บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมฆหมอก สายฝน และอ้อมกอดของขุนเขา


วันนี้เป็นช่วงสัปดาห์แรกที่ไม่ได้เดินทางไปไหน  แม้จะต้องการเวลาในการเขียนบทความขึ้นบล็อก แต่ก็ยังรู้สึกว้าเหว่ยังไงชอบกล  สงสัยว่าจะเสพติดการเดินทางเอามากๆ  พออยู่นิ่งๆเลยเคว้งคว้างไม่รู้จะทำอะไรดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีภาระที่ต้องนำภาพและเรื่องราวของสถานที่ที่เพิ่งไปมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง  หลายท่านคงสงสัยว่า ไปไหนมา เพราะไม่ได้จั่วหัวเรื่องเป็นชื่อของจุดหมายปลายทางที่ไปเลย
คราวนี้ ต้องขอให้เครดิตบรรยากาศของสถานที่นี้เป็นชื่อเรื่อง  เพราะชอบบรรยากาศของเมฆหมอก สายฝน และขุนเขา เป็นอย่างยิ่ง แม้จะเที่ยวไป เปียกไป ก็ตาม เชิญตามไปปีนเขาที่ "จาง เจี่ย เจี้ย" ซึ่งเป็นดินแดนแห่งฉากหนังเรื่อง อวตา AVATAR  นั่นเองค่ะ

จางเจี้ยเจี้ย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนานตอนกลางค่อนมาทางใต้ของ ประเทศจีน เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษและมีทัศนียภาพที่งดงามจางเจียเจี้ยได้ถูก ประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์วนอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ.1982 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ วนอุทยานแห่งชาติ หุบเขาซูยี่ และภูเขาเทียนจื่อ ความโดดเด่นของสถานที่แห่งนี้ คือ ยอดเขาและเสาหินทรายที่ตั้งตระหง่านกว่า 3,000 ยอด และสูงกว่า 200 เมตร นอกจากนี้ยังมีช่องแคบ ลำธาร สระน้ำ และน้ำตกมากมาย รวมทั้งมีถ้ำกว่า 40 ถ้ำ ซึ่งทำให้สถานที่แห่งนี้มีภูมิทัศน์ที่งดงามจนได้รับการประกาศให้เป็นมรดก โลกปี 1992  จากองค์การ UNESCO

 เราเดินทางสู่มหานครกวางเจา ถึงสนามบินไป่หวิน  กวางเจาเป็นเมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากธุรกิจการค้า และเป็นเมืองต้นทางที่จะเดินทางต่อไปยัง จาง เจี่ย เจี้ย

การเดินทางไป จาง เจี่ย เจี้ย ยาวนานยิ่งนัก ต้องเดินทางไปนอนที่เมืองฉางซา อันเป็นเมืองปากทางเข้าจาง เจี่ย เจี้ย ก็ว่าได้ ซึ่งใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมงในการนั่งรถไฟหัวกระสุน เพื่อเดินทางสู่  เมืองฉางซา  รถไฟที่เราไปเป็นรถด่วนขบวนที่ G6020  

รถไฟขบวนนี้มีความเร็ว 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นความเร็วอันดับหนึ่งแบบทิ้งห่างจากคู่แข่งหลายช่วงตัว ซึ่งก็ยังเร็วกว่าคู่แข่งอื่นๆ มาก อาทิ รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น (243 ก.ม./ช.ม.), เยอรมันนี (232 ก.ม./ช.ม.), และฝรั่งเศสที่ (277 ก.ม./ ช.ม.)  

รถไฟสายใหม่ของจีนนี้จะเชื่อม 20 เมืองตลอดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงภาคกลางของประเทศเข้ากับภูมิภาคที่ยังคง พัฒนาล้าหลังอีกจำนวนมาก  ค่าโดยสาร กว่างเจา -ฉางซา เป็นเงิน 315 หยวน ราคาพอๆกับเครื่องบิน แต่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่พบในเครื่องบินบอกฉันว่า เขาบินจากกวางเจาไปจาง เจี่ย เจี้ย ราคาเครื่องบินถูกกว่า และเขาตั้งใจอยากจะเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงนี้มากกว่า เพราะเพิ่งเปิดใช้ เขาเห็นแต่ในอีเมล์ ไม่เคยเห็นของจริงสักที  ฟังเขาพูด เราก็ยืดดดด..... พร้อมกร่างเล็กน้อย 

