เมือง Oxford
ได้ชื่อว่าเป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
และถือเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการศึกษา เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่แพ้เมือง Cambridge
เลยทีเดียว ตัวเมือง Oxford เต็มไปด้วยตึกเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง
ในยุคปัจจุบัน Oxford มีชื่อเสียงมากขึ้นเมื่อ Christ Church College ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter, และจุดที่สร้างความนิยมให้แก่เมืองนี้มายาวนานอีกแห่งคือ
เมืองนี้เป็นจุดกำเนิดของนิทานเรื่อง Alice in Wonderland ที่นักท่องเที่ยวพากันมาชมสถานที่ซึ่งเป็นฉากของนิทาน และยังสามารถแวะเยี่ยมชมร้าน
Alice shop ที่มีของที่ระลึกของนิทานเรื่องนี้จำหน่ายอีกด้วย วันนี้ Lily
จึงขอพาท่านไปเยี่ยมชมเมือง Oxford โดยตั้งชื่อเรื่องว่า Lily
in Wonderland ......ไปกันเลยค่ะ
เมือง Oxford ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศอังกฤษและห่างจากกรุงลอนดอน
ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 90 กิโลเมตร
เป็นเมืองค่อนข้างเล็กที่มีประชากรราว 120,000คน มีมหาวิทยาลัยใหญ่ที่มีชื่อเสียง 2 แห่งคือ Oxford University และ Oxford Brookes นับเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่อันดับต้นๆของประเทศอังกฤษจึงมีประมาณจำนวนนักศึกษา กว่า 30,000คนซึ่งเป็นนักเรียนที่มาจากทุกส่วนของประเทศอังกฤษและต่างประเทศ
Oxford เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่อุดมไปด้วยตึกและอาคารในยุคเก่าแก่
แต่ก็ยังคงเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา มีสถานที่น่าสนใจให้ดู
การเดินไปรอบๆเมืองเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งที่ผู้ที่มาท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมอันงดงามของอาคารวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่กลางเมือง
การเดินอยู่ในเมืองนี้รู้สึกคล้ายกับว่าหลงเข้าไปในยุคโบราณ นอกจากการเดินแล้ว
เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองของจักรยาน
ไม่ว่าจะไปทางไหนต้องระวังจักรยาน มากกว่ารถยนต์ นักเรียนที่มาเรียนที่Oxford ส่วนใหญ่ชอบที่จะปั่นจักรยานเที่ยวรอบๆเมือง
หรือไปเรียน
นอกจากการชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆแล้ว เมืองนี้ยังมีสวนสาธารณะที่สวยงามหลายแห่งและสวน ใกล้แม่น้ำเทมส์ ให้เดินชมความงาม ในยามค่ำ
เมืองนี้ยังมีโรงละครดีๆเปิดแสดง หรือหาร้านอาหารดีๆรับประทานในทุกบรรยากาศ สถานที่สำคัญของเมืองนี้ที่ผู้คนมาเยี่ยมชมคือ Christ Church College
Blenheim Palace and Woodstock, Ashmoleum Museum, Pitt River Museum,
Magdalen College, Oxford University Museum, Oxford Castle, Botanic Gardens, Museum of Natural
History
สำหรับฉันแล้ว การมา Oxford นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง บรรยากาศยามเช้าวันแรกของที่นี่
ทำให้ฉันลืมไปว่าตัวเองกำลังมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ความที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส
ทำให้ฉันออกเดินตระเวนไปตามถนนพร้อมกล้องคู่ชีพ
