บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อิ่ม....ที่ไทเป


เมื่อคริตส์มาสปีที่แล้ว ได้เดินทางไปเที่ยวไทเป ประเทศไต้หวัน  ตั้งใจจะเล่าเรื่องอาหารให้ฟังนานแล้ว  แต่ความที่รู้สึกเหมือนยังเที่ยวไม่จบ  จึงกำลังวางแผนจะไปที่นั่นอีกครั้ง  แต่วันนี้ ปรากฏว่า ยังมีโปรแกรมอื่นที่ต้องไปรออยู่อีกมาก  เห็นทีว่า หากรอรวมข้อมูลเที่ยว 2 ครั้งคงท้องกิ่วตายแน่ 


วันนี้เลยนำอาหารของคนพเนจร ในไทเปมาฝากก่อน หากได้ไปอีกจะนำมาเพิ่มทีหลังนะคะ

อาหารในไทเปของฉัน เป็นอาหารแบบพื้นๆ สำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้  แม้ก่อนมาจะทำการบ้านมาดีแล้ว  แต่ก็ไม่พบว่าจะมีร้านอร่อยเท่าใดนัก  เราจึงขอเพียงแค่มีอาหารรองท้อง ( ในพื้นที่ที่ที่มีชื่อเสียงสักหน่อย)  เพื่อดูว่าคนไทเป เขากินอะไรกัน  


มื้อแรกของเรา เป็นอาหารกลางวัน โดยเราเลือกไปหารับประทานกันที่ ตลาดกลางคืน ชื่อหลิน Shilin Night Market หลายท่านคงงงว่า ทานอาหารกลางวัน แต่ทำไมมาตลาดโต้รุ่ง

เหตุเนื่องจากเราต้องไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กง ซึ่งต้องมาต่อรถไฟที่สถานีซื่อหลิน เราก็เลยแวะทานข้าวกลางวันเสียเลย 
ปกติตลาดนี้เป็นตลาดที่มีชื่อเสียงมาก นักท่องเที่ยวฝรั่งแนะนำไว้มากมาย  แต่ความที่ตลาดนี้ตั้งอยู่ไกลจุดศูนย์กลางของไทเปสักหน่อย  หากเรามาทานตอนเย็นก็จะเสียเวลามาก ไหนๆมาถึงแล้วก็กินซะเลย


บรรยากาศตอนกลางวัน ดูเงียบเหงาสักหน่อย 
แต่ก็ยังมีร้านอาหารเปิดขายหลายร้าน

เราเดินเข้าไปมองหาเมนูเป็นภาษาอังกฤษไม่มีเลย  
ในที่สุดก็ต้องดูรูปแล้วชี้ๆเอา

ดูอาหารหน้าตาไม่ค่อยคุ้น รู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นน้ำเกรวี่
 ที่ข้นด้วยแป้งข้าวโพด คล้ายกระเพาะปลาบ้านเรา


นี่คือน้ำราดก๋วยเตี๋ยว เป็นซีฟู๊ด  
คล้ายน้ำก๋วยเตี๋ยวราดหน้า แต่เป็นเส้นเล็ก

หากมาเมืองไทเปแล้วไม่กินหอยนางรมทอด 
ต้องกลับไปตีตั๋วเครื่องบินมาใหม่  เพราะร้านอาหารทุกร้านจะมีขาย บางร้านขนาดไม่ได้สั่งยังมีแถมมาให้ 
ดูแล้วก็คล้ายๆของบ้านเรา ต่างกันตรงที่ไม่มีถั่วงอก 
และซ๊อสที่ราดมา เป็นซ๊อสพริกใสๆใส่แป้งเหนียวๆ  
วันนี้เนื่องจากเรายังอยู่ไทเปอีกหลายวัน และไม่อยากเสี่ยง
กับหอยนางรม จึงขอเปลี่ยนจากหอยเป็นกุ้งแทน 
ซึ่งทางร้านก็ทำให้แบบงงๆๆ

