บ้านป้าLily หลังนี้เปิดไว้เพื่อให้เป็นที่ที่เพื่อนๆมานั่งตั้งวงคุยกันด้วยเรื่องที่เราชอบ
โดยมีป้า Lily มานั่งเล่าเรื่องที่ดีมีประโยชน์ แถมสนุกสนานให้ฟังอีก
วันที่ท้องฟ้าสดใสในเวลาแดดร่มลมตกไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งที่ ชานเรือนของบ้านป้าLily อีกแล้ว


ยินดีต้อนรับทุกท่านจ๊ะ

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Melaka......

Melaka

เป็นความใฝ่ฝันมานานที่จะได้ไปสัมผัสเมืองมะละกา  หลังจากได้ชมเรื่องราวของเมืองนี้จากภาพยนต์สารคดีมากมาย   ดูเหมือนว่าการเตรียมตัวเดินทาง  ทางด้านกายภาพจะพัฒนาไปอย่างราบรื่น  แต่ผลจากการค้นคว้าข้อมูลกลับถูกบั่นทอนสภาพจิตใจไปวันละเล็กละน้อย

จนเกือบถึงวันเดินทางก็ยังมีคนถามไม่เลิกว่า " จะไปทำไม๊  ไม่เห็นมีอะไรเลย " และ คำร่ำลือเรื่องอาหารไม่อร่อย ดูจะเป็นแรงกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงเสียจริง  แต่... จะให้เชื่อง่ายๆ คงไม่ใช่ฉัน

และในที่สุด เราก็มาถึงเมืองมะละกา จนได้


มะละกา ....วันแรก  เราตื่นขึ้นมาพบตัวเองในเมืองเล็กๆที่เงียบสงบยามเช้า  
เรารู้แล้วว่า ความฝันของเราเป็นจริง



สภาพเมืองที่สวยงามและเงียบสงบยามเช้า




โบสถ์เซ็นปอลในแสงแดดอ่อนๆช่วงสาย




ช่องแคบมะละกา ที่อยากเห็นมานาน มองจากยอดเขาที่ตั้งโบสถ์เซ็นปอล



รูปปั้นนักบุญเซ็นปอล ที่หน้าโบสถ์

บ้านของชาวปารานกัน ที่งดงามน่าอยู่มาก 




 ทุกบ้านจะมีบ่อน้ำอยู่กลางบ้าน  




กังหันวิดน้ำแบบโบราณ ของชาวดัช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมะละกา

พิพิธภัณฑ์การเดินเรือ ที่สร้างเป็นเรือโบราณให้เข้าชม

สภาพบ้านเมืองที่ยังคงวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเดิมไว้

ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตจริงๆ

ร้านกาแฟที่เป็นที่มั่นของนักท่องเที่ยว 


เกี๊ยะ ที่วางขายในตลาดถนนคนเดิน ยามค่ำคืน


เทียนบูชาเทพเจ้าในศาลเจ้า

สองฝั่งแม่น้ำยามค่ำ





วิถีชีวิตของชาวเมืองมะละกา


















บ้านของชาวปารานกันที่สวยงามหาที่เปรียบไม่ได้





































นั่งมองช่องแคบมะละกา ที่เคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเรียน



อาหารที่มะละกา


ก่อนมาเมืองนี้ ทำใจไว้แล้วว่าจะต้องมาพบกับอาหารที่มีคนเปรียบเทียบไว้ว่า
อาหาร นอนญา ( Nyonya) ซึ่งเป็นอาหารของชาวปารานกัน คือ " อาหารไทยที่ไม่อร่อย" นั่นเอง
แต่เมื่อมาแล้ว จะเชื่อสนิทจนไม่ลิ้มรสเลยก็ใช่ที่
เราเดินไปหาร้านที่มีชื่อเสียงตามโพย ที่ชื่อ  Donald and Lilyแต่ปรากฏว่ามีคนรอคิวอยู่ยาวจนไม่รู้ว่าจะได้กินเมื่อไร  ความหิวทำให้เรารอไม่ไหว  ในที่สุดเราก็พบร้านอาหารนอนญา อีกร้านซึ่งเป็นร้านที่สวยงามมากกว่าร้านแรก แถมมีรูปเจ้าของร้านอยู่ข้างหน้าด้วย



อาหารจานแรก เป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวปารานกัน คือ Assam Fish เป็นปลากระพงแกงกับกระเจี๊ยบ   มีรสเปรี้ยวๆหวานๆคล้ายแกงส้มบ้านเรา