ตั้งแต่แสงแดดอ่อนๆยามเช้า จนแสงกล้ายามสายมาถึง ยิ่งเดินก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นไปหมด จนในที่สุดร่างกายก็ฟ้องว่าทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อฉันมาหยุดอยู่หน้าประตู Christ Church College ฉันจำต้องนั่งพักที่ป้ายรถเมล์หน้าประตูทางเข้าใหญ่ของมหาวิทยาลัย
ไม่มีแรงที่จะเข้าไปข้างใน
และเมื่อนึกถึงการเดินขากลับ เข่าฉันก็แทบจะหลุดออกจากตัว
หน้าประตู Christ Church College
ในที่สุดการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการของเราก็เริ่มขึ้นในเวลา
10.00 น. ที่เรียกว่าอย่างเป็นทางการก็เพราะเราตัดสินใจซื้อทัวร์ City Sight
Seeing แบบ Hop On – Hop Off โดยหวังว่าจะแวะลงไปเที่ยวในบางจุด แต่เอาเข้าจริงๆ
ฉันก็ได้แต่นั่งชมด้วยสายตาอยู่บนรถ โดยปล่อยให้หลานๆลงไปเที่ยวในจุดที่เขาสนใจ
Martyrs Memorial
Carfax Tower
University of Oxford ,History Faculty
Ashmoleum Museum
Church of St.Mary Magdalen
Sheldonian Theather
Christ Church College
พ่อมดแห่งฮ๊อกวอร์ด
และแน่นอนว่า
พวกเขากระโดดลงเข้าไปยัง Christ Church College เพื่อชมฉาก Great Hall ในหนัง เรื่อง Harry Potter ทุกภาค มหาลัยแห่งนี้เป็นมหาลัยที่ใช้ภาษาอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
และเป็นมหาลัยที่ดีที่สุดในอังกฤษ มีประวัติบันทึกไว้ว่าเริ่มสอนตั้งแต่ปี
1167 และเป็นมหาลัยเดียวที่มีโบสถ์ของตัวเอง
ซึ่งก็คือ Christ
Church นั่นเอง
นอกจากเรื่อง Harry
Potter แล้ว มหาวิทยาลัยนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ Charles Lutwidge Dodgson หรือรู้จักกันดีในนามของLewis
Carroll เจ้าของบทประพันธ์ Alice
in Wonderland ใช้บรรยากาศของมหาวิทยาลัยนี้ เป็นฉากปราสาทในเรื่อง
Alice in Wonderland ด้วย
Charles
Lutwidge Dodgson มาเมือง Oxford
ในปี 1851 เพื่อเรียนวิชาคำนวณ
นอกจากจะเรียนที่นี่แล้ว เขาหลงรักเมืองนี้อย่างจริงจัง จนปักหลักเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่เมืองนี้ และที่วิทยาลัยแห่งนี้ที่ เขาได้พบกับเด็กหญิงที่ชื่อ
Alice และน้องสาว
ซึ่งชอบที่จะให้เขาเล่านิทานให้ฟังบ่อยๆ
จนในที่สุดเขาก็แต่งนิทานเรื่อง Alice in Wonderland นี้ขึ้นมา
จนเป็นที่นิยมของผู้อ่านมามากกว่าร้อยปี
ขณะรถนำเที่ยวผ่านมหาวิทยาลัยนี้ไปสักพัก ผู้บรรยายก็ชี้ให้ดูร้าน Alice shop ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันนั่งพักเท่าใดนัก รู้สึกเสียดายที่เดินมาไม่ถึงร้านนี้ รถไม่ได้จอดให้เราลงไปชมสินค้าในร้าน แต่เท่าที่เห็น
ภายในร้านมีแต่นักท่องเที่ยวอยู่เต็มร้าน
ฉันก็ได้แต่นึกในใจว่า ฝากไว้ก่อน
เถอะ รับรองว่าต้องมีคราวหน้าสำหรับฉันแน่
เมื่อจบจากการนั่งรถชมเมือง ฉันก็มารอหลานที่โรงแรม และสำหรับฉันแล้ว โรงแรมนี้เปรียบได้กับ Wonderland ทีเดียว โรงแรมนี้ชื่อ The Randolph Hotel เป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองก็ว่าได้ สถานที่ตั้งของโรงแรม อยู่ตรงสี่แยกกลางเมือง ถูกห้อมล้อมด้วยมหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์ ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของ St John's College มหาวิทยาลัยที่ Tony Blair อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเคยศึกษาอยู่ อีกฝั่งหนึ่งเป็น Ashmoleum Museum of Arts