มาดูรายละเอียดของรถไฟนี้กันนะคะ

 สถานีรถไฟ ชื่อ Guang Zhou South ใหญ่โตราวท่าอากาศยาน เป็นระเบียบและสะอาด


โฉมหน้ารถไฟความเร็วสูงของจีน

 เมื่อถึงเวลา ทางสถานีจึงประกาศให้ผู้โดยสารลงมารอที่ชานชลาที่กำหนด รอแค่ 5 นาทีรถก็มา ที่ชานชลาจะเขียนเลขที่โบกี้ไว้  รถจะจอดตรงตามหมายเลขเป๊ะ  ภายในรถมีที่วางกระเป๋าเดินทางและสัมภาระทุกโบกี้ 

ที่นั่งสบายเหมือนที่นั่งในเครื่องบิน 

 เราพยายามพิสูจน์ความเร็วของรถไฟด่วนสายนี้ รอให้ความเร็วถึง 350 กม.ต่อชั่วโมงแต่ไม่ถึงสักที ถ่ายได้แค่ 303 กม.ต่อชั่วโมง(บางช่วงคงถึงแต่รอไม่ไหว)
 
 ภายในรถสะอาดดี


 มีห้องน้ำสะอาดไว้บริการผู้โดยสาร

 หน้าห้องน้ำในรถไฟมี น้ำร้อน น้ำเย็นไว้บริการฟรี สำหรับผู้ที่ไม่อยากเสียเงินซื้อเครื่องดื่มบนรถ แต่ตอนเราจะขึ้นรถ เราสามารถเอาตั๋วไปแลกน้ำดื่มฟรี ได้คนละขวดแล้ว

สำหรับ ผู้ที่ต้องการเสียเงิน ทางรถไฟนอกจากจะมีตู้เสบียงที่มีโต๊ะนั่งทานแบบสบายๆแล้ว  ยังมีพนักงานเข็นรถขายอาหารและเครื่องดื่มเกือบตลอดเวลา  อาหารที่ขาย จะเป็นข้าวกล่อง คล้ายของญี่ปุ่น  บะหมี่ถ้วยแบบเติมน้ำร้อน ชา  กาแฟ และน้ำเปล่า

 รถขายอาหารไปไม่นาน  แม่หนูคนนี้ก็เดินมาขาย ชา กาแฟ อีก แบบว่าไม่อดตายแน่

 นายตรวจแต่งตัวหล่อดีไม่เห็นมีที่ตัดตั๋วเสียงแป๊กๆๆๆ แบบบ้านเราเลย รถไม่จอดทุกสถานี วิ่ง 3 ชั่วโมงจอดแค่ 3 สถานี

รถไฟถึงเมืองฉางซา ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของขบวนนี้ ตอนเที่ยงคืน   กว่าเราจะถึงโรงแรมที่พักเกือบตีหนึ่งแล้ว และกว่าจะได้นอน ก็ปาเข้าไปตี 2  แต่ไกด์บอกเราว่า พรุ่งนี้ใช้สูตร 5ครึ่ง -6ครึ่ง -7ครึ่ง นะคร๊าาาาาาาา   ไอ๊หยา อาหมวย อั๊ว..ยังม่ายล่ายนอนเลยอ่ะ ....

เช้า หลังจากตื่นมาเราก็ต้องนั่งรถไปอีก 3-4 ชั่วโมงเพื่อไปยังเมืองจางเจี่ยเจี้ย การเดินทางยาวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเมื่อคืนนอนกันน้อย ได้หลับในรถค่อยมีแรงปีนเขาหน่อย และในที่สุดเราก็มาถึงเมือง จาง เจี่ย เจี้ย 