จานต่อมา ต้องขอโทษด้วยที่จำชื่อไม่ได้ เพราะเจ้าของร้านบอกเร็วมาก แต่ก็อร่อยถูกใจ
จานนี้เป็นแกงจืดไก่กับมันฝรั่ง ที่ตุ๋นจนเปื่อย รสไม่จืดชืด คนอื่นอาจจะไม่ชอบเพราะรสไม่จัดอย่างอาหารไทย แต่หากเข้าใจวัฒนธรรมอาหารของแต่ละชาติแล้ว ของเขาก็อร่อยดีทีเดียว

จานนี้เป็นต้มจับฉ่าย แบบนอนญา เขาใช้ชื่อเหมือนเรา น่าจะมาจากรากศัพท์ภาษาจีน



จานนี้จำชื่อไม่ได้ แต่พอมาถึงจึงเห็นว่าเป็นไข่เจียวใส่หอมใหญ่ กับถั่วฝักยาว
คล้ายของเรา ดีจังกำลังอยากทานไข่เจียวพอดี


อาหารนอนญา อีกชนิดเป็นอาหารเช้าของโรงแรมที่เราพัก นี่คือแกงไก่  รสเผ็ดไม่มาก
มีรสเปรี้ยวของมะเขือเทศ และกลิ่นเครื่องเทศหอมมาก

หมี่ผัดแบบมาเลเซีย ที่เมืองนี้อาหารทะเลถูก เพราะเป็นเมืองท่า 
หมี่จานนี้โรยหอมเจียวค่อนข้างมาก


เดินตามทางในหมู่บ้าน พบร้านขนมของชาวปารานกัน หรือขนมนอนญา
แต่ละชนิดใส่สีสดใสมาก  
นึกถึงนางเอกในหนังเรื่อง Little  Nyonya  ที่นางเอกชื่อ จี๋เซียง และ ซื่อเหนียง ลุกขึ้นมาทำขนมขายในยามสงคราม และขนมในเรื่องขายดีมาก เราจึงต้องหยุดลองชิมดู



ข้าวเหนียวปิ้งแบบนี้ที่ซื่อเหนียง และ จี๋เซียง ทำขาย ซึ่งรสชาติความอร่อยคล้ายข้าวเหนียวปิ้งบ้านเรา  ความที่เขาปลูกต้นมะพร้าวมาก ขนมจึงหวานมันเข้มข้นดีจริง

นอกจากข้าวเหนียวปิ้งแล้ว  ยังมีขนมแป้งเส้นๆสีชมภูสด โรยมะพร้าว
เหมือนขนมพาสติกบ้านเราขายด้วย


เห็นขนมอยู่ในถาด หน้าตาเหมือนสบู่แบบโบราณ ที่เคยใช้ซักผ้าสมัยเป็นเด็ก
แม้จะซื้อขนมหลายอย่างแล้ว แต่ก็ต้องขอชิมเจ้าขนมหน้าตาแปลกๆนี้ให้ได้
และเมื่อแม่ค้าตัดขนมเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมให้  เราจึงรู้ว่าแท้จริงขนมชนิดนี้คือข้าวเหนียวนึ่งสุกที่นำมาอัดในถาด แล้วนำไปนึ่งอีกครั้งจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนสีฟ้า มาจากดอกอัญชัญที่ราดไปบนข้าวเหนียวก่อนนำมาอัดในถาด

ตัวขนมไม่มีรสอะไร เป็นรสจากธรรมชาติของข้าวเหนียวล้วนๆ  แต่ชาวปารานกัน เขาจะเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวให้เป็นน้ำตาลไหม้หอมๆ  และราดลงบนขนมก่อนจะกิน อุแม่เจ้า..อร่อยอะไรเช่นนี้หนอ


ขนมอีกชนิดของชาวเมืองนี้คือ Cendol ซึ่งก็คือหวานเย็นบ้านเรานั่นเอง  
เมืองนี้มีร้านขายขนมประเภทนี้หลายร้าน  ผิดกับบ้านเราที่มักจะตั้งแผงลอยขาย
วันนี้เรามาทานที่ร้านชื่อ Jonker 88 ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Jonker แหล่งท่องเที่ยวของเมืองนี้

หวานเย็นร้านนี้มีหลายชนิด  แต่ที่มีชื่อคือ หวานเย็นรสทุเรียน (เป็นน้ำกะทิทุเรียน)  ซึ่งฉันไม่ได้ชิม เพราะยังมีอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเช่นกัน นั่นคือ Palm Sugar Cendol