St John's College
Ashmoleum Museum of Arts
วันที่เรามาถึงเมือง Oxford วินาทีแรกที่เราเห็นโรงแรม ฉันคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นตึกของมหาวิทยาลัย หรือพิพิธภัณฑ์ใดสักแห่ง เมื่อเข้ามาในห้องโถง ดูคล้ายกับเข้ามาในโบสถ์ลึกลับ แม้จะเป็นโรงแรมที่อลังการณ์ หรูหรา แต่ แสงสลัวและความทมึนทึมของสิ่งก่อสร้าง ทำให้หลานเรียกโรงแรมนี้เป็นปราสาทของท่านเคาน์แดรกคูล่า ฉันรู้ดีว่าราคาห้องพักของที่นี่สูงมาก แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวกับค่าใช้จ่าย เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือบรรยากาศของโรงแรมนั่นเอง
ขณะกำลังเช็คอิน เห็นบันไดสูงซึ่งพนักงานบอกว่าเป็นทางขึ้นไปห้องพัก ฉันก็แทบจะขอเปลี่ยนโรงแรม เพราะฉันคงไม่มีปัญญาเดินขึ้นไปแน่ แต่โชคดีที่เขาแอบมีลิฟท์ซ่อนไว้ ถึงกระนั้น เราก็ยังต้องขึ้นบันไดต่อไปอีกอยู่ดี ที่น่าสงสารคือ Bell Boy ซึ่งเป็นคนขนกระเป๋าให้เรา ที่ต้องหิ้วขึ้นบันได เราจึงต้องทิปเขาไปตามระเบียบ
ทางเดินไปห้องพัก พื้นเป็นไม้สร้างมามากกว่าร้อยปี
ทางไปห้องอาหาร
แม้ภายนอกจะดูสลึมสลือ
แต่ภายในห้องนอนและห้องน้ำหรูหรามาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นั่งอยู่คนเดียวในห้องก็มีเหตุการณ์ให้หวาดเสียว
ตรงที่ได้ยินเสียงคนพูดงึมงำ แว่วมา
พร้อมเสียงอ๊อดแอ๊ดเหมือนมีคนเดิน
มองไปรอบห้องไม่มีใครอยู่
เริ่มเกิดอาการกลัวขึ้นมาเสียแล้ว
แต่พอค่อยๆรวบรวมสติฟังให้ดี เอ๊ะ...สำเนียงที่พูด
ทำนองเสียงมันคล้ายภาษาไทยมาก
รวบรวมความกล้า แนบหูกับผนังห้อง แล้วก็โล่งอก
เมื่อรู้ว่าแท้จริงเสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงคุยของหลานห้องข้างๆ นั่นเอง ที่ได้ยินเพราะกำแพงผนังห้องบางมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือ พื้นห้องเป็นไม้เก่า เวลาเดินจะมีเสียงตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณทางเดินหน้าห้อง เวลาแขกห้องอื่นเดินเราก็ได้ยินเช่นกัน คืนนั้นนอนไม่หลับเอาเสียเลย
บรรยากาศทำให้ต้องสวดมนต์กันนานหน่อย เมื่อไรจะเข้าเสียทีนะ
โรงแรมนี้ เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงมากของเมือง เวลาชาวเมือง Oxford รู้ว่าเราพักโรงแรมนี้
ส่วนใหญ่จะทำตาโต ไม่แน่ใจว่าเพราะราคาสูง หรือเพราะความเก่าจนน่ากลัวกันแน่ ในโรงแรมมีห้องที่มีชื่อเสียงหลายห้อง เช่น
ห้อง The Morse Bar เป็นบาร์เหล้าแบบอังกฤษ ที่เป็นต้นแบบของความหรูหรายอดนิยมของเมือง Oxford เป็นแหล่งที่บรรดานักแสดงที่มีชื่อเสียง นักการเมืองระดับประเทศ และนักธุรกิจชั้นนำของโลกมาพบปะพูดคุยกันที่นี่บ่อยๆ
The Drawing
Room ห้องชาที่ถูกตกแต่งอย่างสง่างาม เหมือนความฝัน ที่ห้องนี้ได้มีการคัดเลือกชา และ ขนมอบที่เลื่องชื่อไว้ให้บริการ
afternoon teas แก่ลูกค้า แม้ทางโรงแรมจะติดป้ายว่าสามารถแต่งกายตามสบายได้ แต่ก็เห็นลูกค้าแต่งตัวเริ่ดกันทุกคน ทำให้เราอยากมานั่งเริ่ดแบบนี้บ้าง แต่ เนื่องจากเราไม่มีเวลาพอสำหรับดื่มชาที่นี่ ฉันก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า สักวันฉันจะกลับมา นั่งจิบชาทำท่าสวยๆในห้องนี้
....