 หลัง รับประทานอาหารกลางวันเติมพลังกันให้ดีแล้ว  เราก็เดินทางสู่ ภูเขาเทียนเหมินซาน ซึ่งตั้งอยู่มณฑลหูหนาน สมัยก่อนเรียกว่า ภูเขาหวินเมิ้งซาน หรือ ซงเหลียวซาน  นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกของจางเจียเจี้ย 
การเดินทางไป ต้องขึ้นไปชมโดยการนั่งกระเช้าจากตัวเมืองจางเจียเจี้ย มีความยาวที่สุดในโลก คือ 7.5  กิโลเมตรเมตร เป็นกระเช้าที่ทันสมัยที่สุด ขึ้นสู่  เขาเทียนเหมินซาน  ใช้เวลาในการนั่งกระเช้า 40 นาที น่าประทับใจมากที่สถานีรถกระเช้าตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย


 ระหว่างทาง เห็นประตูสวรรค์อยู่รำไร

แต่เรายังไม่ไปเที่ยวที่ประตูสวรรค์ เพราะต้องนั่งรถไปอีก 99โค้ง  จึงลงจากกระเช้าแล้วเดินชมวิว และสัมผัส ความมหัศจรรย์ของ “หน้าผาลอยฟ้า”  ซึ่งเป็นความแปลกใหม่ของการท่องเที่ยวก่อน



เนื่องจากอุทยานเทียนเหมินซาน ถูกรายล้อมด้วยภูเขารูปทรงสวยงามแปลกตา จึงมีการสร้างทางเดินแบบสะพานให้นักท่องเที่ยวได้เดินลัดเลาะชมวิวทิวทัศน์ ไปตามขอบหน้าผาสูงชัน ซึ่งนอกจากจะสร้างความตื่นตาตื่นใจแล้ว ยังทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียวไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่กลัวความสูง   

ล่าสุด ได้มีการเปิดจุดชมวิวรูปแบบใหม่บนภูเขาเทียนเหมินซาน ที่มีลักษณะเป็น สะพานแก้ว หรือ “ทางเดินลอยฟ้า” พื้นกระจกหนา 2.5 นิ้ว ตัวสะพานมีความกว้าง 3 ฟุต ยาว 200 ฟุต (61 ม.) ตั้งอยู่บนความสูง 4,700 ฟุต ( 1,433 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล 

 คนที่จะเดินสะพานแก้ว ต้องสวมรองเท้าผ้าหุ้มรองเท้าไว้ก่อน 
กันพื้นแก้วมีรอย



  ถ่ายรูปขาตัวเองขณะเดินบนสะพาน เพราะตอนเดินไปคนเดียว 
ไม่มีใครถ่ายให้ 

 เหล่าผู้กล้า เดินไปร้องกรี๊ดๆๆๆไป  ช่วงคนเดินมากๆก็น่ากลัวสะพานหักเหมือนกันนะ สำหรับคนที่ไม่กล้าเดินก็นั่งรอขาสั่นอยู่หน้าสะพาน  แค่เห็นก็จะเป็นลมแล้วค่ะ

 มองลงไปเป็นหุบเหว หากตกลงไปคงหาชิ้นส่วนไม่เจอแน่

 เสร็จ จากเดินขาสั่น ก็ถึงเวลาไปประตูสวรรค์กันเสียที  ตอนเดินกลับมาก็พบกับศาลาลอยฟ้า ซึ่งจำได้ว่าเคยเห็นในอีเมล์ที่คนส่งมาให้หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เดินไปที่ศาลานี้เพราะเวลาหมดแล้ว

  เราขึ้นกระเช้ากลับลงมา แต่ต้องลงจากกระเช้าครึ่งทาง แล้วนั่งรถบัสเล็กขึ้นไปอีกยอดเขาหนึ่ง ซึ่งมี 99 โค้ง คนขับก็ขับแบบไม่ปราณี  ทั้งเร็ว ทั้งเหวี่ยง นึกว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว



ในที่สุดก็มาถึงประตูสวรรค์เสียที โล่งอกไป......

