คนเราไม่ได้พบกันโดยบังเอิญ
การได้ไปอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ก็ล้วนเป็นเพราะโชคชะตา แม้จะไม่เคยคิดว่าจะได้พบใคร หรือได้ไปณ.
แห่งใด แต่เมื่อถูกกำหนดให้เป็น
เราก็ต้องไปที่แห่งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ฉีผิง XiPing ( 熙平 )
ไม่ใชเมืองในฝัน ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของฉันเลย
แต่เมื่อฟ้าลิขิตเราก็ต้องเป็นไปตามที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ เชื่อแล้วว่าเราทั้งสองต่างมีวาสนาต่อกัน
หลังจากศึกษาข้อมูลโดยละเอียด ชื่อของเมืองโบราณ “ต้าเฉื่อ”(DAXU) ก็เป็นแรงบันดาลใจแรงกล้าที่ทำให้ฉันเก็บกระเป๋าบินไปกุ้ยหลิน
เพียงเพื่อจะไปถ่ายรูปประตูเก่าที่กำลังเสื่อมสลายด้วยกาลเวลา แต่แรงปรารถนาครั้งนี้กลับพ่ายแพ้ชะตาชีวิต
ที่นำฉันไปยังเมืองโบราณอีกแห่งที่ชื่อว่า “ฉีผิง” หรือว่าการเปลี่ยนเส้นทางจำต้องเกิดขึ้นเพราะใครสักคนต้องการให้เป็นเช่นนี้
ฉีผิง เมืองเก่าที่อายุยืนยาวมามากกว่า
500 ปี ได้ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาในยุคสามก๊ก สามารถอยู่ผ่านมาได้หลายแผ่นดิน
ตั้งแต่ราชวงค์ตั๋ง ราชวงค์ซ่ง
ราชวงค์หมิงของชาวฮั่น มาถึงราชวงค์ชิงของแมนจู
และยืนหยัดผ่านช่วงสงครามมามากมายหลายครั้ง
ผ่านการถูกรุกรานโดยต่างชาติ ทั้งฝรั่งและญี่ปุ่น จนถึงปัจจุบัน ฉีผิง
ที่แม้จะเสื่อมโทรมจากกาลเวลาแต่ก็ยังมีเสน่ห์น่าหลงไหล
ในสายตาของคนยุคปัจจุบัน
จะมองฉีผิงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ แต่ในยุคเริ่มสร้าง เมืองนี้นับเป็นเมืองท่าใหญ่ที่มีความสำคัญด้านการค้าทางน้ำเมืองหนึ่งของกุ้ยหลิน ที่การค้าขายจะดำเนินไปด้วยการล่องเรือขนส่งสินค้าไปตามสายน้ำของแม่น้ำหลี่
(ภาพนี้จากwww.panoramio.com)
สภาพภูมิศาสตร์ ของเมืองถูกกำหนดขึ้นถูกต้องตามตำราฮวงจุ้ย ฉากหลังของเมืองมีภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม เบื้องหน้าของเมืองเป็นแม่น้ำหลี่ ซึ่งได้ชื่อกล่าวขวัญว่าเป็นช่วงที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามที่สุด จนได้ถูกนำไปพิมพ์ไว้บนธนบัตร 20 หยวนของจีน อีกทั้งยังเป็นฉากในภาพยนต์หลายเรื่อง
แม้จะเป็นเมืองไม่ใหญ่โต
และมีถนนสายหลักเพียงสายเดียวที่ทอดยาวขนานไปกับแม่น้ำ
แต่ถนนและอาคารทั้งสองฝั่งถนน
ก็ยังคงไว้ด้วยร่องรอยของอดีตที่สวยงามในยุคราชวงค์หมิง และราชวงค์ชิง ความงามของอาคารที่ตั้งอยู่บนถนนและตามตรอกซอกซอยที่แยกแผ่ขยายออกไป
ทำให้บรรยากาศของเมืองที่เงียบสงบนี้ดูลึกลับซับซ้อนน่าค้นหามากขึ้น
การมาเที่ยวเมืองเก่า
หากไม่ใช่ใจรักจริงๆ คงเสียเวลาเปล่า ฉันเคยได้ยินเด็กวัยรุ่นมาเดินถ่ายรูปกับบ้านเก่า
พร้อมอัพเดทสเตตัส เสร็จรีบกลับขึ้นรถไปเมืองอื่น พร้อมพูดกันว่า “
ไม่เห็นมีอะไรเลย” แต่สำหรับฉัน
เวลาครึ่งวันที่ใช้เดินชมรายละเอียดของเมือง ยังน้อยเกินไป
เพราะไม่ใช่แค่ความเก่าของเมืองเท่านั้นที่น่าสนใจ แต่ในทุกอนูของเมืองมีร่องรอยของเวลาฝังอยู่
ถนนสายหลักของเมืองเก่า
ดูแคบสักหน่อยสำหรับยุคนี้
โชคดีที่ไม่มีรถยนต์วิ่งเข้ามา พื้นถนนปูด้วยแผ่นหินแกรนิต
ทุกแผ่นถูกใช้งานมาจนราบเรียบ
บ้านสองข้างทางเป็นทรงโบราณที่ผิวปูนเริ่มผุกร่อนจนเห็นแผ่นอิฐที่เรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ
ร่องรอยที่แสดงให้เห็นการเดินทางผ่านเวลามาถึงปัจจุบันที่ปรากฏให้เห็น
คือสายไฟระโยงระยางจากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่ง ถึงจะเป็นสายไฟ