อีกห้องที่ต้องพูดถึงคือ The Restaurant
ห้องอาหารที่โรงแรมนี้จัดได้ว่าเป็นห้องอาหารที่ติดอันดับของอังกฤษ เพราะนอกจากจะเก่าแก่แล้ว ยังได้รับรางวัล AA
Rosette ติดต่อกันหลายปี
จึงมั่นใจได้ว่าเชฟของที่นี่ต้องเป็นเชฟที่มีฝีมือฉกาจแบบหาตัวจับยาก
และที่รู้มาว่า ทางโรงแรมได้ปล่อยให้เชฟคิดค้นเมนู
และสร้างสรรค์อาหารได้ตามอิสระ โดยเน้นอย่างเดียวว่า เชฟจะต้องใช้วัตุดิบจากฟาร์มในท้องถิ่น
ที่มีคุณภาพเป็นเลิศเท่านั้น
ห้ามใช้วัตถุดิบที่เก็บค้างไว้มาปรุงอาหาร
อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนเมนูไปตามฤดูอีกด้วย
หากจะต้องใช้วัตถุดิบที่พิเศษจากท้องถิ่นอื่น
ต้องเลือกเฉพาะที่ทำในประเทศอังกฤษเท่านั้น ตัวอย่าง วัตถุดิบที่ทางโรงแรมภูมืใจนำเสนอคือ
เนื้อสก๊อต (the
finest Scottish beef ) เนื้อแกะ และหมู พันธุ์อังกฤษ
หรือที่เลี้ยงในประเทศอังกฤษ
บรรยากาศของห้องอาหาร เป็นแบบ Haute Cuisine
ที่ตกแต่งแบบอลังการณ์ดั่งปราสาทท่านบารอน ด้วยเครื่องตกแต่งที่วิจิตร
พร้อมรูปภาพบุคคลสำคัญในยุคต้นๆที่สร้างโรงแรม หน้าต่างทรงสูงจรดเพดานทำให้สามารถมองเห็นวิวมหาวิทยาลัย
และพิพิธภัณฑ์ที่อยู่รายล้อมโรงแรม
การที่จะรับประทานอาหารในห้องนี้ต้องโทรฯจองล่วงหน้า แม้ว่าจะเป็นแขกที่พักก็ตาม และเพื่อพิสูจน์คำกล่าวอ้างของโรงแรม เราจึงพร้อมใจกันลงมารับประทานอาหารเย็นที่นี่
โดยไม่ลืมที่จะโทรฯลงมาแจ้งให้ทางห้องอาหารทราบล่วงหน้าก่อน

อาหารที่เราสั่งวันนี้ เราไม่ได้สั่งเป็นชุด
เพราะกลัวว่าจะกินไม่หมด
จึงสั่งจานหลักกันเลย
มีเพียงน้องสาวที่อยากกินซุปร้อนๆ
และ Seasonal soup วันนี้ก็เป็นคิวของซุปฟักทองที่อร่อยรสนุ่มแบบผู้ดี
แม้น้องจะสั่งซุปคนเดียว
แต่ทางห้องอาหารก็ยังใจดีนำตัวอย่างซุปมาให้เราชิมแกล้มขนมปังที่นุ่มเหนียวและร้อนๆอร่อยบีบหัวใจกันทุกคน
หลังจากทานซุป และขนมปังอร่อยๆเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็นำ Sherbet มาเสริฟคั่นก่อนจะทานเมนคอร์สต่อไป
การทานเชอเบตเป็นการล้างรสชาติอาหารจานแรกที่เราทาน
เพื่อให้ปากเป็นกลาง พร้อมที่จะสัมผัสรับรสชาติที่แท้จริงของอาหารจานต่อไปได้โดยไม่ผิดเพี้ยน
จากนั้นอาหารจานหลักของฉันก็ถูกนำมา
จานนี้คือ แฮม Prosciuttio
สไลด์บางๆ สอดไส้ด้วยต้นชิคอรี่ และเนยแข็ง gruyere ทอดให้สุกกรอบนอกนุ่มใน (Pan fried roulade of prosciuttio,
chicory and gruyere, rocket dressing
aged balsamic ) เสริฟมากับสลัดผักร๊อกเก็ต
มีน้ำส้มบัลซามิกที่หมักไว้ยาวนานพรมมาบนผัก
จานนี้อร่อยมากจริงๆ ไม่ผิดหวังเลยที่สั่งจานนี้
ของน้องสาวเป็น เป็นปลาแซลม่อนย่าง
เสริฟกับสลัดแอ๊ปเปิ้ล และผักผัด (Cured
Shetland salmon, crab and apple salad mixed cress )หน้าตาอาจดูธรรมดา
แต่ฝีมือเชฟที่นี่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
สำหรับหลานชายสองคน สั่ง Rib-eyes Steak ใช้เนื้อสก๊อตอย่างดี ตั้งโต๊ะตัดเสริฟกันเห็นๆ จานนี้อร่อยมาก สมราคา
ทุกคนอิ่มกันถ้วนหน้า แต่ฉันอยากลองชิมขนม จึงสั่ง Tiramisu มาชิม และก็ต้องยอมรับว่า อาหารของเขาสมราคาคุยจริงๆ
