่ยวสิงค์โปร์เกือบ 90% มาสิงค์โปร์เพื่อช๊อปปิ้ง และทุกคนต้องมาเดินที่ถนนนี้  เราก็ต้องมาที่นี่กันตามประเพณีเช่นกัน   ทั้งๆที่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะซื้ออะไรดี  ในที่สุดเราก็ใช้ช่วงท้ายของบ่ายวันนั้นไปกับการเดินชมร้านค้าอยู่ในอาคารห้างสรรพสินค้า และร้านค้าใต้ดิน  ซึ่งเป็นที่ที่มีอุณหภูมิเย็นเหมาะกับมด และปลวกอย่างเรา 

             ขณะเดินผ่านศูนย์อาหารใต้ห้างญี่ปุ่นที่ชื่อ Takashimaya  เราก็เห็นร้านอาหารมากมาย จึงตกลงกันว่าจะกินอาหารเย็นแบบสบายๆกันที่นี่เสียเลย  ในที่สุดเราก็กระจายตัวไปหาซื้อของที่ชอบมากินกัน  ฉันชอบกินขนมผักกาดผัดมาก  เลยไปที่ร้าน White Carrot Cake ได้กลับมาหนึ่งจาน  แต่ก็ต้องกล้ำกลืนกินเข้าไปจนเกือบหมด  เหตุที่กินไม่ลงเพราะมันหวานมาก ถึงมากที่สุด ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคนที่นี่จึงกินรสหวานขนาดนี้    สำหรับคนอื่นในคณะ ส่วนใหญ่ซื้ออาหารญี่ปุ่นมากิน เอาเป็นว่ามื้อนี้เป็นมื้อที่ไม่โอเค สำหรับเราเลย 

เนื่องจากโรงแรมของเราอยู่บนถนนนี้ ดังนั้นหลังจากอิ่มหนำกันดีแล้ว เราจึงค่อยๆเดินชมแสงสียามราตรีของเมืองสิงค์โปร์ไปอย่างสบายๆ  และเข้านอนอย่างหมดแรง  หวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้คงยังพอมีแรงเดินต่อนะ

วันสุดท้าย ดูเหมือนว่าฟ้าฝนจะเป็นใจเสียจริง  ที่ตกลงมาอย่างหนักในยามเช้าเช่นนี้  อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันสามารถนอนต่อได้อีกสักชั่วโมง  ก่อนที่จะออกไปเดินเที่ยวในครึ่งวันสุดท้ายของเราในเมืองนี้ 

 
  และในช่วงสาย เราก็ออกเดินทางไปยังถนน North Bridge เพื่อไปหาอาหารมุสลิมขนานแท้ทานกัน   เราขึ้นรถไฟไปยังสถานี Bugis  เดินออกจากสถานีที่ทางออก B ผ่านโรงพยาบาล Raffles พอถึงสี่แยกก็เห็น Sultan Mosque ตั้งอยู่เบื้องหน้าแล้ว  ร้านอาหารที่จะไปชื่อ Singapore Zam Zam หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า ร้าน Zam Zam  ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสุเหล่า (Mosque )พอดี 



             ช่วงที่ไปถึงนั้น ยังไม่เที่ยงวัน เราเลยข้ามไปเดินเล่นแถวหลังสุเหล่า ซึ่งเป็นถนนท่องเที่ยวที่น่าเดินแห่งหนึ่ง   ที่นี่มีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ และ ร้านอาหาร มากมาย  บรรยากาศเป็นบ้านตึกเก่า คล้ายบ้านในมาละกา  ที่นี่ล่ะ เป็นที่ที่น่าดูมากกว่าตึกสูงๆในเมืองมากนัก  แถมของที่ระลึกยังราคาถูกอย่างมาก เรียกว่าขายแบบราคายกโหลกันเลย  พอเห็นราคาที่นี่แล้วนึกเสียดายที่ไปซื้อของแพงมาก่อน เพราะถูกกว่ากันเกิน 60

      หลังจากเดินเที่ยวกันพักใหญ่ และได้ของฝากมาถุงโต  แล้วเราก็กลับมาที่ร้านZam Zam เพื่อกินข้าวกันสียที  อาหารที่เราสั่งคือ  

 ข้าวหมกไก่   

  ข้าวหมกแกะ 
  
 และ มะตะบะแกะ   


 ที่มาพร้อมเครื่องเคียงสารพัด

              แต่ละจานที่นำมาเสริฟล้วนใหญ่โตจนเรากินไม่หมด  ทางร้านเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว จึงนำช้อนส้อมมาให้ แต่คนพื้นเมืองที่นี่ เขาเปิบด้วยมือกันจ๊ะ  และแน่นอนว่าอาหารอร่อยถูกใจทุกอย่าง  
ข้อควรทราบเกี่ยวกับร้านนี้คือ หากมาในวันศุกร์ช่วงเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวมุสลิมต้องเข้าสุเหล่าเพื่อทำละหมาดใหญ่  ร้านนี้และทุกร้านแถวนี้จะปิดหมด หากเรานั่งอยู่ในร้านก็ต้องรอจนกว่าเขาจะเสร็จจากศาสนกิจ เสียก่อน เขาจึงจะกลับมาเปิดประตูให้เราออก หรือเสริฟอาหารต่อให้จ๊ะ

       ความที่เราจะต้องขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยตอนบ่ายวันนี้  หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ เราจึงรีบกลับไปเช็คเอ๊า และเดินทางไปยังสนามบินทันที  โดยไม่ลืมกำชับพี่ชายว่า ขึ้นเครื่องบินแล้วห้ามเรอนะ  มิฉะนั้นกลิ่นข้าวหมกไก่จะออกมา คนทั้งลำรู้แน่ว่าเรากินอะไรมา .....

 โอ้ย.......อิ่ม...อ่า...เอิ๊ก.. ขออนุญาต เรอก่อนขึ้นเครื่องจ๊ะ .... 
บ๊าย บาย สิงค์โปร์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น