แต่ก็ยังเป็นสายไฟในยุคหนึ่งที่ผ่านมาแล้ว
สายไฟฟ้าเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า
ชาวบ้านยังคงพักอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ฉันผ่านเมืองเก่ามาหลายเมือง มีข้อสังเกตว่าผู้คนที่ปรากฏให้เห็น
มักเป็นคนจากเมืองอื่นมาทำธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ตามบ้านเก่าเหล่านั้น
พวกเขาส่วนใหญ่แค่มาใช้สถานที่ทำมาหากิน อาจจะไม่ได้พัก และไม่ใช่เจ้าของบ้าน
แต่ที่ “ ฉีผิง” คนนอกที่มาเช่าทำมาหากินน้อยมาก
ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบ้าน ทุกคนที่เห็นล้วนเป็นคนสูงอายุ
ที่ถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่
ส่วนคนหนุ่มสาวต่างพากันเดินทางไปทำงานในเมืองใหญ่กันหมด
ชาวบ้านสูงอายุส่วนใหญ่ใช้ชีวิตสบายๆไม่เร่งรีบ
ภายในบ้านหลายหลัง มีรูปท่านเหมาเจ๋อตุง ติดอยู่ที่ข้างฝา
รูปทั้งหมดเป็นรูปที่มีร่องรอยความเก่าเนื่องจากติดมานาน
นับเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นยุคหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในเมืองนี้
วันนี้ฉันมีเวลาเพียงครึ่งวันที่ใช้เดินจากหัวถนนไปยังสุดปลายทางที่มีระยะทาง
1 กิโลเมตร หากเดินแบบปกติ ความยาวแค่นี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
แต่หากเดินแบบซึมซับบรรยากาศแล้ว 6 ชั่วโมงบนถนนสายนี้ยังไม่พอ ด้วยเวลาที่จำกัดจึงไม่สามารถเดินสำรวจสถานที่สำคัญริมแม่น้ำหลี่ได้
แต่ถึงจะแค่เดินในเมือง ก็ช่วยให้อิ่มเอมหัวใจอย่างยิ่งแล้ว
แม้จะเป็นเมืองเล็ก
แต่ “ฉีผิง” ก็มีสถานที่ทุกอย่างที่เป็นสิ่งจำเป็นเพียบพร้อมสำหรับประชากร ในทางเดินที่วกวนลึกลับ ที่มุ่งไปสู่ท่าเรือ
มีสะพานสวยอยู่ลิบๆ ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปียืนตระหง่านอยู่ไม่ไกล กลางชุมชนมีศาลเจ้า ศาลา โรงเตี๊ยม และโรงงิ้ว
นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นโรงงิ้วกลางแจ้งในสวนที่สวยงาม
ขณะเดินมาถึง ฉันได้รับการบอกเล่าว่าหลังกำแพงสูงและประตูเก่านี้มีโรงงิ้วอยู่ เมื่อเข้ามาภายใน ได้พบกับสวนร่มรื่น
มีกำแพงสีเหลี่ยมล้อมรอบสวน ส่วนของเวทีงิ้วมีหลังคาอยู่ติดกำแพงด้านทางเข้า
ชายชราคนหนึ่งนั่งสีซออยู่หน้าประตู
หลังจากเดินสำรวจเวทีงิ้วจนละเอียด
ฉันสังเกตุเห็นรูปปั้นเทพเจ้าองค์หนึ่ง รู้สึกคุ้นกับรูปลักษณะของท่านมาก ใจคิดว่าน่าจะเป็นท่านกวนอู และความรู้สึกของฉันก็ถูกต้อง
เพราะด้านหนึ่งของกำแพง
เป็นศาลเจ้าที่ชาวเมืองสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่บูชาเทพเจ้ากวนอู เหตุที่มีศาลของท่านอยู่ที่นี่
ก็สืบเนื่องให้เห็นว่า กำเนิดของเมืองนี้ได้เริ่มต้นในสมัยสามก๊กนั่นเอง (160-220)
การมาพบศาลเทพเจ้ากวนอู
ที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนร่มรื่น ทำให้ฉันคิดอยู่ในใจว่า
หรือจะเป็นสิ่งนี้ที่พาฉันมา ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครบอกเลยว่ามีศาลของท่านอยู่ในสวนนี้
นับเป็นความบังเอิญที่สร้างความสุขสงบให้แก่ชีวิตฉันอย่างยิ่ง
จากเมืองที่ไม่คิดอยากมา กลับกลายเป็นเมืองที่ไม่อยากจากไปเสียแล้ว แต่หากต้องไป ช้าเร็วก็ต้องจากกันอยู่ดี วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ฉันกลับมาถึงจุดนัดพบช้ากว่ากำหนด ความช้าของฉันทำให้คณะของเราเดินทางออกจาก “
ฉีผิง” อย่างเร่งรีบก่อนตะวันจะลับฟ้า
เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น