ถ้ำ เทียนเหมิน หรือเรียกว่า  ถ้ำประตูสวรรค์เทียนเหมินซาน  เป็น 1 ใน 4 ของภูเขาที่สวยที่สุด สาเหตุที่เรียกว่าเทียนเหมินซานเพราะว่า ภูเขาเกิดระเบิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจนกลายเป็นถ้ำ ประตูนี้มีความสูง 131.5 เมตร ความกว้าง 57 เมตร ความลึก 60 เมตร เมื่อท่านมาถึงถ้ำประตูสวรรค์  จะมีบันได 999 ขั้น ขึ้นสู่ ภูเขาประตูสวรรค์   ครั้งหนึ่งเคยมีชาวรัสเซียได้ขับเครื่องบินเล็กลอดผ่านช่องภูเขาประตูสวรรค์ มาแล้วเป็นสถานที่ที่น่าสนใจจากชาวต่างชาติอีกแห่งหนึ่ง  การขึ้นถ้ำเทียนเหมินขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศด้วย  ในวันที่ฟ้าปิดนักท่องเที่ยวจะไม่สามารถขึ้นมาเที่ยวได้ 

การขึ้นเขาไปดูประตูสวรรค์ หลายคนขึ้นได้ 999 ขั้น  แต่ฉันขอเดินเอาเคล็ดแค่ 9 ขั้นก็พอแล้ว  อีก 990 ขั้นฝากไว้ก่อนค่ะ
นี่คือทั้งหมดของการเที่ยวช่วงกลางวัน ที่ขึ้น ลงเขาจนหมดแรง แต่เราก็ยังไม่ได้พักนะคะ เพราะยังมีรายการภาคกลางคืนอีก  หลังรับประทานอาหารเย็นแล้ว  เราก็รีบบึ่งกลับไปที่ภูเขาที่เราเที่ยวตอนกลางวัน  แต่คราวนี้อยู่แถวตีนเขา  เพื่อชมการแสดงโชว์จิ้งจอกขาว  การแสดงที่ถือว่าครบครันด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ชวนให้เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง เป็นการแสดงบทเกี่ยวกับความรักของนางพญาจิ้งจอกขาวที่มีต่อชายผู้เป็นที่รัก แต่ต้องพลัดพรากจากกันทั้งที่ยังรักกัน ถือเป็นบทตำนานแห่งความรักที่น่ายกย่องยิ่งนัก พวกเราเพลิดเพลินไปกับการ แสดงที่ประกอบด้วยนักแสดงคุณภาพกว่า 600 คน ฉากที่น่าชมคือ ฉากสะพานคู่เชื่อมเขาสองลูก  ชื่อว่าสะพานคู่รักใต้หล้า นับว่าอลังการณ์กว่าโชว์ใดใดที่เคยสัมผัสมา
 ฉากที่แสดงครั้งนี้ เป็นฉากกลางแจ้ง มีเทือกเขาสูงเป็นแบ็คกราว  เมื่อส่องไฟไปตามภูเขาแล้วสวยงามมาก การแสดงจะไม่หยุดเลย แม้วันที่ฝนตก ( แจกเสื้อกันฝน) ยกเว้นวันที่หิมะตกหนัก ไม่เล่นค่ะ






 โดยส่วนตัวแล้ว ชอบฉากที่นางจิ้งจอกขาว  กรีดเสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถครองคู่กับชายตัดฟืนคนรักได้ 
โดยการแสดงจะดำเนินไปด้วยเพลงที่ร้องว่า " เคยเห็นจิ้งจอกร้องไห้ไหม ?  เคยเห็นน้ำตาจิ้งจอกหรือไม่ ? "
 
ความที่ไม่เคยมีจิ้งจอกร้องไห้  ดังนั้นเมื่อจิ้งจอกขาวร้องไห้  จึงทำให้เกิดฝนตกฟ้าคนอง ฟ้าผ่า จนเทพยดาเห็นใจ แต่กระนั้น ทั้งคู่ก็ต้องรอถึงหมื่นปี จึงจะได้กลับมาครองคู่กัน ( นิยายจีน ชอบให้รอเป็นหมื่นปีทุกเรื่องเลยนะ) 

วันต่อมา   
การท่องเที่ยววันรุ่งขึ้น คิดว่าจะได้เที่ยวแบบเบาๆ  แต่ก็เหนื่อยเอาการ แถมยังเจอฝนอีกต่างหาก  แม้จะนอนอยู่ใกล้ๆทางเข้าอุทยาน แต่เราก็ต้องตื่นแต่ไก่โห่ เพื่อทำเวลาให้เที่ยวได้ครบตามโปรแกรม 
 ยามเช้าของเมืองจาง เจี่ยเจี้ย ดูเงียบเหงาแบบนี้ 