ชามนี้ อิฉันสั่งเอง ด้วยการชี้ตามรูป เห็นเป็นเกี๊ยว 
ซึ่งก็เป็นเกี๊ยวปลาจริงๆนั่นแหละ จานนี้มีถั่วงอกและผักลวก 
แต่น้ำที่ราดมานี่ แม้จะพอทานได้ แต่ก็ดูแปลก เพราะมันเป็นน้ำสะเต๊ะแบบบ้านเรา มีถั่วป่นกับพริก รสหวานๆ โรยด้วยไข่เจียว
เป็นอันว่ามื้อแรกของเราผ่านไปได้แบบรอดตาย 
โดยไม่สามารถโทษใครได้ เพราะสั่งเอง ก็ต้องกินเอง 


มาถึงมื้อค่ำ

หลังจาก เจออาหารไม่อร่อยมาสองมื้อ คือเช้ากับกลางวันแล้ว 
มื้อนี้ขอกินดีอยู่ดีหน่อยเถอะ  ฉันจึงตัดสินใจไปร้าน 
บาร์บีคิว มองโกเลี่ยน ที่มีชื่อเสียงมาก ขนาดมีทัวร์เพื่อไปกินร้านนี้ขายให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เขียนชมไว้มากมาย 



ร้านนี้เป็นร้านบรรยากาศหรูพอประมาณ  
เป็นระบบบุฟเฟ่ท์ กินได้ตามใจปราถนา


ชื่อร้านก็บอกแล้วว่าเป็นบาร์บีคิว 
ในร้านจึงมีตู้แช่เนื้อไว้ให้ลูกค้าเลือก 
เป็นเนื้อหมู เนื้อวัว และ เนื้อแกะ 
ทางร้านจะให้ชามมา เราก็ตักตามใจชอบเลย เท่าไรก็ได้


ตามด้วยซ๊อสสาระพัดชนิด

เลือกผักที่ชอบใส่ไปด้วย

จากนั้นนำไปส่งให้พ่อครัว ที่กำลังผัดอยู่หน้ากะทะแบบมองโกล

เสร็จแล้วออกมาหน้าตาเป็นแบบนี้


ชามของฉันมี 3 เนื้อรวมกัน ทั้งหมู เนื้อ และ แกะ  แต่
ดูไม่มีสีเขียวเลย เพราะไม่ชอบต้นหอม
รสชาติรึ... อืม...อร่อยค่ะ ฉันตักไปให้พ่อครัวผัดซะ 3 รอบ 
เป็นเนื้อแกะล้วนๆ 2 รอบค่ะ 


นอกจากเนื้อบาร์บีคิวแล้ว ยังมีอาหารอื่นที่ตักกินได้ทั้งร้าน
ในตู้เย็นมีพวกสลัด  ผักดอง และของยำๆ 
รวมทั้งไก่แช่เหล้าวางไว้ ตักกันตามถนัด


ฉันตักไก่แช่เหล้า และ ยำไส้ไก่มา อร่อยมาก

น้องชาย เดินไปตักอาหารทำสำเร็จ 
ใส่ถาดไว้คล้ายร้านข้าวแกงบ้านเรา ก็ดูน่าทานดี

อีกตู้จะเป็นตู้ของหวาน และผลไม้








นำภาพของหวานมาให้ชม เรื่องรสชาติ ขอไม่พูดถึงดีกว่า

ที่ติดใจเอามากๆคือขนมปังแบบมองโกล ที่ให้มาคนละ2ชิ้นเท่านั้น
เป็นแป้งอบคล้ายโรตีของแขก( นาน) 
แต่มีความกรอบนอกนุ่มใน แป้งเป็นชั้นคล้ายครัวซองของฝรั่งเศส 
สองชิ้นนี้ อิฉันไม่กินค่ะ กลัวเสียพื้นที่ในท้อง 
แต่ห่อใส่กระเป๋ากลับมากินต่อที่โรงแรม

น้องชายดิฉัน มีดีกรีเป็นด๊อกเตอร์ ก็จริงแต่ชอบทำอะไรตลกๆ 
ความที่แตงโมร้านนี้อร่อยมาก เลยทานไปหลายชิ้น 
เสร็จแล้วเรียงเปลือกไว้อย่างสวยงาม ให้เจ้าของร้านดู


หลังจากอิ่มกับบาร์บีคิวกันแล้ว เราคงนอนไม่ลงแน่
 เพราะพุงกางแทบระเบิด จึงนั่งรถไฟไปตลาดโต้รุ่งที่อยู่ในเมือง
ชื่อ ตลาดหัวซี ( Teipei Hwahsi ) เพื่อดูบรรยากาศ  
เพราะมีคนบอกว่าน่าเดินเที่ยวมาก