นี่คือ Palm Sugar Cendol

  ซึ่งก็คือลอดช่องน้ำกะทิ ราดด้วยน้ำตาลมะพร้าวเคี่ยว นั่นเอง  ต้องยอมรับว่าอร่อยดีทีเดียว



ขนมอีกชนิดของร้านนี้ที่ต้องลอง จำชื่อไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ทางร้านบอกว่าขายดีมาก

เมื่อสั่งมาก็ไม่ผิดหวัง เพราะนี่คือสาคูเปียก ที่รองก้นถ้วยด้วยน้ำตาลมะพร้าวเคี่ยว และราดด้วยกะทิ ซึ่งก็คล้ายสาคูเปียกบ้านเรา แต่แช่เย็น ( ไม่ใส่น้ำแข็ง) เป็นขนมที่ชอบมากอีกถ้วย



มาถึงอาหารจีน มาเมืองนี้ต้องกินข้าวมันไก่ 
ใครไม่กินต้องกลับไปใหม่

เดิมเราตั้งใจว่าจะต้องกินข้าวมันไก่ร้านฮงกี่ Hoe Kee. เป็นอาหารกลางวันให้ได้  แต่พอไปถึงหน้าร้าน ก็พบกับฝูงมหาชนอีกเช่นเคย ( เราไปวันหยุด) ในที่สุดเราจึงต้องมากินกันที่ร้านชื่อ Famosa ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก


ไก่ร้านนี้มีทั้งไก่ย่าง และไก่ต้ม เนื้อไก่นุ่ม และราดด้วยซ๊อสตามแบบสิงคโปร์  เรื่องไก่นี่ เคยคุยกับเพื่อนชาวสิงคโปร์ ที่เขาบอกว่าไม่ชอบ ไก่แบบไหหลำ ( แต่ทุกร้านในสิงคโปร์ จะบอกว่าเป็นร้านข้าวมันไก่ไหหลำ)  เพราะไก่ไหหลำแท้ๆ ซึ่งหมายถึงไก่สไตล์เมืองจีน เนื้อเหนียวกินไม่อร่อย แถมไม่มีน้ำซ๊อสราดมาด้วย
แต่ฉันกลับเุีถึยงเขาว่า  ไก่บ้านยูนั่นแหละไม่อร่อย เหมือนกินกระดาษราดน้ำซีอิ้ว เล่นเอาเพื่อนมีเคืองอยู่พักใหญ่  ทำให้เราคิดได้ว่า จะตัดสินว่าของใครอร่อยหรือไม่ มันอยู่ที่วิถีชีวิตของแต่ละคน     เืรื่องนี้เถียงกันไม่ได้เลย


สำหรับข้าวมัน เป็นที่ทราบกันว่าข้าวมันไก่เมืองนี้ของแท้ต้องเสิรฟเป็นก้อนกลมๆคล้ายลูกปิงปอง ซึ่งก็ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะอะไร  อาจจะเพื่อความสะดวกในการเดินทางสมัยโบราณ หรือเป็นเพราะ หุงข้าวแฉะก็เป็นได้ 


เพราะข้าวมันแบบนี้ค่อนข้างแฉะ เมื่อปั้นจึงเกาะกันเป็นก้อนข้าวแน่นๆ ขนาดผ่าครึ่ง เมล็ดข้าวก็ยังไม่แตกออกจากกัน ดูเหมือนข้าวบดมากกว่า


ความที่ไม่ยอมพลาดข้าวมันไก่ร้านอร่อย  ในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันจึงตื่นแต่เช้า และไม่ยอมกินอาหารของโรงแรม โดยมุ่งหน้าไปยืนรอให้ร้านฮงกี่ เปิด เพื่อขอชิมข้าวมันไก่ร้านนี้ให้ได้


เมื่อร้านเปิด คนที่มารอก่อนฉันก็เข้าไปนั่งสั่งในร้าน

ส่วนฉันออกมายืนดูเจ้าของร้านสับไก่ที่หน้าร้าน ซึ่งเขาใจดีมาก จนฉันชื่นชม

ข้าวร้านนี้มีทั้งแบบก้อนกลม เป็นลูกปิงปอง และข้าวแบบปกติ  ซึ่งฉันเลือกแบบปกติ
( ไม่ชอบแบบที่ต้องผ่านมือคนปั้น)  ข้าวแบบปกติเป็นข้าวร่วนหุงสุกกำลังดี ไม่แฉะเหมือนแบบก้อน
ต้องขอชมเลยว่ารสชาติข้าวมันร้านนี้อร่อยสุดๆ  ทันทีที่ชิมข้าวคำแรก  ฉันก็กินแต่ข้าวเปล่าๆจนหมด โดยไม่แตะไก่เลย