 เมื่อ เข้าไปถึงภายใน อุทยานจางเจียเจี้ย  เราไปเปลี่ยนนั่งรถรางไฟฟ้าชมความสวยงามของ ระเบียงภาพวาดสิบลี้  ซึ่งวิ่งไปตามแนวทิวเขาที่ประกอบด้วยยอดเขารูปร่างแปลกพิสดารเรียงรายกัน 200 ยอดโดยมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านตามแนวทิวเขาข้างทางที่ผ่าน ก่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามราวกับเรานั่งชมภาพวาดขนาดยักษ์ ระยะทาง10 ลี้  แต่วันนั้นอากาศค่อนข้างปิด จึงเห็นรูปภูเขาสวยแบบลึกลับ
 





เขานี้ชื่อ สามพี่น้อง

 เราเที่ยวอยู่ในอุทยานด้าน ระเบียงภาพวาดสิบลี้ จนเที่ยง จากนั้นเราต้องออกมารับประทานอาหารกลางวันข้างนอกก่อนที่จะเข้าไปเที่ยวจุดอื่น  หลังอาหารเที่ยงการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น 
เรามาถึง เขตอนุรักษ์ธรรมชาติเทียนจื่อซาน  ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,290 เมตร และเป็นเขตป่าอนุรักษ์ ต่อเนื่องมาจากทางด้านทิศเหนือของอุทยานแห่งชาติจางเจียเจื้ย   เป็นสถานที่ที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขาน้อยใหญ่มากกว่าร้อยยอด  เที่ยวครั้งนี้ หากใครกลัวความสูงไม่ควรมา  เพราะนั่งกระเช้าขึ้นที่สูงมากๆ ( ย้ำ มากๆ) 

 ขึ้นถึงยอดเขาแล้วต้องเดินอีกตามระเบียบ แต่ฝนก็ไม่ยอมหยุด เราจึงมีสภาพแบบนี้
 แม้ฝนจะตกแต่เราก็ไม่ถอย จุดแรกคือ สวนสาธารณะเฮ่อหลง สวน แห่งนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1986 เพื่อเป็นเกียรติแก่ นายพลเฮ่อหลง  แห่งพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นชาวสี่เจียและมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณนี้ ภายในบริเวณสวนสาธารณะประกอบไปด้วย จุดชมวิวบนยอดเขา เซียนหนี่ว์ซ่านฮวา หรือ นางฟ้าโปรยดอกไม้ และหน้าผาเจียงจวิน หรือ หน้าผาท่านนายพล ให้ท่านชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขาเป็นรูปร่างต่างๆ ตามจินตนาการ เช่น พู่กันจักรพรรดิ สวนสวรรค์ สะพานอมตะ และยังมีลานแสดงดนตรีพื้นเมือง

ที่นี่มีการสร้างอนุสาวรีย์ ท่านนายพลเฮ่อหลงไว้  ในบริเวณสวนสาธรณะ  ภาพวิวโดยรอบที่ปรากฏจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามแต่ดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน และจะเปลี่ยนไปตามสี่ฤดูกาลอีกด้วย กล่าวคือ ในบางเวลาจะปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาทึบ แต่ในบางขณะจะเห็นท้องฟ้าแจ่มใสปราศจากฟ้าฝน คนแถวนี้บอกว่าวิวแบบนี้สามารถทำให้นักทัศนาจรเกิดความรู้สึกว่าตัวเองกำลัง เดินเข้าสู่แดนสวรรค์
 และที่นี่คือฉากหลักในภาพยนต์เรื่อง อวตา นั้นเอง น่าเสียดายที่วันนี้อากาศปิด มิฉนั้นเราคงเห็นฉากได้ชัดเจนกว่านี้ 


  ถ่ายรูปที่จุดนี้กันจนหนำใจแล้ว นึกว่าจะลงจากเขาเสียที  แต่ยังค่ะ เรายังต้องเดินไปอีกจุดหนึ่ง ( ไม่เดินย้อนหลัง) นั่นคือ สะพานอันดับหนึ่งใต้ฟ้า (เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว) ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง เป็นสถานที่ที่จะตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามแสนประทับใจอีก แห่ง

