เมืองต้าฉื้อ..... 大圩古市镇
เพชรงามที่ส่องประกายบนเส้นทางสายไหมอันรุ่งเรืองของจีน
หลังจากใช้เวลาท่องเที่ยวเมืองโบราณมาทั้งวัน
ฉันล้มตัวลงนอนหลับอย่างง่ายดาย
อากาศที่หนาวเย็นทำให้เกียจคร้านเกินกว่าจะลุกขึ้นมาอาบน้ำได้ บอกตัวเองว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว และฉันก็จะต้องจากเมืองนี้ไป
มันคงไม่ใช่ความฝัน ที่ทำให้ฉันต้องสะดุ้งสุดตัว แต่มันคือความคิดในสมองที่ส่งความทรงจำมาเตือน
มันช่างรุนแรงจนทำให้ฉันต้องตื่นขึ้นมานั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่พบในเมืองเก่าที่ชื่อ ต้าฉื้อ
Daxu วันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ฉันเคยจินตนาการวาดภาพ
และพล๊อตเป็นนิยายไว้ในใจมาหลายปี
มันนานจนลืมลืนไป แต่แล้ว...ทุกสิ่งก็ค่อยๆลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของความทรงจำ แม้ยามนั้นจะยังไม่รู้จักชื่อเมืองในฝัน แต่มันคือเมืองต้าฉื้อ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรงามที่ส่องประกายบนเส้นทางสายไหมอันรุ่งเรืองของจีนโบราณแห่งนี้
ปี 2013
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อ และอ่านข้อมูลของเมืองต้าฉื้อ จากบทความท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ
ดูเหมือนว่ารูปภาพเมืองเก่า บ้านโบราณ จะดึงดูดความสนใจของฉันได้เป็นพิเศษ ที่ผ่านมาเคยได้ท่องเที่ยวมาหลายแห่ง แต่ละที่งดงามต่างกันไป เมืองต้าฉื้อ ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจในแบบของตัวเองไม่ซ้ำใคร
ข้อนี้อธิบายยากว่าต่างกันที่ตรงไหน
เพราะฉันไม่ได้ใช้หลักการทางวิชาโบราณคดีมาอธิบายเปรียบเทียบกันเลย
มันเป็นความรู้สึกที่ได้จากการสัมผัสกับแต่ละเมืองล้วนๆ
การเดินทางมากุ้ยหลินครั้งนี้เป็นครั้งที่
2 ของฉัน
หลังจากครั้งแรกที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะมาเมืองนี้ให้ได้ แต่ก็พลาดไป
คราวนี้จึงไม่ยอมให้พลาดอีกแน่นอน ขณะเมื่อมายืนอยู่หน้าหมู่บ้าน
ซึ่งเป็นกำแพงปูนเก่าคร่ำคร่า มีประตูเป็นช่องทางโค้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะเข้าไปพบใครสักคนที่รอการมาถึงของฉัน..
รอมานานมาก......หัวใจพองโตลิงโลด
อย่างบอกไม่ถูก
คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเสียสติได้ขนาดนี้ .....
หากค้นหาข้อมูลเมืองต้าฉื้อ หรือ
ต้าชวี้ จากเวบภาษาไทย จะมีข้อมูลให้อ่านเพียง 2 บรรทัด ว่าอยู่ที่ไหน
สร้างเมื่อใด แถมข้อมูลผิดเพี้ยนไปเป็น 1000 ปีอีกต่างหาก แต่เมื่อค้นหาจากเวบไซต์ภาษาอังกฤษ Daxu และจีน 大圩จะมีข้อมูลที่น่าทึ่งชวนให้ติดตาม...ไม่ใช่สิ
ชวนให้ซื้อตั๋วเครื่องบินตามมาดูต่างหาก....