เมื่อข้าวหมดจานจึงมาชิมไก่ต้ม  ซึ่งก็บอกได้ว่า เป็นไก่สไตล์สิงคโปร์ ที่นุ่มเกินเหตุ และไม่ลืมที่จะราดซ๊อสซีอิ้ว ( แต่ซ๊อสอร่อยกว่าร้านแรก)  หากคนที่ชอบไก่นุ่มๆ แบบไร้มิติ  สามารถพูดได้เลยว่าอร่อยมาก  แต่สำหรับฉัน ขอกินไก่ไหหลำแท้ๆดีกว่า เพราะเนื้อกรอบมีเหนียวนิดๆ กำลังดี

ร้านฮงกี่ มีซุปหลายอย่าง แต่ที่เสริฟพร้อมข้าวจะเป็นซุปตีนไก่กับถั่วลิสง รสชาติดี


มาถึงอาหารเช้าอีกชนิด นั่นคือดิ่มซำ 


มีคนบอกว่าเมืองนี้มีร้านดิ่มซำเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่ง 
ไม่ยอมบอกชื่อด้วย บอกเพียงว่าอยู่หน้ามัสยิด
ฉันก็เลยต้องเดินหากันทั้งเมือง 
จนถอดใจและล้มเลิกที่จะกินร้านนี้แล้ว

แต่ด้วยความบังเอิญ ขณะที่ฉันเดินไปศาลเจ้า ก็ผ่านร้านใหญ่ร้านหนึ่งที่มีลูกค้าซึ่งเป็นคนพื้นเมืองนั่งกินกันเต็มร้าน เมื่อมองรอบๆที่ตั้งจึงมั่นใจว่า นี่คือร้านที่ฉันกำลังตามหา เพราะตรงข้ามร้านเป็นมัสยิด และโบสถ์แขก



โดยไม่ต้องตัดสินใจอีกแล้ว ฉันรีบเดินเข้าไปหาที่นั่งทันที  
ที่หน้าร้านมีซึ้งนึ่งดิ่มซำอันใหญ่วางไว้เต็ม
เสียงสั่งอาหารเป็นภาษาจีนดังลั่นร้าน  ได้บรรยากาศดีจริงๆ

ที่น่าชื่นชมเมืองมะละกาคือ  ผู้คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี  
ฉันจึงได้โกปี๊ แบบโบราณแก้วนี้มากินให้ชื่นใจ

พนักงานเสริฟ ยิ้มแย้มแม้งานจะหนัก


นี่คืออาหารเช้าของฉันในวันนี้


ขนมเค็ก มะละกา


ไม่ว่าจะไปเมืองไหน สิ่งที่อดไม่ได้คือต้องหาชิมขนมเค็กเลื่องชื่อของเขาให้ได้ทุกเมือง
เมืองนี้มีร้านเค็กชื่อ Nadeje Patisserie 
และ ขนมที่มีชื่อของทางร้านคือ Crepe Cake สารพัดชนิด

มาเมืองนี้ก็ต้องสั่งกาแฟชื่อ Melaka ซึ่งเป็นกาแฟเย็นที่เข้มข้นมาก


น้องๆสั่งอย่างอื่นซึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่หน้าตาสวยงามดี


เครปเค็กชนิดแรกของทางร้านและมีชื่อมากคือ รัมเรซิ่น ซึ่งต้องยอมรับว่าอร่อยมากจริงๆ 
เรียกว่าเครปเค็กเมืองไทยเทียบไม่ติด

ส่วนเครปเค็กชนิดอื่น ที่เราสั่งมาอีก 6 ชนิด จำชื่อไม่ได้แล้ว
เชิญดูรูปเองดีกว่า อร่อยทุกชิ้นเลยจ๊ะ 









สุดท้าย ขอจบที่กาแฟร้อนเข้มข้นของมะละกา   
ฉันนั่งสบายอารมณ์อยู่ที่ร้านเค็กนี้อยู่นาน  
นึกในใจว่าการมาเมืองนี้นับเป็นโชคดีของฉันจริงๆ 
และสัญญากับตัวเองว่า ต้องกลับมาให้ได้อีกสักครั้งก็ยังดี