ฉันเดินไปบ่นไป เผลอแป๊บเดียวก็เห็นสิ่งนี้อยู่ตรงหน้า  ค่อนข้างตลึงเอามากๆ เพราะจุดนี้อยู่ในซอกเขาค่อนข้างลึกลับ แบบว่าเมื่อเลี้ยวเข้ามาในหุบเขาสะพานนี้ก็โผล่ให้เห็นอย่างกระชั้นชิด  ความที่อยู่ในมุมแคบทำให้ไม่ได้ภาพที่สวยตามที่หวัง  สะพานหินนี้ เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ ( พยายามสังเกตุดูว่าเขาสร้างแบบทางด่วนหรือเปล่า)  เป็นสะพานที่เชื่อมสองยอดเขาไว้อย่างแข็งแรง  น่าเสียดายที่วิวที่สวยงามควรจะดูจากระยะไกลสักนิด แต่ก็นับว่าเป็นจุดที่ชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
  


 มองทะลุใต้สะพาน เห็นเขาด้านหลัง

 ถึงจะสูงปานใด  แต่คู่รักหนุ่มสาว ก็นิยมเอากุญแจมาคล้องล๊อคกันไว้ แสดงถึงความรักที่มีต่อกัน โดยส่วนตัวแล้วดิฉันไม่นิยมการทำแบบนี้ เพราะนึกถึงเวลาเลิกกัน คงไม่มีปัญญากลับมาหากุญแจแล้วปลดล็อคเพื่อโยนทิ้งเป็นแน่



 เสร็จจากชมวิวแบบเปียกๆ เราก็กลับลงมาด้วยลิฟท์แก้วไป่หลง ลงจากจุดสูง 326 เมตร เป็นการลงที่เสียวสุด เพราะเลิฟท์ไต่ลงมาตามแท่งหินที่สูงมาก   ความที่ฝนตกเลยถ่ายรูปลิฟท์มาให้ดูได้แค่นี้เอง  กล้องพังก็ด้วยเหตุฉะนี้  

 วันต่อมา 
เราเดินทางไปยัง ทะเลสาบเป่าเฟิ่งหู ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่บนช่องเขาสูง รายล้อมด้วยยอดขุนเขาและพรรณไม้นานาชนิด ชมทัศนียภาพอันสวยงามยามเช้าที่เต็มไปด้วยสายหมอกที่ตัดกับสายน้ำที่ใสสะอาด ในทะเลสาบ
 ทะเลสาบนี้ ตั้งอยู่บนหุบเขาสูง ต้องขึ้นบันได 135 ขั้น แต่ตอนขึ้นนับได้เกินกว่าที่ไกด์บอกเอามากๆ เลยไม่แน่ใจว่าขึ้นกี่ขั้นกันแน่  แต่ขาลงต้องลงประมาณ 375 ขั้น  ระหว่างทางขาขึ้น ขนาดยังไม่ถึงบันได ทางก็ชันมาก แต่มีน้ำตกซึ่งเป็นน้ำที่ไหลมาจากทะเลสาบนี้ ตกลงมาข้างทาง มองขึ้นไปยอดเขา ที่นั่นแหละที่ทะเลสาบตั้งอยู่


พอถึงยอดเขาก็จะพบทะเลสาบ มีท่าเรืออยู่ไม่ไกล  
เชิญชมบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติกค่ะ
 





 เขาข้างหน้าชื่อ กบอมพระจันทร์ จะดูเหมือนปากกบ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อพระจันทร์ขึ้นมาที่ยอดเขา จะกลายเป็นกบอมพระจันทร์

 ภายในทะเลสาบ เขาจะมีเรือจอดไว้สองลำ เป็นเรือของนักร้องพื้นบ้านชายหนึ่งลำ หญิงหนึ่งลำ พอเรือเราผ่านมาเขาก็จะออกมาร้องเพลง คล้ายเพลงจีบโต้ตอบกันตามประเพณี ที่ชายหญิงหากจะเป็นแฟนกันได้ ต้องร้องเพลงตอบกันให้ได้ อย่างน้อยสามเพลง  โดยแต่ละเพลงจะจบด้วยคำว่า " โย่วเว่ย"   พอเขาร้องเสร็จพวกเราในเรือก็ช่วยกันร้อง "โย่วเว่ย" กันดังลั่นหุบเขาไปเลย  คนร้องตัวจริงบอกว่า งงอ่ะพี่ 