ต้าฉื้อ จัดเป็น 1ใน 4 เมืองโบราณของมณฑลกวางสีที่ยังคงความเก่าแก่ของสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นอย่างดี
( อีก 3 เมืองคือ Huangyao Xingping และ Xing'an ) ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหลี่, ห่างจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลินประมาณ
23 กิโลเมตร (14.3
ไมล์) มีประวัติยาวนานเกือบ 2,000 ปี
โดยเชื่อว่าสร้างหมู่บ้านขึ้นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 200
ต้าฉื้อ แปลว่า “ ตลาดใหญ่ ”
ถูกก่อตั้งขึ้นในยุคของราชวงศ์ฉินที่ปกครองในประเทศจีน
ในยุคของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (259
BC -
210 BC ) เมืองต้าฉื้อ เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสี่เมืองท่าที่สำคัญของกุ้ยหลิน
เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหลี่
จึงเป็นทั้งเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าขายกระจายสินค้า มีผู้ประกอบการค้าจำนวนมากเดินทางมาพำนัก
และผ่านเมืองนี้ นับเป็นเมืองที่มีความสำคัญด้านการค้าขายและขนส่ง
ที่มีชื่อเสียงทั่วภาคใต้ของจีน ภายในตัวเมืองยุครุ่งเรืองมี ท่าเทียบเรือ 13 แห่งตั้งเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เลียบขนานไปตามถนนเก่าแก่ของเมือง
ที่ยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร ตามความยาวของถนน
มีประตูโค้งกั้นเมืองและถนนไว้เป็นส่วนๆ
ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างเพื่อใช้ในการป้องกันการบุกรุกของข้าศึก
หรือแบ่งเขตการปกครอง
ความรุ่งเรืองสูงสุด
เริ่มเกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิงเมื่อเมืองนี้กลายเป็นเมืองเอกในเชิงพาณิชย์ของพื้นที่
โดยได้เป็นศูนย์กลางการค้าที่ มั่งคั่งและจอแจที่สุด แห่งหนึ่งในบรรดาเมืองท่าสำคัญในภาคใต้ของเส้นทางสายไหมและเป็นหนึ่งในแม่น้ำหลี่ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยเป็นพ่อค้าและผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับการขนส่งทางเรือ
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การค้าของเมืองได้ถูกชะลอตัวหลังจากที่ทางรถไฟและทางหลวงถูกสร้างขึ้น
การค้าขายทางเรือลดหายซบเซา ท่าเรือถูกปิด
ความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่ตลาดที่เคยรุ่งเรือง
แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นยังคงพักอาศัย และรักษาวิถึชีวิตดั้งเดิมของเมืองเก่านี้ไว้ โดยได้เปลี่ยนการทำอาชีพ จากการค้าขายมาเป็นการทำงานศิลปะ และงานฝีมือเพื่อเลี้ยงชีพ
บนถนนสายหลักของเมืองที่ยังคงใช้อยู่ ถูกสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง
ตลอดสายปูด้วยหินสีน้ำเงินปนดำเข้ม หินทรงสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ทุกก้อน มีสภาพเรียบไร้คม
จากการใช้งานของล้อรถม้า เกวียน
รอยเท้าสัตว์และผู้คน ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงบางชิ้นที่แตกหักจากการสึกหรอของการใช้งาน แต่ก็ยังคงถูกวางไว้ที่เดิม
สภาพปัจจุบันของเมือง ผู้คนส่วนใหญที่ยังคงอาศัยอยู่ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชรา
ที่หาเลี้ยงตัวเองจากการขายของเก่า และของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ
ดูเหมือนว่าพวกเขายังคงวิถีชีวิตและประเพณีแบบเดิมๆไว้ บ้านหลายหลังยังคงมีการทำมาหาเลี้ยงชีพตามแบบที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เช่น
บ้านแพทย์แผนโบราณพื้นบ้านที่ยังคงเปิดรักษา และร้านตกแต่งทรงผมเก่ายังสามารถพบได้บนถนนสายนี้
ร้านหมอแผนจีนพื้นบ้านที่ยังคงเปิดรักษา
สถานที่ ที่เคยเป็นโรงแรมมาก่อน ป้ายชื่อโรงแรมยังอยู่
สะพานอายุยืน Wanshou
ก่อนจะมาเมืองนี้ ฉันได้รับการบอกเล่าถึงสะพานอายุยืน
ที่พูดกันว่า หากได้ข้ามสะพานนี้แล้ว อายุจะยืนยาว
ดังนั้นสะพานนี้จึงเป็นเป้าหมายแรกที่อยากเห็นอย่างยิ่ง สะพานอายุยืน สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง (1368-1644) มันเป็นสะพานที่สร้างด้วยหิน
เป็นรูปโค้ง ตามแบบฉบับของศิลปะจีน