แต่ก็น่าผิดหวัง อาจเป็นเพราะเราไปวันทำงาน 
ตลาดนี้จึงดูหว้าเหว่เงียบเหงามาก


มีร้านอาหารแบบรถเข็นคล้ายบ้านเรา ตลอดซอย

ปลาหมึกย่างเหมือนของเรา


หลังจากเดินไปเดินมา 2 รอบเราก็ขึ้นรถไฟกลับไปนอนดีกว่า


อาหารเช้า

เนื่องจากอาหารเช้าในโรงแรม เป็นอาหารที่ไม่ถูกใจนัก 
วันนี้เราจึงออกไปหาอาหารเช้ากินกันข้างนอกดีกว่า

ร้านอาหารเช้าในไทเปมีมากมาย ส่วนใหญ่จะเปิด 8 โมงเช้า บรรยากาศมี 2 แบบคือ
ร้านที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟจะมีแต่คนหนุ่มสาววัยทำงานมานั่งกิน

ส่วนร้านที่ไกลออกมาหน่อย จะมีคนสูงวัยมานั่งจิบกาแฟ 
อ่านหนังสือพิมพอย่างนี้ 
ช่างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบดีจริง 
เราจึงเลือร้านนี้เพราะวัยใกล้เคียงกับเรานั่นเอง

ชอบที่กาแฟเขาใหญ่ดีจริง

น้องชายสั่งสลัดผักแต่เช้า 

ตามด้วยชุดเบเกิลกับหมูทอด


ของฉันเป็นเฟร็นโทส กับมันบด สลัด
 และไส้กรอกหวานๆคล้ายกุนเชียง
รอดตายอีกมื้อแล้วเรา


มื้อเย็นอำลาที่ 101



ใครมาไทเปแล้วไม่มาคารวะตึก 101 (อ่านว่า วัน โอ วัน) 
เห็นทีจะเสียธรรมเนียม ฉันจึงต้องไปตึกนี้ให้ได้ 
เพื่อไม่ให้เสียประเพณีที่เขาปฏิบัติกันมา


วันที่ไปถึง เป็นวันก่อนคริสต์มาส  ร้าน Tiffany 
จึงตกแต่งต้นคริสต์มาสอย่างงามไว้ต้อนรับ


อย่าคาดหวังว่าฉันจะไปนั่งดินเนอร์หรูๆในตึกนี้เลย 
เพราะฉันไปแบบพเนจร จึงต้องเดินเข้า Food Mall ของเขา
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า เป็นอีกระดับที่ดีทีเดียว
ถือเป็นแหล่งรวมร้านอาหารดีๆมาเปิดขายในนี้


อาหารชุดของฉัน ความที่อยากกินข้าวผัดหมูแดง ใจแทบขาด
จึงสั่งชุดนี้มา นอกจากข้าวผัดแล้ว 
ยังมีซุปลูกชิ้นปลา และหอยนางรมทอดแถมมาอีกด้วย
บอกแล้วไงว่า  หอยทอดจะตามมาทุกที่


น้องชายสั่งหมี่ผัด หน้าตาซีดๆ

มีลูกชิ้นกุ้งทอดกรอบแถมมา  อร่อยดี
 ( ที่รู้ว่าอร่อยเพราะแย่งน้องกิน) 

และผักกวางตุ้งผัดน้ำมันหอยแถมมาอีกจาน 
เรียกว่าชุดเดียวอิ่มกันเลยล่ะ


ที่จริงยังมีอาหารอีกหลายมื้อที่ไม่ได้นำมาโชว์ 
 เพราะแค่นี้ก็รับประทานกันจนเหนื่อยแล้ว 


ในวันกลับ ระหว่างรอเครื่องซึ่งดีเลย์มาก
 ฉันรำคาญเศษเงินในกระเป๋า
 เลยเทกระเป๋าสั่งกาแฟกับวาฟเฟอร์มากินแก้เซ็ง
เป็นอันว่า ฉันกลับถึงบ้านแบบไม่มีเงินต่างประเทศเหลือติดมาเลย


สิ่งที่ซื้อให้ตัวเอง มีแค่ถ้วยกาแฟลายผ้าจีน ที่ซื้อจากตึก 101 ใบนี้ 

และขนมเค็กคริสต์มาส ที่หิ้วกลับมาหม่ำที่บ้าน 
แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว......



วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Are you happy ?


 
แม้วันนี้จะเพิ่งเป็นวันเริ่มต้นของเดือนกุมภาพันธ์  แต่ดูเหมือนหลายคนกำลังพยายามหาสิ่งดีๆ สวยงามมาเตรียมไว้ให้กับคนที่มีความหมายของตนเอง   แน่ล่ะ นี่มันเป็นเดือนที่คนบนโลกนี้กะเกณฑ์ให้มันเป็นเดือนสัญลักษณ์ของความรักนั่นเอง

      
      ฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังหาสิ่งดีๆให้กับเพื่อนๆเช่นกัน  สิ่งที่ฉันหาไม่ใช่ดอกกุหลาบสีแดง  หรือการ์ดที่มีคำหวานๆใส่ไว้  ฉันเลือกได้บทความที่มีความหมาย  ซึ่งแน่นอน มันสะกิดใจฉันก่อนคนอื่น จึงแน่ใจว่า หากเพื่อนๆได้อ่าน ก็คงจะช่วยให้ทุกคนมีความสุขในช่วงเวลาแห่งความรักปีนี้แน่นอน


      บทความนี้เป็น Forward Mail  ที่ฉันเก็บไว้นานแล้ว และก็ลืมไปแล้วด้วย  วันนี้เมื่อมาอ่านทบทวนดูอีกที  ก็ทำให้ฉันรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาเสียจริง  ฉันมีข้อคิดดีๆอยู่กับตัวแท้ๆ  แต่ยังละเลยและปล่อยให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำความรู้สึกอยู่นาน แถมยังทำตัวเป็นภาระให้แก่เพื่อนๆอีกต่างหาก


      ไม่นานมานี้  เพื่อนคนหนึ่ง ปลอบใจฉัน ด้วยคำพูดที่ว่า “ วันนี้ต้องมีความสุขแล้วนะ  สิ่งที่ผ่านมาเปรียบเหมือนเราได้เดินข้ามสะพานแห่งความทุกข์มาแล้ว  อย่าหันกลับไปมองมันอีก  ดูซิ ...ฝั่งนี้มีเพื่อนๆรออยู่  ทุกคนพร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ” 


      โชคดีที่การสนทนานี้เกิดขึ้นทางโทรศัพท์  เพราะมิฉะนั้น เขาคงเห็นสายน้ำตาที่ไหลพร่างพรูออกมาจากตาฉัน  และนี่คือเหตุผลที่ฉันเกลียดการปลอบโยน หรือแสดงความเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง  ( แต่การเก็บความรู้สึกไว้ในใจนานๆ มันก็เหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังก่อตัววันแล้ววันเล่า  เวลาที่มันระเบิดออกมา อาจดูเลวร้าย แต่มันจบ น้ำตาก็เช่นกัน  หากรู้สึกเศร้าเสียใจแล้วล่ะก็  ขอแนะนำให้ร้องไห้ออกมาเสียเลย  จะได้จบๆไป )


      ที่ต้องพูดเรื่องคำปลอบของเพื่อน ก็เพื่ออยากจะขอบคุณในความรักที่เพื่อนมีให้  แต่เมื่อมองดูตัวเองแล้ว  ฉันไม่ควรทำตัวเป็นภาระให้เพื่อนๆ หรือคนรอบข้างเลย เพราะเพื่อนคงไม่สามารถปลอบเราไปได้ตลอดชีวิต  เพื่อนเองก็มีความสุขของตัวเองที่จะต้องค้นหาเช่นกัน  ใครจะรู้ล่ะว่า ขณะที่เขาปลอบเรานั้น เพื่อนมีความสุขหรือไม่


      บทความที่ฉันพบวันนี้  เป็นข้อคิดที่สอนฉันให้หาความสุขให้ตัวเอง  ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องคอยหวังจากใคร ไม่ต้องเป็นภาระให้ใคร  ลองอ่านดูซิ
 
  ขอให้มีความสุขในวันแห่งความรัก....ทุกท่าน 











ขอขอบคุณเจ้าของMail ดีๆฉบับนี้ 
แม้จะไม่ทราบว่าคือใคร