เราสนุกสนานกับการล่องเรือในทะเลสาบอยู่ครึ่งวัน  จากนั้นก็ต้องรีบเดินทางไปยัง เมืองโบราณเฟิ่งหวง (เมืองหงส์) ที่ขึ้นอยู่กับเขตปกครองตนเองของชนเผ่าน้อยถูเจีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน  
 แต่ระหว่างทาง มีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่คือหมู่บ้านของคนเผ่าถูเจีย ที่คล้ายกับคนเผ่าแม๊วบ้านเรา  สภาพบ้านเรือนของเขาดูสงบสวยงามดีมาก

 เรามาถึงเมืองโบราณเฟิ่งหวง เอาก็ค่ำแล้ว 

 เมืองเฟิ่งหงษ์สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง มีประวัติกว่า 400 ปี เมืองโบราณหงส์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำถัวเจียง ล้อมรอบด้วยขุนเขาเสมือนด่านช่องแคบภูเขา ที่เด่นตระหง่านมียอดเขาติดต่อกันเป็นแนว  สภาพเมืองนี้คล้ายกับเมืองโบราณลี่เจียง  แต่ดูว่าจะใหม่กว่า และรูปลักษณ์สถาปัตย์กรรมแตกต่างกันมาก แต่เสนห์ของเมืองเก่า ที่มีถนนแคบๆ บ้านติดกันแบบห้องแถว ก็ยังคล้ายกับเมืองเก่าของจีนทุกเมือง



แม้จะค่ำแล้ว  แต่ก็สามารถเดินชมสภาพบ้านเมืองยามค่ำคืนได้อย่างดี ผู้คนยังเดินเที่ยวมากมาย  แสงสียามค่ำทำให้เมืองนี้ดูเหมือนเมืองสมัยใหม่  แต่พอรุ่งเช้าก็จะกลับมาเป็นเมืองเก่าอย่างเดิม

 ตื่นเช้าหลังเติมพลังกันดีแล้ว เราก็เตรียมตัวลุยเมืองเฟิ่งหงษ์  โดยมีไฮไลท์อยู่ที่การล่องเรือในแม่น้ำถัวเจียง ที่มีบรรยากาศน่าประทับใจมาก





 การล่องเรือในแม่น้ำถัวเจียง 



การเที่ยวชมบรรยากาศสองฝั่งริมลำน้ำถัวเจียง ทำให้ทุกคนเพลิดเพลินและดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงาม ในการชมบ้านเรือนสองฟากฝั่งแม่น้ำ  





บรรยากาศการล่องเรือที่สนุกสนาน ก็เพราะคนแจวเรือจะร้องเพลงโต้ตอบกันขณะล่องไปตามลำน้ำ และก็เป็นตามธรรมเนียมที่จะลงท้ายด้วย " โย่วเว่ย" โดยมีผู้โดยสารชาวไทยช่วยร้องด้วย



เสร็จจากล่องเรือเราก็เดิน ชมหมู่บ้านวัฒนธรรม  กำแพงโบราณ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นที่นิยมชื่นชอบและเป็นสถานศึกษาค้นคว้าประวัติความเป็นมาทั้งชาวจีนและ ต่างชาติ   และที่ชอบที่สุดคือ การเดินเที่ยวในถนนโบราณซิงซือกู่เฉิน และถนนหัตถกรรม เพื่อชมและเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก

ฉันเคยเที่ยว และชื่นชอบเมืองโบราณมาหลายเมือง ที่นี่ก็เป็นอีกแห่งที่ประทับใจและมีความสุขมาก  พูดได้เลยว่าการมาเมืองเฟิ่งหงษ์ นับเป็นการมาพักผ่อนจิตใจได้อย่างดี 

และคงต้องขอจบทริปนี้ที่เมืองนี้ เพราะวันรุ่งขึ้นเราก็ต้องกลับเมืองไทยกันแล้ว   หวังว่าทุกท่านคงสนุกสนานไปกับการท่องเที่ยวครั้งนี้นะคะ