ความเรียบง่ายในรูปทรงสร้างความงามให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างดี พื้นผิวของสะพานถูกทำให้ราบรื่นและเงางามจากการสัญจรและใช้งานมานานปี
เมื่อยืนบนสะพาน จะสามารถชมทิวทัศน์ของแม่น้ำหลี่ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่จะชื่นชมกับทัศนียภาพอันมีเสน่ห์ของแม่น้ำโดยจะสามารถมองเห็นภูเขาหินปูนรูปหอยทาก
และเขารูปร่างแปลกอื่นๆอีกมากมายบนฝั่งของแม่น้ำหลี่
สุสานเจ็ดดาว เมื่อเส้นทางท่องเที่ยวจากกุ้ยหลิน แผ่ขยายมายังเมืองนี้ ท่าเรือเพื่อรองรับการท่องเที่ยว ได้ถูกสร้างขึ้นในปี
1990 ขณะคนงานกำลังปรับพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือ ได้มีการค้นพบหลุมฝังศพโบราณ ซึ่งเป็นสุสานที่มีหลุมฝังศพรวมเจ็ดหลุม
การค้นพบนี้ ได้เพิ่มความลึกลับให้กับเมืองโบราณแห่งนี้มากขึ้น
หลุมฝังศพทั้งเจ็ด ถูกจัดวางให้อยู่ในรูปทรงการเรียงตัวของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ ขนาดของหลุมฝังศพได้รับการออกแบบตามความสว่างของดาว
ตามความเชื่อของคนจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างหลุมฝังศพและกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ยังคงเป็นปริศนา
มาจนทุกวันนี้ วัตถุโบราณจำนวนมากที่พบและขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ นับเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เช่นเครื่องใช้
เครื่องปั้นดินเผา และดาบบรอนซ์ ทั้งหมดได้ถูกใช้ในการวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ว่าสุสานควรจะมีอายุย้อนไปถึงระยะเวลาตั้งแต่สงคราม
รวมประเทศ (403BC-221BC) เพื่อราชวงศ์ฮั่น
เรื่องหลุมศพปริศนา
เป็นเรื่องปกติที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองโบราณ แต่ที่เป็นความรู้ใหม่คือ การทำของที่ระลึกเป็นรูปโลงศพขาย
ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับสุสานในเมืองนี้ แต่ต่อมาเพิ่งรู้ว่า
การให้โลงศพจำลองแก่คนที่มีอาชีพรับราชการ นับเป็นเรื่องน่ายินดี
เสมือนว่าเป็นการอวยพรให้เขามีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เพราะคำว่าว่าโลงศพในภาษาจีน
พ้องกับความหมายว่าเจริญก้าวหน้า..... ฉันได้แต่มองโลงศพจำลองด้วยคนสนใจ
แต่ไม่ยอมซื้อกลับบ้านเด็ดขาด
เพราะขืนให้ใครในเมืองไทย มีหวังโกรธกันตลอดชาติ
ประวัติของเมืองมีหลายมิติ ตามกาลเวลาของแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา การเดินชมเมืองจึงต้องดูให้เห็นหลักฐานที่คงอยู่ในแต่ละยุคทับซ้อนกันไป บางสิ่งอาจซ่อนอยู่ตามอาคาร กำแพง หลังคา
แม้แต่พื้นถนน บ้านหลายหลังยังคงป้ายชื่อร้านเดิมไว้ แม้จะเป็นภาษาจีนโบราณที่เกือบเลิกใช้แล้ว
แต่ก็ยังพออ่านได้ว่า
อาคารนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน บางแห่งยังคงมีคนอาศัย บางแห่งกลายเป็นบ้านร้าง เท่าที่เห็น
มีร้านหมอพื้นบ้าน สถานพยาบาล ศาลเจ้า
โรงแรม และร้านอาหาร
มีป้ายหินสลักชิ้นหนึ่ง ติดไว้ข้างประตูหินโค้ง
หากไม่สังเกตุ อาจคิดว่าเป็นป้ายประกาศธรรมดา
แต่เมื่อหยุดอ่านข้อความ ก็ทำให้เราถึงกับต้องยกมือไหว้คารวะสิ่งที่ถูกจารึกนั้น
เพราะนั่นคือป้ายบันทึกวีรกรรมของชาวเมืองที่ต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นจนเสียชีวิต
เพื่อปกป้องเมืองนี้ให้พ้นจากการถูกทำลาย จากป้ายนี้ ทำให้คิดวิเคราะห์เองว่า
รอยแตกร้าวเป็นรูของผนังบ้าน ผนังกำแพงบริเวณนี้
น่าจะเป็นรอยกระสุนปืนจากการต่อสู้ครั้งนั้น ฉันเดินจากป้ายนั้นมา...ท้องฟ้าอืมครืมถนนว่างเปล่า
บรรยากาศเช่นนี้ช่างบีบหัวใจเหลือเกิน
หากจำได้ หลายฉากของภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง
“เพลงรักชาวเรือ” ที่โด่งดังสุดๆสมัยฉันเป็นเด็ก ได้ถ่ายทำที่เมืองนี้ แม้ปัจจุบัน พื้นที่นี้ก็ยังเป็นที่นิยมมาก
สำหรับใช้เป็นฉากในภาพยนต์ และหนังทีวี
เนื่องจากชาวบ้านยังคงรักษาบรรยากาศ และวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้
ฉันใช้เวลาที่เมืองนี้อย่างช้าๆ อยากเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้ได้มากที่สุด