รางวัลที่โชว์ไว้ในตู้หน้าห้อง ไม่ใช่แค่เครื่องประดับร้าน แม้โรงแรมจะดูสวยแบบน่ากลัว เหมือนฉากใน Alice in Wonderland แต่อาหารที่นี่ต้องจำไปอีกนาน
เรายังอยู่ในเรื่องของร้านอาหารของเมือง
Oxford ซึ่งเป็นร้านที่หมายมั่นปั้นมือจะลองมาชิม นั่นคือร้านของพ่อ Jamie Oliver ที่ชื่อ Jamie’s Italian เราเลือกร้านนี้ไว้เป็นอาหารกลางวัน
ก่อนที่จะออกเดินทางไปเมืองอื่น
ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักของเรานัก
จานแรกเราสั่ง Seasonal
Vegetable ที่ประกอบด้วยผักของฤดูใบไม้ร่วง หมักด้วยเครื่องเทศ น้ำมันมะกอก ย่างด้วยเตาถ่าน
ปรุงรสด้วยน้ำสลัด เสิรฟ มากับขนมปังและชีส
นอกจากจะอร่อยแล้ว การนำเสนอยังแปลกพิสดารเอามากๆ ด้วยการเสริฟมาบนถาดไม้ วางบนกระป๋องมะเขือเทศ (
ตอนเขาเอากระป๋องมะเขือเทศมาวางเตรียมไว้ เราตกใจบอกว่าฉันไม่ได้สั่งนะ
แต่ก็โล่งอกที่เป็นแค่ Display
จานอาหาร)
จานที่ 2 Beautiful
Bruschetta ฉันเป็นคนชอบกิน Bruschetta จึงอดไม่ได้ที่จะสั่งจานนี้มา และหน้าตาก็สวยงามจริงๆ
จานนี้เขาใช้ขนมปังแบบพื้นบ้านเหนียวๆย่างจนเกรียม
โป๊ะหน้ามาด้วยผักย่างชนิดต่างๆ พร้อม Mozzarella รมควัน อร่อยสมใจ
British Lamb
Breast เป็นจานหลักของฉัน เป็นเนื้อแกะเคี่ยว หรืออบจนนุ่มๆ ม้วนเป็นวงกลมอบมาจนกรอบนอก เสริฟกับผักสลัดตามไสตล์ของ Jamie
รสชาติดีทีเดียว
ของน้องสาวเป็น Free-Range
Chicken เป็นไก่หมักกระเทียม
และโรสแมรี่ เสริฟกับแตงกวาและผักสลัดราดซ๊อสที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศ มะกอก
และผักเคเปอร์ดอง เป็นจานที่เหมาะสำหรับอาหารกลางวันอย่างยิ่ง
หลานชายสั่ง South-Coast
Fritto Misto เป็นซีฟู๊ดชุบเกล็ดขนมปังทอด จิ้มกับซ๊อสชื่อYuzo Mayo ดูอลังการณ์มาก
อีกจานของหลานคือ Black Angel Spaghetti เป็นเส้นดำผัดกับหอย
พริก กระเทียมและมะกอกดำ ใส่น้ำปลาหมึกเพิ่มความดำให้ปากคนกินด้วย
กลัวไม่อิ่ม สั่ง Prawn Linguine เส้นพาสต้าผัดกุ้ง
จานนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกินของอร่อยไปเยอะแล้วรึไง จึงดูเหมือนไม่ค่อยถูกใจ โดยเฉพาะเส้น Linguine ที่รสคล้ายเส้นแช่แข็งไว้นาน
ที่จริงก็อิ่มแล้ว แต่อดของหวานไม่ได้ และอยากรู้ว่าฝีมือการทำ Tiramisu ตำหรับของพ่อ Jamie เป็นยังไง สรุปแล้วก็อร่อยมากกินคนเดียวหมดจานเลย
เราจบการรับประทานอาหารมื้อกลางวันแบบง่ายๆที่ร้าน Jamie’s Italian อย่างอิ่มหนำสำราญ
แต่ยังไม่ยอมกลับ
เพราภายในร้านมีมุมขายเครื่องใช้ในครัว
อันเป็นสินค้าโปรดของฉันอย่างมาก
และเพื่อไม่ให้พ่อ Jamie
เสียใจจึงอุดหนุนจานชามและถาดไม้
กลับมาใช้ที่บ้านพอหอมปากหอมคอ
ในที่สุดเราก็ถึงเวลาที่ต้องออกจากเมือง Oxford กันแล้ว ดูเหมือนว่าการมาของเราจะหนักมาทางหาของอร่อยกินกันมากกว่าจะมาชมบ้านเมืองยังไงก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าขอแก้ตัวกันที่เมืองอื่นก็แล้วกันนะคะ แล้วพบกันค่ะ .......
I love your writing, your awesome pictures. This is the best. So enjoyable. Winner!!!! Thanks for sharing. I give you 5 stars.
ตอบลบ