ถ่ายรูปแบบไม่คิดชีวิต ซึมซับกับบรรยากาศรอบตัว
เหมือนอยากเก็บทุกอย่างไว้ในพื้นที่สมอง
ขณะเดินผ่านอาคารปูนแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าขนาดใหญ่ ดูจากรูปลักษณ์ของอาคารแล้วน่าจะเคยเป็นหอประชุม
หรือสำนักงาน
หรือบ้านพักของผู้ปกครองเมืองมาก่อน
อาคารนี้ภายนอกเป็นตึก 2 ชั้น แต่ภายในก่อสร้างด้วยไม้ และอิฐ
บานประตูใหญ่ที่วิจิตรพิศดาร
ดึงดูดให้ฉันเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ
เมื่อมองเข้าไปในบ้าน พบกับความมืดและ ฝุ่นละอองจับตามสิ่งก่อสร้าง เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเราแอบเดินเข้าไปในบ้าน ฉันได้ยินเสียงพูดคุยภายใน เมื่อตามเข้าไปจึงได้พบกับชายสูงอายุเจ้าของสถานที่ เราได้ทราบว่า
เขาซื้อบ้านเก่านี้มาปรับปรุงเพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงความเป็นมาของเมือง
ฉันนึกชื่นชมความคิดของเขาอยู่ในใจ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ และมองเห็นคุณค่าของสิ่งของที่ผ่านการเดินทางของเวลา
จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
เราไม่ได้คุยกับเขานานนัก เพราะใจฉันถูกบรรยากาศดึงดูดให้รีบเข้าไปสำรวจรอบบ้าน
เขาคงสังเกตุเห็นอาการกระวนกระวายของฉัน จึงอนุญาติให้เราเดินดูภายในได้อย่างเสรี ช่างใจดีเหลือเกิน
ถึงเวลานี้
ฉันเหมือนนกที่ถูกปล่อยออกจากกรง
โผบินไปมุมโน้นมุมนี้โดยไม่สนใจเวลาและใครๆอีกแล้ว ณ วันนี้ บ้านยังไม่ได้มีการปรับปรุง
สภาพยังคงรกรุงรัง แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
จะมีใครสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้เข้ามาเดินในบรรยากาศเก่าแก่ของแท้ดั้งเดิมแบบนี้
แอบคิดอยู่ว่า นี่เราฝันไปหรือเปล่าหนอ
ตัวอาคารเป็นบ้านสองชั้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
กลางบ้านเป็นลานว่าง ไม่มีหลังคา สภาพเป็นสวนเล็กๆเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนของเจ้าของบ้าน
แสงรำไรส่องลงมาที่ลาน ในบ่อน้ำเห็นปลาทองกำลังว่ายอย่างมีความสุข มีทางเดินเชื่อมระหว่างหน้าบ้านมาหลังบ้าน
ตัดผ่านลานสวน
ในช่วงเวลาที่บ้านถูกทิ้งร้าง ต้นไม้ล้มลุกได้ขึ้นปกคลุมตามหลังคา ห้อยย้อยลงมาเหมือนมีคนตกแต่งเอาไว้
ขณะเดินเข้าไปส่วนในสุดของบ้าน ภายในยังมืดสลัวเนื่องจากแสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาไม่ถึง
โต๊ะ เก้าอี้
เครื่องใช้ในบ้านถูกวางระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง ฉันใจกล้าเดินเข้าไป
แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีแสงสว่างกระจายออกมาจากดวงไฟภายในห้อง พร้อมกับแสงไฟ
เสียงเพลงจีนพื้นเมืองที่ร้องโดยนักร้องคนโปรดของฉันก็ดังแว่วมา มันเป็นเพลงคุ้นเคยที่ฉันเปิดฟังทุกวันที่บ้าน ฉันแอบยิ้มคนเดียว....ทำไมบรรยากาศในบ้านนี้ถึงได้วิเศษมหัศจรรย์เช่นนี้หนอ
จำไม่ได้ว่าเดินวนไปวนมาในบ้านนานเท่าไร เดินฟังเพลงไปเพลินๆ ก็แอบเห็นเจ้าของบ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถง แท้จริงแล้ว เขาคงเปิดเพลงให้ตัวเองฟังขณะอ่านหนังสือกระมัง อย่างไรก็ตาม
เราก็ได้ซึมซับความสุขไปกับเขาด้วย ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว ฉันเดินออกจากบ้านอย่างเงียบๆ
ไม่ได้กลับไปลาเจ้าของบ้าน เพราะไม่อยากรบกวนความสงบสุขของเขา ได้แต่สัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาบ้านนี้อีกครั้งให้ได้
......
ฉันนั่งคิดทบทวนความจำบนเตียงกลางดึก
ภาพเหตุการณ์ที่ได้เดินในเมืองโบราณ
การได้พบบ้านเก่ารกรุงรัง
การเข้าไปพบเจ้าของบ้าน และช่วงเวลาที่ได้เดินอยู่ในบ้าน บรรยากาศแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้
เป็นเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่งฉันได้เคยจินตนาการไว้
คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะกลายเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หลายคนบอกว่ามันเป็น Deja vu เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ฉันว่ามันเป็น “ ฟ้าลิขิต “....มากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น